ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 222 สถานีพักม้าเล็ก
หลิวลี่ฟังเสียงท่องหนังสือที่ดังมาจากรถม้าคันหน้า ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ
ไม่ใช่กระมัง ไม่ใช่กระมัง จะไม่ให้คนพักบ้างเลยรึ
หลิวจี้เจ้าบ้านั่นที่สำนักศึกษาก็ขยันขนาดนั้นแล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางอยู่แท้ๆ ยังจะอ่านหนังสืออีกหรือ
ต้าจ้วงฟังเสียงพ่อลูกห้าคนที่อ่านหนังสือกันไปคนละทิศละทางก็รู้สึกเพียงในหูอื้ออึง ในใจเกิดความรำคาญขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขาจึงลองเสนอแนะอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายรอง ไม่สู้ท่านถือโอกาสที่แดดกำลังดีๆ อ่านหนังสือบ้างดีหรือไม่ขอรับ”
หลิวลี่มุมปากกระตุกเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “ไม่อ่าน!”
ที่จริงแล้วสภาพจิตใจของเขาก็มั่นคงดีอยู่แล้ว เพราะอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ก็สิบปีแล้ว หากไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อนที่เขาถูกโจรภูเขาทำร้ายจนขาหัก การสอบรอบแรกและการสอบฝู่ซื่อเมื่อปีที่แล้วก็ย่อมต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน
ตอนนี้หายดีแล้วและสอบรอบแรกก็ผ่านไปอย่างราบรื่น ตัวเขาเองไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด
ส่วนการสอบฝู่ซื่อนั้น หลิวลี่ก็มั่นใจเต็มเปี่ยม
อาจารย์ต่างบอกให้เขารักษาสภาพจิตใจให้ดี ทำตามปกติก็พอ
อีกทั้งอ่านหนังสือมาตั้งหลายปี ตอนนี้กว่าจะได้พักหายใจหายคอ หลิวลี่เพียงต้องการพักผ่อนให้เต็มที่ตลอดทาง ชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามแตกต่างกันของที่อื่นๆ เพื่อเตรียมตัวสอบฝู่ซื่อด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย
ทว่าภายใต้เสียงอ่านหนังสือที่ดังสลับกันไปมาจากรถม้าคันหน้า หลิวลี่ก็ค่อยๆ หวั่นไหว ทนได้ไม่ถึงสองเค่อ ในที่สุดก็หยิบหนังสือขึ้นมาด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างจนใจของต้าจ้วง
แต่ก็อย่างว่า พอได้อ่านหนังสือ ใจกลับสงบลงเสียอย่างนั้น แม้แต่หนทางที่โยกไหว ก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คิด
ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน รถม้าของทั้งสองครอบครัวก็มาจอดเทียบสถานีพักม้าได้สำเร็จ
สถานีพักม้าแห่งนี้สร้างขึ้นสำหรับขุนนาง มีเพียงคนในราชสำนักเท่านั้นที่สามารถเข้าไปพัก เปลี่ยนม้าและทำกิจอื่นๆ ได้โดยไม่เสียเงิน
แต่หากเป็นพวกพ่อค้าที่เดินทางผ่านไปมา หากจ่ายเงินบ้างก็สามารถขอพักค้างคืนที่โรงเตี๊ยม หรือจะสั่งอาหารในห้องโถง ขอน้ำร้อนมาล้างหน้าล้างตาได้
ทว่ามีเงื่อนไขว่าโรงเตี๊ยมยังมีที่ว่างพอรับรอง หรือคืนนี้ไม่มีขุนนางสำคัญของราชสำนักเข้าพัก
หากเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก โรงเตี๊ยมข้างๆ ก็ยังมีโรงเตี๊ยมส่วนตัวที่เปิดให้บริการ ให้ชาวบ้านธรรมดาได้พักค้างคืน
แต่โอกาสที่จะเจอแบบนี้มีน้อยมาก จะมีก็แต่ถนนใหญ่ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเท่านั้น
ฉินเหยาจอดรถม้าเรียบร้อยแล้วก็เรียกสี่พี่น้องลงมาจากรถม้าเพื่อเดินเล่น
นั่งอยู่ในรถม้ามาทั้งวันแล้ว หากไม่ขยับแข้งขยับขาบ้างคงชาไปหมด
สี่พี่น้องที่ตอนออกเดินทางยังกระปรี้กระเปร่า ตอนนี้เรี่ยวแรงถูกความเหนื่อยล้าจากการเดินทางบั่นทอนไปจนหมด พี่คนโตจูงน้องคนเล็ก กระโดดลงจากรถม้า มองสำรวจสถานที่แปลกหน้าแห่งนี้
เพราะความไม่คุ้นเคย พวกเขาจึงหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว เกาะติดอยู่ข้างกายบิดามารดา ไม่พูดไม่จา
ที่นี่คือสถานีพักม้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง รอบด้านเป็นป่าไผ่หนาทึบ บดบังแสงอาทิตย์ยามเย็นที่เหลือน้อยอยู่แล้ว ทำให้มืดมิดยิ่งขึ้น
ถนนหลวงที่รถม้าหนึ่งคันวิ่งผ่านได้ ทอดตัวผ่านระหว่างป่าไผ่ สถานีพักม้าสร้างอยู่ริมถนนหลวง มีเพียงกระท่อมไม้เรียบๆ สองหลัง
หลังที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยคือห้องโถงของโรงเตี๊ยม ภายในมีส่วนที่เป็นห้องโถงและโต๊ะคิดเงินประมาณหนึ่งในสาม วางชุดโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ ไว้ชุดหนึ่ง
ส่วนที่เหลืออีกสองในสามมีฉากกั้นที่ทำจากเสื่อไม้ไผ่กั้นอยู่ ข้างในน่าจะเป็นที่พักรวม
ข้างในไม่มีแม้แต่เงาคน แต่ประตูเปิดกว้าง อาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ประจำสถานีม้าที่ดูแลสถานีพักม้ามีธุระต้องไปชั่วคราว
ส่วนอีกหลังที่เล็กกว่าเป็นคอกม้ากึ่งเปิดโล่ง ภายในมีม้าแก่สีน้ำตาลตัวหนึ่ง มันถูกล่ามไว้ในคอก ดวงตาขุ่นมัวจ้องมองผู้คนที่อยู่ริมถนน
ซานหลางขี้กลัวหลบไปอยู่ข้างหลังท่านพ่อ จับชายเสื้อของเขาไว้แน่น
หลิวจี้ขำ เอื้อมมือไปขยี้ศีรษะบุตรชาย “อย่ากลัวเลย มันถูกล่ามไว้ ไม่กัดเจ้าหรอก”
ซานหลางหน้าตาตื่น ร้องไห้ด้วยความกลัวยิ่งกว่าเดิม ม้าตัวนั้นจะกัดคน!
ต้าจ้วงเฝ้ารถม้า หลิวลี่เดินมาสมทบกับครอบครัวของฉินเหยา มองไปยังกระท่อมสองหลังในป่าไผ่มืดมิดข้างหน้า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนในโรงเตี๊ยมไม่ได้จุดตะเกียงทำให้มืดมิด หรือเป็นเพราะจิตใจของเขาเองที่คิดไปเอง ทว่ารู้สึกวังเวงชอบกล
พวกเขาไม่ใช่ขุนนางในราชสำนัก เดิมทีก็ไม่มีสิทธิ์เข้าพักในโรงเตี๊ยม แต่หากต้องการพักค้างคืนใกล้ๆ กัน อย่างน้อยก็ควรจะแจ้งให้ทราบ
แต่ตอนนี้ หลิวลี่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ เขาพึมพำเบาๆ ว่า “รู้อย่างนี้เมื่อกี้ตอนผ่านเมืองเล็กๆ นั่น เข้าไปพักในโรงเตี๊ยมในเมืองก็ดี”
ออกมานอกบ้าน ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ จะตัดสินใจผิดพลาดไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ตอนนี้พอจอดรถม้าอยู่ริมถนน มองไปยังสถานีพักม้าที่เปล่าเปลี่ยวไร้ผู้คน ก็ให้รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
หลิวจี้มองดูผู้คนที่ยืนอยู่ริมถนน ลองถามอย่างระมัดระวังว่า “พวกเราลองเข้าไปดูก่อนดีหรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้า เห็นด้วยว่าควรเข้าไปดู จะได้ไม่ต้องคิดมากไปเอง
ฉินเหยาจัดการให้หลิวจี้และต้าจ้วงพาเด็กทั้งสี่คนไปรออยู่ที่เดิม นางสะพายธนูและคันศรที่ไม่สะดุดตา ส่งสายตาให้หลิวลี่ จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปยังโรงเตี๊ยมที่เงียบเหงาและมืดมิดนั้นด้วยกัน
ก่อนจะไป ฉินเหยาบอกเป็นนัยให้ต้าหลางระมัดระวังเอาไว้
ความเข้าใจกันที่บ่มเพาะมาในป่าลึกบนเขาทำให้เด็กหนุ่มเข้าใจทันที เขาไล่น้องชายน้องสาวขึ้นรถม้าแล้วลอบกำกริชที่ซ่อนไว้ตรงเอวแน่น ยืนอยู่ข้างรถม้า คอยสังเกตถนนหลวงและทางเดินเล็กในป่าไผ่ที่สามารถสัญจรไปมาได้
ท่าทีที่สุขุมเยือกเย็นเช่นนี้คล้ายกับฉินเหยาอยู่หลายส่วน ทำให้ต้าจ้วงนึกประหลาดใจ หากว่าคนในหมู่บ้านมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าเป็นแม่ลูกแท้ๆ กัน
ราตรีค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ในป่ามีเสียงนกร้องแปลกๆ ดังขึ้นเป็นครั้งคราว หลิวจี้เลิกคิ้วข้างหนึ่ง ด้วยอิทธิพลของบรรยากาศประหลาดนี้ เขาจึงเผลอขยับเข้าไปใกล้ต้าจ้วง มองฉินเหยาและหลิวลี่ที่เดินไปถึงหน้าสถานีพักม้าแล้วด้วยสายตาจดจ่อ
“มีผู้ใดอยู่หรือไม่” หลิวลี่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วถาม
ข้างในไม่มีเสียงตอบรับ เขามองฉินเหยาแวบหนึ่งแล้วเพิ่มระดับเสียงถามไปอีกที “มีผู้ใดอยู่หรือไม่?!”
สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงสายลมที่พัดพาฝุ่นละอองจากหลังบ้านผ่านหน้าต่างมาถึงประตูใหญ่ หลิวลี่ย่นจมูกอย่างไม่สบายตัว ฝุ่นผงทำเอาเขาแสบจมูกไม่น้อย
เขาอดไม่ได้ที่จะจามออกมา
แววตาของฉินเหยาเปลี่ยนไปในทันที นางใช้ปลายจมูกสูดดมก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ จริงๆ
เห็นหลิวลี่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไป นางก็ยื่นแขนออกไปขวางเขาไว้ “ข้าจะเข้าไปเอง เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอก”
“อะ-อะไรหรือ” หลิวจี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าสีหน้าของฉินเหยาไม่ปกติ ดวงตาคมกริบราวกับเหยี่ยวที่กำลังล่าเหยื่อบนท้องฟ้า มองแล้วให้รู้สึกขนลุก
ฉินเหยาไม่ได้อธิบาย เพราะนางเองก็ยังสงสัยอยู่ นางปล่อยให้หลิวลี่รออยู่ข้างนอกแล้วก้าวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่มืดมิดและทรุดโทรมแห่งนี้เพียงลำพัง
ทันทีที่เข้าไป ฉินเหยาก็เห็นร่องรอยคล้ายคราบเลือดอยู่บนโต๊ะที่ว่างเปล่า
เป็นร่องรอยที่เหมือนมีคนพยายามเช็ดออกด้วยอะไรบางอย่างเพื่อปกปิด แต่เพราะความตื่นตระหนกและรีบร้อนจึงเช็ดไม่หมด ยังคงมีคราบเลือดหลงเหลืออยู่
มองดูเครื่องเรือนและสิ่งของต่างๆ ที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบในโรงเตี๊ยม รวมถึงโต๊ะคิดเงินที่สะอาดสะอ้าน ก็ตัดสินได้ไม่ยากว่าคราบเลือดนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้
ฉินเหยาเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งก็แน่ใจได้ว่าในบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่
นางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวก็พบรอยเลือดที่หยดทิ้งไว้อีกสองสามหยด
เดินตามรอยเลือดมาจนถึงประตูหลัง ฉินเหยายกก็มือขึ้นหมายจะเปิดประตูหลังเพื่อตรวจสอบต่อ แต่ทันใดนั้นม้าในคอกข้างๆ ก็ร้องฮี้ขึ้น