ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 218 แตงฆ่าคน
ตอนที่ 218 แตงฆ่าคน
………………..
คาดการณ์ว่าในอนาคตอาจจะมีปศุสัตว์เพิ่มขึ้นอีก โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ที่สร้างใหม่ในครั้งนี้จึงสร้างบนเนินลาดใกล้กับส้วม ซึ่งห่างจากตัวบ้านหลัก เพื่อหลีกเลี่ยงกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่จะรบกวนชีวิตประจำวัน
โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ทั้งหมดทำขึ้นจากไม้ สร้างเป็นหนึ่งชั้นครึ่ง
ชั้นแรกเป็นพื้นที่เต็ม ส่วนชั้นที่สองเป็นพื้นที่ใต้หลังคาครึ่งหนึ่ง สามารถใช้เก็บฟางได้
หลังคาคลุมด้วยหญ้าคา ใช้รั้วไม้ไผ่ที่ถอดจากคอกม้าเก่ามากดทับให้แน่น ยามปกติที่มีลมแรงจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกลมพัดปลิวไป
ไม้ไผ่ที่ถอดมาจากคอกม้าเก่า ส่วนที่ไม่สามารถใช้งานได้ก็จะนำไปทำฟืน ไม่มีการสูญเปล่าแม้แต่น้อย
ภายในโรงเรือนเลี้ยงสัตว์มีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ ทั้งยังกั้นด้วยกำแพงเตี้ยๆ ที่ก่อด้วยหิน เพื่อให้วัวและม้ามีพื้นที่ส่วนตัว
พร้อมกันนั้น ตามความต้องการของฉินเหยา ลุงเก้าใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศที่เป็นเนินลาด สร้างส่วนที่ยื่นออกมาใต้โรงเรือนเลี้ยงสัตว์ให้สูงประมาณหนึ่งเมตร ด้านล่างก่อกำแพงด้วยหิน มูลสัตว์ของวัวและม้าสามารถตกลงไปได้เลย จะได้ไม่อยู่รวมกับสัตว์ ยังสะดวกในการนำปุ๋ยคอกไปใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย
โรงเรือนเลี้ยงสัตว์เช่นนี้ในหมู่บ้านตระกูลหลิว สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่หรูหรา
ชาวบ้านที่มาเยี่ยมชม เมื่อเห็นที่อยู่ของวัวและม้าก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “อยู่ดีกว่าคนเสียอีก”
“นั่นน่ะสิ” หลิวต้าฝูที่อยู่ข้างๆ เห็นด้วย
แต่หลังจากชาวบ้านทุกคนกลับไปแล้ว เขาก็เดินไปข้างๆ ฉินเหยาอย่างเงียบๆ แล้วถามนางว่าการสร้างโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ที่ต้องลงแรงมากมายเช่นนี้มีข้อดีอะไรบ้างหรือไม่
ฉินเหยาอธิบายว่า “แบบนี้จะสะอาดกว่า สามารถลดโอกาสที่วัวและม้าจะป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังสะดวกในการเก็บปุ๋ยหมักด้วย”
“จะไม่ป่วยเลยหรือ” หลิวต้าฝูไม่ค่อยเชื่อ
ฉินเหยาเน้นย้ำ “ข้าบอกว่าลดโอกาสป่วย ไม่ใช่ไม่ป่วยเลย”
“ท่านดูอึฉี่พวกนั้น ถ้าติดตัวจะดึงดูดยุงและแมลง ยุงและแมลงพวกนั้นก็มีโรคติดตัวมาด้วย อาจจะแพร่เชื้อให้วัวและม้าทางอ้อมได้”
“ตอนนี้เราปล่อยอึฉี่พวกนี้ลงไปในบ่อปุ๋ยข้างล่างโดยเฉพาะ ยุงและแมลงที่ตัววัวและม้าก็จะน้อยลง และการทำความสะอาดโรงเรือนเลี้ยงสัตว์ตามปกติก็จะสะดวก เพียงแค่สาดน้ำสองสามถัง พื้นก็จะสะอาดแล้ว”
ฉินเหยาพูดทุกสิ่งที่สามารถพูดได้แล้ว นางกล่าวอย่างจริงจังกับหลิวต้าฝูที่เริ่มสนใจว่า
“ความลำบากมีแค่ตอนนี้ ความสะดวกสบายนั้นยาวนานกว่า บ้านท่านตรงตามเงื่อนไขนี้ ข้าค่อนข้างแนะนำให้ท่านสร้างโรงเรือนเลี้ยงสัตว์แบบนี้”
กล่าวจบ นางก็เดินเข้าไปในลานบ้านเพื่อทำงานต่อ
นางต้องช่วยขนของบ้าง ส่งกระเบื้องให้บ้าง
ครั้งนี้สร้างห้องเพียงห้องเดียว ดังนั้นจึงมีแค่นาง ลุงเก้าและพี่น้องหลิวไป่หลิวจ้ง รวมทั้งหมดสี่คนที่ทำงาน
คนน้อยก็มีข้อดีของคนน้อย ฉินเหยาไม่ต้องทำอาหาร นางเหอนำเนื้อที่นางซื้อกลับไปเรือนเก่าเลยทีเดียว ทำอาหารเสร็จก็ให้พวกเขาไปกินมื้อกลางวันที่นั่น จะได้ไม่ต้องให้ฝีมือการทำอาหารของฉินเหยาทำลายเนื้อดีๆ
น้ำจากเนื้อที่เหลือเล็กน้อย นำไปคลุกกับแป้งทอดก็ยังพอให้เด็กๆ ที่บ้านได้ลิ้มรสเนื้อบ้าง
บ้านฉินเหยานำหมูสามชั้นติดมันห้าจินไปให้ บอกพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องประหยัดมากนัก ให้ทำออกมาเยอะๆ หน่อยเพื่อให้เด็กๆ ได้กินกัน
น่าเสียดาย ที่พูดเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง นางเหอนำเนื้อติดมันไปเจียวเอาน้ำมัน ส่วนเนื้อที่ไม่ติดมันก็นำไปหมักเกลือ ค่อยๆ เก็บไว้กินทีละน้อย
แต่ทุกคนในเรือนเก่าก็คิดว่านางเหอทำเช่นนั้นไม่ผิดอะไร แถมยังมีความสุขอีกด้วย เพราะพวกเขาจะได้กินเนื้อไปอีกนาน
โดยเฉพาะในช่วงฤดูทำนาที่ยุ่งเช่นนี้ การได้กินเนื้อเพื่อบำรุงร่างกายจะทำให้มีแรงทำงานมากขึ้น
แต่ละบ้านในหมู่บ้านยังประหยัดกว่าพวกเขาเสียอีก กลัวว่าปีนี้จะเกิดทุพภิกขภัย ตอนที่ไม่ได้ทำงาน วันหนึ่งก็จะกินเพียงมื้อเดียวเท่านั้น
ฉินเหยากินจุ เฉพาะมื้อกลางวันของวันแรกที่เริ่มงานเท่านั้นที่นางไปกินข้าวที่เรือนเก่า หลังจากนั้นนางก็กินที่บ้านของตนเองตลอด
เพราะนางไม่สามารถประหยัดเรื่องการกินได้แม้แต่น้อย!
ใช้เวลาสิบวัน ยุ้งฉางที่สร้างใหม่ก็เสร็จเรียบร้อย ตามที่ลุงเก้าบอก ทิ้งไว้ให้แห้งครึ่งเดือนก็สามารถขนของเข้าไปได้
ยุ้งฉางนี้สร้างไว้ที่มุมทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลานหลังบ้าน เป็นห้องเดี่ยวๆ กว้างขวางมาก ใหญ่กว่าห้องนอนของฉินเหยาหนึ่งเท่าครึ่ง ประมาณสามสิบกว่าผิง
อย่าว่าแต่จะใช้เป็นยุ้งฉางเลย แม้แต่จะเพิ่มเกวียนวัวและรถม้าเข้าไปก็ยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก
แถมยังทำเพดานสูง ชั้นสองยังมีห้องใต้หลังคาเล็กๆ อีกห้อง สามารถเก็บเครื่องมือการเกษตรที่ไม่ค่อยได้ใช้ได้
ด้วยเหตุนี้ ห้องเก็บของหลังครัวเดิมจึงไม่ถูกของกองถมจนเต็มอีก สามารถเหลือที่ไว้เก็บผักและผลไม้ที่เก็บไว้กินได้นาน
น่าเสียดายที่ลุงเก้าไม่ถนัดงานใต้ดิน ห้องใต้ดินไม่ใช่ว่าจะขุดได้ง่ายๆ ต้องดูสภาพดินด้วย ไม่อย่างนั้นขุดไปแล้วถล่มลงมาก็เปล่าประโยชน์
ฉินเหยาจึงทำได้เพียงพักเรื่องห้องใต้ดินไว้ก่อนแล้วเก็บของในยุ้งฉางใหม่ด้วยความดีใจ
ยุ้งฉางที่ตากไว้ให้แห้งแล้วยังมีความชื้น ฉินเหยาเรียนรู้จากตำรับชาวบ้านที่นางจางให้มา นำแกลบมาโรยตามมุมห้องเพื่อดูดความชื้นแล้วใช้ก้อนหินปูพื้นให้สูงขึ้น จึงค่อยขนข้าวหมื่นจินเข้ามา
คราวนี้ห้องนอนของทุกคนในบ้านก็กลับมาสะอาดเรียบร้อยเหมือนเดิม ทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างก็มีความสุข
เมื่อมองดูบ้านที่สะดวกสบายขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกพึงพอใจก็เกิดขึ้นในใจของฉินเหยา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รื้อคอกวัวเดิมที่อยู่หลังบ้านออกไป อากาศในลานบ้านทั้งหมดก็สดชื่นขึ้น ตื่นเช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์ที่เต็มไปด้วยออกซิเจนก็รู้สึกผ่อนคลายมาก
เมื่อการก่อสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย พริบตาก็ถึงกลางเดือนสี่ เป็นช่วงเวลาของการปักกล้ารอบที่สอง
ครั้งที่แล้วที่เข้าเมือง ฉินเหยาได้กำชับไว้เป็นพิเศษ หลิวจี้จึงไม่กล้าขัดขืน รีบกลับบ้านในช่วงเวลาที่ต้องปักกล้า
แต่เขาเพิ่งออกจากบ้านไปได้เดือนกว่า เหตุใดถึงเปลี่ยนไปอีกแล้วเล่า
เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ประเด็นสำคัญคือ สร้างห้องใหม่เพิ่มแล้ว ทำไมไม่ขยายห้องเล็กๆ ของเขาด้วย!
หลิวจี้ทำหน้าบึ้ง เดินสำรวจบ้านทั้งหลังรอบหนึ่งแล้วกลับไปที่ห้องเล็กๆ ของตนเอง ห้องของเขาเล็กและมืดที่สุด
เศร้าใจ โกรธ และอยากจะบ้า!
ฉินเหยายื่นหีบหนังสือพลังเซียนให้ หลิวจี้ที่กำลังโกรธจัดก็คลายความโกรธลงอย่างรวดเร็ว จิตใจที่บอบช้ำได้รับการปลอบประโลมอย่างอย่างใหญ่หลวง
หีบหนังสือใหม่มอบความเป็นไปได้ในการแสดงออกอย่างไม่จำกัดให้แก่เขา แม้แต่สีก็ยังไม่ได้ทา ไม้เป็นไม้เนื้อแท้ เน้นความเป็นธรรมชาติและปราศจากมลพิษ
ฉินเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจ้าไม่ได้อยากจะดูโดดเด่นกว่าฝานซิ่วไฉหรือ เจ้านี่จะทำให้เจ้าแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่”
นางไม่ได้พูดประชดประชัน แต่กล่าวอย่างจริงจังว่า “ถ้าต้องการสีสามารถไปหาช่างไม้หลิวที่โรงงานได้ ข้าบอกเขาไว้แล้ว ค่าสีจะลงบัญชีของข้า”
หลิวจี้สบตากลมโตที่จริงใจของนาง หัวใจก็สั่นไหวเล็กน้อย ทำไมถึงได้รู้สึกซาบซึ้งใจกันนะ
เมื่อปักกล้ารอบที่สอง หลิวจี้ทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกผิดต่อความหวังดีของเมียจ๋าจอมโหดที่บ้าน!
ฉินเหยาที่หันหลังกลับไปแล้วยกยิ้มเล็กน้อย ควบคุมทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์
ปีนี้มีข้าวที่จะปลูกเพียงแปดหมู่ ฉินเหยาและครอบครัวหกคนลงมือช่วยกัน ใช้เวลาเพียงสองวันครึ่งก็เสร็จ
ส่วนที่ดินสองหมู่ที่เหลือ ฉินเหยาจะปลูกแตงโม
กลัวว่าเด็กๆ จะไม่รู้หนักเบาทำลายต้นกล้าแตงโมที่นางเพาะเลี้ยงมาอย่างยากลำบาก ฉินเหยาจึงเรียกแค่หลิวจี้ สองสามีภรรยาช่วยกันปลูกแตงโมบนที่นาแล้งอีกสองหมู่ที่เหลือ
เมื่อปลูกเสร็จเรียบร้อย หลิวจี้จึงนึกขึ้นได้ ถามไปว่า “เมียจ๋า เจ้าปลูกอะไรหรือ”
ฉินเหยา “แตงโม”
หลิวจี้เกาหัว “แตงโมคือแตงอะไร”
“แตงที่กินได้” ฉินเหยากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
หลิวจี้ถามต่อ “ฟักทอง ฟักเขียวก็เป็นแตงที่กินได้ แตงโมต่างกันอย่างไรเล่า”
ฉินเหยา “เนื้อของมันเป็นสีแดงสด”
หลิวจี้ตกใจมาก “สีแดง? นี่ไม่ใช่แตงฆ่าคนใช่หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้าหนักๆ “ใช่ เป็นเนื้อทรายด้วย!”
หลิวจี้ตาเบิกโพลง นางล้อเล่นอยู่กระมัง
ใช่หรือไม่
ใช่หรือไม่เล่า!!!