ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 221 เป็นไปมิได้ที่จะหลงทาง
“เจ้ามีป้าแท้ๆ หรือไม่?”
บนถนนหลวงจากเมืองจินสือไปยังอำเภอไคหยาง หลิวลี่นั่งอยู่บนรถม้าตนเอง ถามหลิวจี้ที่กำลังบังคับรถม้าคันหน้าด้วยความสงสัย
สองครอบครัวออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ เดินทางบนถนนเล็กในชนบทมานานกว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดตอนนี้ก็มาถึงถนนหลวงที่กว้างขวางและราบเรียบ
ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง พวกต้าหลางสี่พี่น้องก็ตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะนี่เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกในชีวิตของพวกเขา
เดี๋ยวก็โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถม้า มองไปทางนั้นทีทางนี้ที เดี๋ยวก็ปีนมาที่ประตูรถม้า ถามโน่นถามนี่ ความสุขแทบจะล้นทะลักออกมา
แต่พอถึงเมืองจินสือ กลัวอาจารย์จะรู้ว่าพวกตนไม่ได้ไปงานศพจึงหดคอหลบอยู่ในตัวรถม้า ปิดปากไม่กล้าส่งเสียง
หลิวลี่และต้าจ้วงซึ่งเป็นคนงานระยะยาวที่ทำหน้าที่ขับรถม้าของบ้านเขาติดตามรถม้าของบ้านฉินเหยาไปตลอดทาง ตลอดเส้นทางมองเห็นพวกต้าหลางสี่พี่น้องกระทำตนประหลาดเช่นนี้ ครั้นมาถึงจุดนี้ก็อดใจไม่ไหวก็เอ่ยถามความข้องใจออกไป
คนในหมู่บ้านที่สนิทสนมกับเรือนเก่าของตระกูลหลิวส่วนใหญ่รู้แล้วว่าการสอบระดับมณฑลครั้งนี้สองสามีภรรยาฉินเหยาตั้งใจพาบุตรชายหญิงทั้งสี่คนไปด้วย แถมยังช่วยลาหยุดให้พวกเขา ทำให้เด็กๆ ในหมู่บ้านต่างอิจฉาจนร้องไห้
และเหตุผลในการลาหยุดนี้ก็ทำเอาทุกผู้ถึงกับตาค้าง
กล่าวว่าท่านป้าเสียชีวิตแล้ว ไม่รู้ว่าหากท่านป้าของตระกูลหลิวรู้เข้า จะโกรธลูกหลานอกตัญญูเหล่านี้จนตายหรือไม่
หลิวจี้ขับรถม้า ลมพัดโชย เมียจ๋าที่รักนั่งอยู่ข้างๆ กำลังเช็ดดาบ บรรยากาศดีทีเดียว
เขาฮัมเพลงทำนองแปลกประหลาดที่ไม่รู้ว่าเป็นเพลงของหมู่บ้านไหน พอได้ยินคำถามของหลิวลี่ที่อยู่ข้างหลังจึงหันกลับไปตอบด้วยท่าทีทะเล้นสองคำว่า
“เจ้าทายดูสิ!”
หลิวลี่แค่นเสียงเชอะ เขาไม่ทายหรอก
วันนี้อากาศดีมากตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง ตลอดทางมีแสงแดดจ้า สองข้างทางมีป่าไม้บดบัง อุณหภูมิไม่ร้อนจนเกินไป เป็นวันที่เหมาะแก่การเดินทาง
ตั้งแต่นี้ไปก็ออกจากเขตอำเภอไคหยางโดยสิ้นเชิง
การเดินทางครั้งนี้ไกลกว่าสามร้อยลี้ ก่อนออกเดินทาง ฉินเหยาก็วางแผนไว้แล้วว่าจะเดินทางวันละหกสิบลี้
ระยะทางนี้ไม่ถือว่าลำบาก สามารถนอนตื่นสายหน่อยแล้วค่อยออกเดินทาง โดยทั่วไปจะถึงสถานีพักม้าก่อนพระอาทิตย์ตกดิน หลีกเลี่ยงการเดินทางในเวลากลางคืน
อีกทั้งระหว่างทางพวกนางยังพาเด็กสี่คนไปด้วย หากเดินทางบนถนนใหญ่ได้ ก็จะไม่เดินทางบนถนนเล็กอย่างเด็ดขาด
เวลาที่เผื่อไว้สำหรับการเดินทางครั้งนี้มีมากพอ
พวกนางออกเดินทางในวันที่สามสิบเดือนสี่ ตามทฤษฎีแล้วจะสามารถเดินทางถึงเมืองหลวงของมณฑลก่อนวันที่ห้าเดือนห้า วันที่สิบถึงจะสอบ ยังมีเวลาอีกห้าวันให้เตรียมตัว
หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างมากก็คงล่าช้าไปแค่วันสองวัน ยังคงทันเวลา
แต่ก็มีคนโชคร้ายในปีก่อนๆ ที่หลงทางระหว่างเดินทาง กว่าจะถึงสนามสอบก็สอบเสร็จไปแล้ว ทำได้เพียงรอสอบครั้งต่อไปด้วยความเสียดาย
แน่นอนว่าหากมีฉินเหยาอยู่ การหลงทางย่อมเป็นไปไม่ได้
ก่อนออกเดินทาง นางไปหาเถ้าแก่อู่ สอบถามเส้นทางให้ชัดเจน ยืนยันรายละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่เส้นทางไหนที่มีน้ำพุบนภูเขาให้ตักดื่มได้ก็ยังทำเครื่องหมายไว้ ไม่มีทางหลงทางได้
แผนที่นำทางที่ซื้อมาจากร้านหนังสือก่อนหน้านี้ และแผนที่การเดินทางฉบับคัดลอกด้วยมือของเจ้าของร้าน หลังจากฉินเหยากลับถึงบ้าน นางได้นำแผนที่ทั้งสองมาวาดใหม่ให้ละเอียดและชัดเจนยิ่งขึ้นทำเป็นสองฉบับ
นางถือไว้ฉบับหนึ่ง หลิวลี่ถือไว้อีกฉบับหนึ่ง ทั้งสองคนสามารถตรวจสอบเปรียบเทียบกัน แม้จะเจอทางแยกที่คล้ายคลึงกันก็จะไม่หลงทาง
เดิมทีเมื่อรู้ว่าบ้านของเหยาทั้งหมดจะเดินทางไปยังเมืองหลวงของมณฑล หลิวลี่ก็คัดค้านอย่างมากในใจ
แต่ด้วยความที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัวนั้นค่อนข้างดี เขาจึงไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น
แต่ก่อนออกเดินทาง หลังจากที่ฉินเหยาส่งแผนที่แผ่นนี้ให้เขา ความกระวนกระวายในใจของหลิวลี่ก็ได้รับการปลอบประโลมอย่างมาก
ยิ่งเห็นว่าตลอดทาง เด็กทั้งสี่คนนอกจากเวลาลงจากรถม้าเพื่อไปห้องสุขาแล้ว เวลาอื่นก็เชื่อฟังอยู่ในรถม้า ไม่ร้องไห้งอแงจึงวางใจได้สนิท
สำหรับพวกต้าหลางสี่พี่น้องแล้ว การเริ่มต้นของการเดินทางนั้นเต็มไปด้วยความสุขและความสวยงาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากออกจากอำเภอไคหยาง สิ่งแปลกใหม่ก็เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งภูมิประเทศที่แตกต่างกัน สำเนียงภาษาที่ต่างออกไป ผู้คนที่สัญจรไปมา ทำให้ที่พี่น้องตื่นตาตื่นใจและมีกำลังใจมาก
ซื่อเหนียงเหมือนมีคำถามเป็นแสนคำ ตลอดทางเอาแต่ถามว่า
“ท่านแม่ นั่นคือสิ่งใด”
“ท่านแม่ ท่านดูทางนั้น!”
“ท่านแม่ เหตุใดในที่นาทางนี้จึงมีแต่ต้นหญ้าสูงๆ?”
เสียงเรียกท่านแม่ดังอยู่ข้างหูตลอดเวลาจนหลิวจี้ที่ขับรถม้าแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
แต่พอเขาหันไปมองคนข้างกาย สตรีร้ายกาจที่ปกติมักจะอารมณ์เสียใส่เขา ตอนนี้กลับโอบซื่อเหนียงไว้ในอ้อมแขน ข้างหลังยังมีต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลางเกาะซ้อนกันอยู่เหมือนเล่นต่อตัว ไม่มีท่าทีรำคาญแม้แต่น้อย ถามอะไรก็ตอบ
“ในนานั่นไม่ใช่หญ้า เป็นต้นป่านที่ชาวบ้านแถวนี้ปลูกกัน ส่วนลานตรงนั้นเป็นลานตากป่าน พวกเจ้าเห็นสิ่งนั้นที่แขวนอยู่บนไม้ไผ่ เป็นแผ่นสีขาวๆ เหมือนเถาวัลย์หรือไม่ นั่นแหละคือป่านที่ใช้ทำเสื้อผ้าป่าน”
ซื่อเหนียงถามด้วยความประหลาดใจ “เช่นนี้จะทำเป็นเสื้อผ้าได้อย่างไร”
ฉินเหยาจึงอธิบายให้ซื่อเหนียงฟังอย่างละเอียดว่าต้นป่านถูกนำมาทำเป็นเส้นใยได้อย่างไร แล้วใช้เส้นใยเหล่านั้นทำเป็นเส้นด้ายป่านทีละเส้นได้อย่างไร สุดท้ายก็ใช้เครื่องทอผ้าทอเส้นด้ายป่านเหล่านั้นให้กลายเป็นผืนผ้า แล้วนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าให้ประชาชนสวมใส่ได้อย่างไร
เมื่อก่อนเด็กๆ เคยเห็นเพียงท่านย่าและท่านป้าสะใภ้ของเรือนเก่าใช้เส้นไหมทอเป็นผ้าไหมไปขาย ส่วนเสื้อผ้าป่านนั้นซื้อมาทั้งนั้น ครั้งนี้พอได้ฟังคำอธิบายของฉินเหยา พวกเขาก็เพิ่งเข้าใจว่าแท้จริงแล้วการทำเสื้อผ้าป่านสักผืนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
เอ้อร์หลางรำพึง “ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดผ้าป่านถึงขายแพงเช่นนี้”
ต้าหลางก็ชื่นชมด้วยว่า “เส้นด้ายป่านต้องผ่านกระบวนการมากมายกว่าจะปั่นออกมาได้ ไม่รู้ว่าคนสมัยก่อนคิดได้อย่างไร พวกเขาช่างฉลาดจริงๆ”
ซานหลางและซื่อเหนียงเอียงศีรษะถามฉินเหยาว่า “ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงรู้มากเช่นนี้หรือ” พวกเขาไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย
ฉินเหยายังไม่ทันตอบ หลิวจี้ก็รีบหยิบหนังสือของพวกเขาออกมา “นี่ไง อยู่ในหนังสือทั้งนั้น อ่านหนังสือเยอะๆ อ่านมากๆ ก็จะเข้าใจเอง”
“รีบทำการบ้านวันนี้ให้เสร็จ พวกเรากำลังจะถึงสถานีพักม้าแล้ว อีกเดี๋ยวจะไม่มีเวลาทำการบ้านแล้วนะ” หลิวจี้กำชับด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
ซื่อเหนียงมองท่านพ่อด้วยสายตางอนๆ ไม่อยากขยับตัว ออกแรงถูไถร่างอยู่ในอ้อมกอดของฉินเหยาพร้อมกับทำเสียง “โฮ่งๆ” เลียนแบบลูกสุนัขของพี่สะใภ้โจวในหมู่บ้านสองครั้ง ทำให้ฉินเหยาขำ
นางก้มลงถามซื่อเหนียงที่บิดตัวไปมาอยู่ในอ้อมแขน “ก่อนออกจากบ้านพวกเราตกลงกันไว้ว่าอย่างไร”
เด็กหญิงตัวน้อยตอบอย่างชัดเจนและคล่องแคล่วว่า “ทุกเช้าอ่านหนังสือแต่เช้าหนึ่งชั่วยาม ทุกเที่ยงนอนพักผ่อนครึ่งชั่วยามแล้วตื่นขึ้นมาอ่านบทความต่ออีกสองบทความ พร้อมทั้งบอกความรู้สึกหลังอ่าน”
ฉินเหยาพยักหน้า “แล้วพวกเจ้ายังเหลืออีกเท่าไหร่”
“อ่านสองบทความแล้วก็บอกความรู้สึกหลังอ่าน…” เสียงของเด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ เบาลง
ฉินเหยาดึงนางออกจากอ้อมกอดแล้วยัดเข้าไปในตัวรถม้าพร้อมกับพี่น้องต้าหลางทั้งสาม
จากนั้นส่งสายตาให้หลิวจี้ “เจ้าก็เข้าไปด้วย ข้าจะขับรถม้าเอง”
หลิวจี้ที่เพิ่งจะยินดีในความทุกข์ผู้อื่นเมื่อครู่ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าสร้อย จำใจเข้าไปในตัวรถม้า นั่งรวมกับเด็กน้อยทั้งสี่คนที่กำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่เพื่อ…อ่านหนังสือ (กัดฟันพูด)!