ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 219 เด็กๆ ให้ของขวัญ
ตอนที่ 219 เด็กๆ ให้ของขวัญ
………………..
การสอบฝู่ซื่อเริ่มระหว่างวันที่สิบถึงสิบห้าเดือนห้า จากหมู่บ้านตระกูลหลิวไปยังเมืองหลวงของมณฑลมีระยะทางกว่าสามร้อยลี้ ตามความเร็วของรถม้า หากไม่ต้องการเดินทางรีบเร่งเกินไป จะต้องใช้เวลาสี่ถึงห้าวัน
เมื่อรวมกับเวลาเตรียมตัวที่จำเป็นเมื่อไปถึงเมืองหลวงของมณฑลแล้ว การออกเดินทางล่วงหน้าสิบวันจึงเหมาะสมที่สุด
ตอนนี้งานในไร่นาโดยพื้นฐานที่บ้านเสร็จสิ้นลงไปแล้ว ฉินเหยาและหลิวจี้จึงเริ่มเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปยังเมืองหลวงของมณฑล
อย่างไรนี่ก็เป็นการเดินทางไกลครั้งแรก ฉินเหยาจึงยังคงมีความคาดหวังเล็กน้อย
รถม้าที่บ้านมีอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะต้องพักค้างคืนกลางทาง จึงต้องเตรียมกระโจมไปด้วย
พ่อค้าที่ทำการค้าระหว่างเมืองต้องการสิ่งนี้มากที่สุด ในตัวอำเภอก็มีขาย แต่ราคาไม่ถูก กระโจมผ้าน้ำมันกันน้ำหลังหนึ่งราคาถึงแปดร้อยเหวิน
เงินแปดร้อยเหวินนี้ แลกมาได้เพียงกระโจมเล็กๆ ที่ยาวไม่ถึงสองเมตรห้าสิบเซนติเมตร และกว้างไม่ถึงหนึ่งเมตรห้าสิบเซนติเมตร
แต่สำหรับคนสองคนเบียดกันก็เพียงพอแล้ว หากสภาพอากาศดีก็ยังสามารถนอนในรถม้าได้
หลังจากซื้อกระโจมกลับมา หลิวจี้ก็มองดูอยู่หลายรอบแล้วก็หัวเราะออกมาเป็นระยะๆ ไม่รู้ว่าในหัวเขาคิดสิ่งใดอยู่กันแน่
เมื่อมีพาหนะและที่พักชั่วคราวแล้วก็เหลือเพียงอาหารและน้ำดื่ม
เสบียงแห้งเหมาะที่สุดสำหรับการเดินทาง การทำอาหารระหว่างทางก็เสียเวลา ฉินเหยาจึงคิดว่า หากระหว่างทางมีร้านค้าก็จะกินที่ร้าน หากไม่มีร้านค้าก็จะกินเสบียงแห้งรองท้อง
เรื่องน้ำดื่มต้องระวังหน่อย ผู้คนแถวนี้ไม่มีนิสัยดื่มน้ำต้มสุก ฉินเหยาจึงเตรียมน้ำเต้าขนาดใหญ่สองลูกและเตาขนาดเล็กหนึ่งเตาไปด้วย
น้ำเต้าใช้ใส่น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว ส่วนเตาใช้สำหรับต้มน้ำ โต๊ะกลมที่มีรูตรงกลางในรถม้าสามารถวางเตาได้พอดี หากต้องตั้งค่ายพักแรม ก็ยังสามารถกินอะไรร้อนๆ ได้
ส่วนที่เหลือ เช่น หินเหล็กไฟ ร่ม รองเท้าพื้นหนา ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทาง
การเดินทางครั้งนี้จะต้องรอจนกว่าจะประกาศผลสอบถึงจะกลับมา คำนวณเวลาแล้ว อย่างน้อยก็ยี่สิบกว่าวัน อย่างมากก็หนึ่งเดือน
เดือนห้าอุณหภูมิสูงขึ้น สวมเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อบางเบาสบายๆ ก็พอแล้ว เมื่อรวมกับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ตอนออกเดินทาง มีเสื้อผ้าสำหรับซักเปลี่ยนสองชุดก็เพียงพอ
ดาบใหญ่ไม่ได้ใช้มานาน ต้องนำออกมาลับคม
ธนูและลูกศรก็ต้องนำออกมาตรวจสอบ เตรียมลูกศรเพิ่มอีกหลายดอกใส่ในกระบอกลูกศรให้เต็ม
กริชจะไม่นำไปด้วย จะเก็บไว้ให้ต้าหลางป้องกันตัว
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมก็รอเพียงแค่ออกเดินทางเท่านั้น
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ สองครั้งดังมาจากหน้าห้อง ซานหลางเรียกเบาๆ ว่า “ท่านแม่ ท่านออกมาข้างนอกหน่อย”
ฉินเหยากำลังเช็ดดาบ ได้ยินดังนั้นจึงเก็บดาบเข้าฝัก หยิบปิ่นปักผมไม้จากโต๊ะมาเกล้าผมที่เพิ่งสระและปล่อยให้แห้งอย่างลวกๆ จากนั้นเปิดประตูเดินออกไป
เมื่อก้มลงมองก็เห็นซานหลางกำชายเสื้อที่มีกระเป๋าสองข้างของตนเองแน่น แหงนหน้าขึ้นพยายามยิ้มให้ดูสบายๆ อย่างน้อยก็ในความคิดของเขา
“มีอะไรหรือ” ฉินเหยามองไปยังห้องโถง พี่น้องหลายคนที่เพิ่งเร่งให้กลับไปนอนในห้องเมื่อครู่ ตอนนี้มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงแล้ว
หลิวจี้ที่กำลังท่องหนังสืออยู่ก็ถูกเอ้อร์หลางดึงมาที่ห้องโถงด้วย ในมือยังมีหนังสืออยู่ บนหน้าผากยังมีผ้าคาดหน้าผากดาวเหวินฉวี่คุ้มครองแสนคุ้นเคย
เขาเงยหน้ามองมาทางฉินเหยา เหลือบเห็นฉินเหยาในชุดตัวกลางสีขาวหลวมๆ ผมเกล้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ดวงตาที่เดิมทีกำลังมองหนังสือก็พลันเบิกกว้างขึ้นในทันใด
ซานหลางยื่นมือเล็กๆ ออกมา จับนิ้วฉินเหยาหนึ่งนิ้วแล้วพานางเข้าไปในห้องโถง
เมื่อทำภารกิจเรียกคนเสร็จเขาก็รีบวิ่งไปรวมกลุ่มกับพี่ชายและน้องสาว สี่พี่น้องเรียงแถวหน้ากระดาน บังอะไรบางอย่างไว้ด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” ฉินเหยามองหลิวจี้ด้วยความสงสัย
หลิวจี้ส่ายหน้า เขาเองก็มึนงงอยู่เหมือนกัน
ซื่อเหนียงกระแอมหนักๆ สองครั้ง เตือนท่านพ่อท่านแม่ให้สนใจพวกเขาสี่คน
ฉินเหยาและหลิวจี้ก็มองไปอย่างให้ความร่วมมือ พวกเขาค้อมตัวลงเล็กน้อย เพื่อดูว่าสี่พี่น้องจะทำอะไร
ต้าหลางกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านน้าเหยา แม้ว่าท่านจะจากไปหนึ่งเดือน แต่เรื่องราวที่บ้านท่านไม่ต้องกังวล พวกเราจะดูแลวัวให้มันกินอย่างอิ่มหนำ ดูแลไก่ให้ดี หากโรงโม่น้ำมีปัญหาพวกเราก็จะไปหาช่างไม้หลิว และข้า เอ้อร์หลาง ซานหลาง และซื่อเหนียงก็จะดูแลตัวเองให้ดี…”
หลังจากเกริ่นนำมากมาย ต้าหลางก็เข้าเรื่องเสียที “คือว่า พวกเราทำของสิ่งหนึ่งให้ท่าน เป็นสิ่งที่ท่านจะได้ใช้ระหว่างทาง”
กล่าวจบ สายตาก็รีบหลบมองไปทางอื่น ใบหูแดงก่ำ ดูเขินอายอย่างมาก ไม่กล้าสบตากับฉินเหยาและหลิวจี้ที่มองมาด้วยความประหลาดใจ
เอ้อร์หลางตบมือที่ซื่อเหนียงซ่อนไว้ข้างหลัง ซื่อเหนียงเดินออกมาสองก้าว นำแผ่นรององเท้าสองคู่ที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา
“ท่านแม่ นี่ของท่าน ท่านพ่อ นี่ของท่านเจ้าค่ะ”
ซื่อเหนียงรีบส่งแผ่นรองเท้าทั้งสองคู่ให้บิดามารดาแล้วรีบหลบไปอยู่ข้างหลังพี่ใหญ่และพี่รอง กล่าวด้วยความภาคภูมิใจและเขินอายว่า
“พี่สาวจินฮวาเป็นคนสอนข้าทำ แต่ทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
นางยังย้ำเตือนเป็นพิเศษว่า “ข้ายังปักชื่อท่านพ่อท่านแม่ไว้ข้างบนด้วย!”
ฉินเหยาและหลิวจี้ก้มลงมองแผ่นรองเท้าในมือที่หากซื่อเหนียงไม่บอกว่าเป็นแผ่นรองเท้าก็คงไม่มีใครรู้ว่าใช่ จริงดังคาด ตรงกลางแผ่นรองพบด้ายปักที่สีแตกต่างออกไป
ฝั่งของฉินเหยาพอจะดูออกว่าเป็นตัวอักษรเหยา
แต่ฝั่งของหลิวจี้นั้นกลับเป็นเพียงกลุ่มด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง
หากซื่อเหนียงไม่บอก พวกเขาคงไม่เห็น คิดว่าเป็นเพียงปมด้ายที่พันกัน
เมื่อมองดูแผ่นรองเท้าในมือแล้วมองดูสี่พี่น้องตรงหน้าที่นัยน์ตาเผยความอาลัยอาวรณ์ ทว่าก็รู้ประสาและไม่ได้เรียกร้องอะไร ฉินเหยาก็รู้สึกปวดหน่วงในอกอย่างประหลาด
นางกดความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจไว้แล้วถามด้วยความประหลาดใจว่า “พวกเจ้าเอาผ้าจากไหนมาทำแผ่นรองเท้านี่กัน”
ซานหลางชี้ไปที่เอ้อร์หลางแล้วกล่าวว่า “เงินค่าขนมที่พี่รองเก็บไว้ขอรับ”
ซื่อเหนียงเสริมว่า “พี่ใหญ่ช่วยข้าทำนิดหน่อยด้วย”
ไม่อย่างนั้นแค่ตัวนางเองคงทำแผ่นรองเท้าสองคู่ไม่ได้
ต้าหลางก็ชี้ไปที่ซานหลาง “น้องเล็กเป็นคนวาดแบบ ไม่รู้ว่าท่านจะชอบหรือไม่…”
“พ่อชอบมาก!”
หลิวจี้กดแผ่นรองเท้าที่ไม่เหมือนแผ่นรองเท้าคู่นั้นไว้แนบอกแน่น แสดงสีหน้าปลาบปลื้มยินดีจนเกินจะบรรยาย “ลูกข้าเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ!”
ฉินเหยาก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับของขวัญของพวกเจ้า แม่เองก็ชอบมาก”
ซื่อเหนียงหัวเราะคิกคักด้วยความภาคภูมิใจเป็นพิเศษ นางรู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อท่านแม่จะต้องชอบมากแน่ๆ !
ซานหลางไปหยิบรองเท้าของบิดามารดามาให้ พวกเขาใส่แผ่นรองเท้าลงไปแล้วให้สวมทันที
บรรยากาศอบอุ่นเช่นนี้ ฉินเหยาย่อมไม่มีทางทำลายมัน
หลิวจี้ที่ปากบอกว่าชอบ แต่ในใจกลับไม่คิดจะลองสวมแผ่นรองเท้านั้น ก็ถูกสี่พี่น้องช่วยกันยัดแผ่นรองเท้าเข้าไปในรองเท้าจนสำเร็จ
ฉินเหยาเลิกคิ้วให้หลิวจี้ หลิวจี้ฝืนยิ้มแบบบิดามีเมตตา สวมรองเท้าแล้วเดินไปมาสองรอบ
“ท่านพ่อ ใส่สบายใช่หรือไม่” ซื่อเหนียงถามด้วยความคาดหวัง
หลิวจี้ถามกลับว่า “ซื่อเหนียงเจ้าอยากฟังความจริงหรือคำลวงกันเล่า”
ซื่อเหนียงจ้องท่านพ่อเขม็ง “แน่นอนว่าต้องเป็นความจริง!”
หลิวจี้คิดในใจ ความจริงก็คือใส่ไม่สบายเลยสักนิด แถมยังรู้สึกเจ็บเท้าเล็กน้อยอีกด้วย
แต่ภายใต้สายตาอันแสนอ่อนโยนของฉินเหยาที่มองมา เขากลับเอ่ยตอบไปว่า “สบาย! ใส่ดีมาก!”
สี่พี่น้องมองมาที่ฉินเหยาอีกครั้งก็ได้รับคำชมเชยชุดใหญ่ พวกเขาพากันหัวเราะอย่างพอใจ
แต่เมื่อหัวเราะไปหัวเราะมา พอนึกว่าบิดามารดากำลังจะจากไปถึงหนึ่งเดือนเต็ม ศีรษะก็ห้อยตกลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ฉินเหยาและหลิวจี้รู้สึกผิดอย่างรุนแรงในทันที
สองสามีภรรยาสบตากัน หรือว่า…จะไปด้วยกันทั้งหมดเลย?