ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 220 ท่านย่าสิ้นแล้ว
“ไปกันหมด?!”
ด้วยความยินดีที่มากเกินไปและไม่อยากจะเชื่อ สี่พี่น้องจึงเปล่งเสียงสูงกว่าปกติถึงแปดระดับ เกือบจะแทงทะลุแก้วหูของหลิวจี้
เขารีบเอามืออุดหูไว้ ผ่อนคลายอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปยังฉินเหยาผู้เป็นคนตัดสินใจ
อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เงินของเขาและเมื่อเด็กๆ ที่บ้านไปกันหมด บางทีเขาอาจจะหยิบเงินค่าขนมจากกระเป๋าของลูกๆ ทั้งสี่คนมาใช้ได้บ้าง
“ไปกันหมด ตัดสินใจแบบนี้แหละ!” ฉินเหยากล่าว
เมื่อได้รับคำยืนยันเช่นนี้ คู่แฝดก็กระโดดเข้าสู่อ้อมอกท่านแม่ด้วยความดีใจ กอดแขนของนางแล้วถามซ้ำๆ ว่า “จริงหรือ จริงหรือ ท่านแม่ห้ามโกหกนะ!”
ฉินเหยากล่าวซ้ำสามครั้งว่าเป็นเรื่องจริง เจ้าตัวเล็กสองคนจึงเชื่อ ถูกความสุขเข้าโจมตี จึงวิ่งไปในห้องโถงอย่างบ้าคลั่งเพื่อระบายความตื่นเต้นที่เก็บไว้ไม่อยู่
เดิมทีดึกแล้วควรจะนอนได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่มีใครนอนหลับ
ต้าหลางและเอ้อร์หลางถามด้วยความเป็นห่วงว่า “แล้วสำนักศึกษาเล่าขอรับ”
ฉินเหยากล่าวว่า “ก็แค่ไปลาหยุด”
เอ้อร์หลางและต้าหลางสบตากัน สามารถลาหยุดแบบนี้ได้ด้วยหรือ ท่านอาจารย์จะอนุญาตหรือไม่
ฉินเหยาตบหน้าอกรับประกันกับพวกเขาว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ใครบ้างตอนเด็กๆ ที่ไม่เคยโกหกครูเพื่อขอไปเที่ยวกับพ่อแม่?
“แล้วจะไม่เสียเงินเยอะหรือขอรับ” เอ้อร์หลางถามด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย พวกเขาเดินทางไกลกันหลายคน ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าใช้จ่ายระหว่างทางก็ต้องใช้เงินทั้งสิ้น พอไปถึงเมืองหลวงของมณฑลยังต้องพักที่โรงเตี๊ยม ยิ่งต้องเสียเงินมากขึ้นไปอีก
ในเรื่องการใช้เงิน ฉินเหยามักจะใช้เมื่อควรใช้ ประหยัดเมื่อควรประหยัด นางจึงบอกให้พวกเขาไม่ต้องกังวล เตรียมสัมภาระของตนเองให้ดีแล้วไปได้เลย
นอกจากที่ดินและเสบียงอาหารที่เป็นต้นทุนของบ้านแล้ว นางยังมีเงินเก็บกว่าอีกหกสิบตำลึง การเดินทางไปเมืองหลวงของมณฑลเพียงครั้งเดียวใช้เงินไม่หมดแน่นอน!
โบราณว่าไว้ อ่านตำราหมื่นเล่ม มิสู้เดินทางหมื่นลี้
โอกาสที่จะไปเมืองหลวงของมณฑลเช่นนี้ไม่ได้มีบ่อยนัก เมื่อตัดสินใจแล้ว แม้จะเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ แต่เมื่อรับปากไปแล้ว ฉินเหยาก็จะไม่กลับคำ
หลังจากสองสามีภรรยาไล่เด็กๆ ที่ตื่นเต้นทั้งสี่คนกลับห้องไปแล้ว ฉินเหยาและหลิวจี้สองผู้ใหญ่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพลางมองหน้ากันไปมา
เด็กๆ ดีใจแล้ว แต่ปัญหาที่ผู้ใหญ่ต้องแก้ไขกลับเพิ่มขึ้น
หลิวจี้ถามว่า “แล้ววัวที่บ้านใครจะเลี้ยง?”
ฉินเหยากล่าวอย่างจนปัญญาว่า “คงต้องรบกวนทางเรือนเก่าแล้วล่ะ”
ยังมีโรงโม่น้ำอีก คงต้องไปบอกนางจางและหลิวเหล่าฮั่นไว้ว่าอย่าลืมมาเก็บเงินด้วย
เงินที่ได้จากตรงนั้นทั้งหมดก็ยกให้เรือนเก่าไป หนึ่งเดือนก็ได้สองร้อยกว่าเหวิน ถือเป็นค่าช่วยดูแลวัวก็แล้วกัน
หลิวจี้กลับคิดอีกแบบ “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น จะแบ่งแยกอะไรเพียงนั้น พี่น้องช่วยเหลือกันไม่ต้องให้เงินหรอก”
ฉินเหยาเยาะเย้ยเขา “เจ้าไม่ละอาย แต่ข้ายังละอาย”
หลิวจี้หลุบเปลือกตาลง แอบเบ้ปากตอนนางไม่ทันสังเกตแล้วพึมพำว่า “อยู่ดีๆ มาด่ากันทำไม…”
ฉินเหยาไม่สนใจเขา ชี้ไปที่ไก่หลายตัวในลานบ้านที่เลี้ยงมาปีกว่าแล้ว ตัวใหญ่มาก
หลิวจี้นึกถึงรสชาติของน้ำแกงไก่ก็เลียริมฝีปากแล้วถามลองเชิงไปว่า “หรือว่าจะฆ่ากินเลย? ปล่อยไว้ก็ต้องหาคนมาเลี้ยงมันอีก ยุ่งยากน่าดู”
ฉินเหยามองเขาแวบหนึ่งแล้วตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ได้!”
“แต่ไก่พวกนี้ซานหลางกับซื่อเหนียงหวงมาก ไปบอกพวกเขาก่อนดีหรือไม่” หลิวจี้ถามขึ้นมาอีกครั้ง
เขากลัวจริงๆ ว่าคู่แฝดจะร้องไห้โวยวายจนบ้านไม่สงบสุข
แน่นอน นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ประเด็นสำคัญคือเขาไม่อยากทำลายภาพลักษณ์บิดาใจดีที่เขาสร้างขึ้นอย่างยากลำบากในใจของลูกๆ
ฉินเหยาคิดว่ามีเหตุผล เพราะอย่างไรคู่แฝดก็เลี้ยงไก่เหล่านั้นเหมือนสัตว์เลี้ยง ถามดูก่อนก็ดี
นางส่งสายตาแสดงความชื่นชมว่า ‘เจ้าคิดได้รอบคอบดีนี่’ ให้หลิวจี้แล้วลุกขึ้นโบกมือ ต่างคนต่างกลับห้องไปนอน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเรียกซานหลางและซื่อเหนียงมาถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการฆ่าไก่
ผลก็คือเมื่อทุกคนมารวมตัวกินไก่ในตอนเย็น เจ้าตัวเล็กก็ซดน้ำแกงไก่เข้มข้นไปสองชามรวด พร้อมกับร้องไห้ไปด้วย กล่าวว่า “ร้อนจัง แต่อร่อยมากเลย~”
ไก่ทั้งสี่ตัวถูกฆ่าทั้งหมด ทั้งครอบครัวกินไม่หมด ฉินเหยาจึงเรียกทุกคนในเรือนเก่ามากินด้วยกัน พร้อมกับบอกเรื่องที่พวกเขาหกคนจะเดินทางไกล
น้ำแกงไก่ที่หลิวเหล่าฮั่นเพิ่งนำเข้าปากเกือบจะถูกพ่นออกมา เขาฝืนทนร้อนกลืนมันลงคอด้วยความยากลำบากแล้วรีบถามทันทีว่า
“ต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลาง ซื่อเหนียง ไปเมืองหลวงของมณฑลกันหมดเลยหรือ นี่ตกลงไปสอบหรือไปเที่ยวกันแน่”
ฉินเหยายิ้มแล้วบอกให้หลิวเหล่าฮั่นนั่งลงก่อน “ภารกิจหลักๆ แน่นอนว่าคือการสอบ ส่วนการท่องเที่ยวนั้นเป็นเพียงเรื่องรอง”
“ตัดสินใจแล้วหรือ” หลิวเหล่าฮั่นถาม
ทั้งหกคนในครอบครัวพยักหน้าพร้อมกัน
หลิวจี้กล่าวว่า “พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะไปสำนักศึกษาของตระกูลติง ช่วยพวกเขาสี่คนลาหยุดกับอาจารย์”
“ตั้งหนึ่งเดือนเลยนะ อาจารย์จะอนุญาตหรือ” หลิวไป่สงสัยมากว่าหลิวจี้จะใช้เหตุผลอะไร
หลิวจี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย “เรื่องนี้ข้ากับเมียจ๋าจัดการเอง”
เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ มองดูต้าหลางและน้องๆ ทั้งสี่คนที่กำลังดีใจ ทุกคนในเรือนเก่าก็ยังคงไม่เข้าใจว่าหลิวจี้และฉินเหยาสองสามีภรรยาคู่นี้คิดอะไรอยู่กันแน่
สองคนนี้ไม่เสียดายเงินบ้างเลยหรือ
ว่ากันว่าคนจนเดินทางไกลต้องใช้จ่ายมาก ไม่ว่าจะประหยัดแค่ไหนระหว่างทางก็ต้องเสียเงินหนึ่งถึงสองตำลึงใช่ไหม ยังไม่นับค่าห้องพักคืนละหนึ่งถึงสองร้อยเหวินที่เมืองหลวงของมณฑลอีก แค่นั้นก็หมดไปสามถึงสี่ตำลึงแล้ว
สุดท้ายเมื่อรวมค่ากินค่าอยู่ของทั้งหกคนแล้ว แปดตำลึงเป็นเงินที่ต้องใช้จ่ายอย่างแน่นอน
แปดตำลึง! นางเหอและนางชิวคิดแล้วก็ถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
เดิมทีพวกนางคิดว่าฉินเหยาเป็นคนรู้จักแยกแยะ รู้จักประหยัด
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกตนจะยังรู้จักนางน้อยเกินไป
หลิวจี้ทำหน้าเศร้าสร้อย ถอนหายใจแล้วส่งสายตาให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลาง สองพี่น้องเข้าใจในทันที รีบก้มหน้าลงทำท่าทางโศกเศร้า
หลิวจี้ปาดน้ำตาที่หางตา “ท่านย่าของเด็กๆ สิ้นแล้ว ตั้งแต่ยังเล็กท่านก็ดีกับพวกเรามาก ดังนั้นครั้งนี้เมื่อย่าของพวกเขาเสียชีวิตและจัดงานศพ พวกเราจึงต้องไป ไม่เพียงแต่ต้องไปเท่านั้น แต่ยังต้องให้เด็กๆ สองคนไว้ทุกข์ให้ย่าของพวกเขาจนครบเจ็ดวัน เพื่อแสดงความกตัญญู หวังว่าท่านอาจารย์จะอนุญาตให้ลา เพื่อให้เด็กๆ ได้ส่งย่าของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย…”
บัณฑิตให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นที่สุด เมื่ออาจารย์ติงได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแต่จะอนุญาตให้ลาเท่านั้น แต่ยังกำชับสองพี่น้องให้อยู่เฝ้าศพของย่าของพวกเขาเพิ่มขึ้นอีกสองสามวันด้วย
หลังจากพูดถึงเรื่องราวที่เกี่ยวกับคุณธรรมแห่งความกตัญญูอีกสองสามบท อาจารย์ติงก็ปล่อยตัวพวกเขาไปโดยง่าย
ทางด้านฉินเหยา อาจารย์เฉิงก็ถามคำถามเดียวกันว่า “เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นที่บ้านหรือ”
อาจารย์เฉิงค่อนข้างให้ความสำคัญกับซื่อเหนียงและซานหลางที่เป็นลูกศิษย์ทั้งสองคนนี้ หากไม่จำเป็น เขาย่อมไม่ต้องการให้พวกเขาลาหยุดจนเสียการเรียน
แต่ไม่คาดคิดว่าฉินเหยาจะยื่นจดหมายที่ส่งมาจากเมืองหลวงของมณฑลให้ด้วยมือทั้งสองข้าง เนื้อหาในจดหมายเหมือนกับที่หลิวจี้กล่าวต่อหน้าอาจารย์ติงทุกประการ
สีหน้าของอาจารย์เฉิงเปลี่ยนไป จากที่เดิมทีเขามีท่าทีตำหนิเล็กน้อย กลับกลายเป็นเห็นใจและสุภาพขึ้นมาหลายส่วน
เขาคืนจดหมายให้ฉินเหยาแล้วกล่าวกับคู่แฝดว่า “ไปเถิด แต่ถึงจะเศร้าก็อย่าลืมทบทวนบทเรียนเล่า”
คู่แฝดที่ท่านพ่อกำชับไว้ว่าห้ามหัวเราะเด็ดขาด ต้องทำหน้าเศร้าตลอดเวลา เมื่อได้ยินอาจารย์เฉิงกล่าวเช่นนั้นก็เกือบจะกลั้นความดีใจไว้ไม่อยู่
โชคดีที่ฉินเหยารีบก้าวไปข้างหน้าบังพวกเขาทั้งสองคนไว้ แล้วโค้งคำนับอาจารย์เฉิงอย่างหนักแน่น “รบกวนท่านอาจารย์แล้ว!”
มุมปากของคู่แฝดที่ยกขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่นั้นจึงไม่ถูกเปิดเผยออกมา
จินเป่าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เมื่อกลับถึงบ้านก็เล่าเรื่องที่อาสามและอาสะใภ้สามทำที่สำนักศึกษาให้ฟัง
ในคำพูดนั้นค่อนข้างอิจฉาซานหลางและซื่อเหนียงที่มีบิดามารดาที่เข้าอกเข้าใจถึงเพียงนี้
พอทุกคนในเรือนเก่าฟังเรื่องที่จินเป่าเล่าต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันอันน่าแปลกประหลาด