ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 233 เฮ่อจางหัวและฉีเซียนกวน
ตอนที่ 233 เฮ่อจางหัวและฉีเซียนกวน
………………..
ต้าหลางและเอ้อร์หลางยิ่งไม่ต้องเรียกหา พวกเขาถนัดการปีนต้นไม้ที่สุด
หลิวลี่ยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจน สองพี่น้องก็ขึ้นไปยืนอยู่บนง่ามไม้เสียแล้ว
เพราะกลัวว่าที่สำหรับผู้ใหญ่จะไม่เพียงพอ ต้าหลางและเอ้อร์หลางจึงปีนขึ้นไปอีกชั้น ตรงขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดไม้
ลมจากแม่น้ำพัดมา กิ่งไม้ไหวเอนไปมา หลิวลี่ยกมือขึ้นกุมหน้าอก รู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเสียให้ได้
ทว่าในวินาทีถัดมา เสียงของฉินเหยาก็ดังขึ้น “ไป!” เขารู้สึกเพียงว่าบ่าหนักอึ้ง เท้าทั้งสองก็ลอยขึ้นจากพื้น
หลิวลี่ที่ถูกโยนขึ้นไปบนต้นไม้กอดต้าจ้วงที่ถูกโยนขึ้นมาเช่นกันไว้แน่น สองนายบ่าวร่างกายสั่นเทา ไม่กล้าส่งเสียง
หลิวจี้หัวเราะเยาะเขาแล้วหันไปยื่นมือทั้งสองข้างให้ฉินเหยาบนต้นไม้อย่างมั่นใจ “เมียจ๋า เมียจ๋า ดึงข้าขึ้นไปที!”
ระยะทางสูงเกินไป ฉินเหยาบอกให้เขากระโดดขึ้นมาอีกหน่อย
หลิวจี้ร้องอุทานออกมา ใช้แรงทั้งหมดที่มีกระโดดขึ้นไป ฉินเหยาคว้ามือของเขาไว้แล้วเหวี่ยงตัวเขาขึ้นมา
เมื่อขึ้นมาถึงบนกิ่งไม้แคบๆ หลิวจี้ก็ก้มลงมอง ตอนที่ยืนอยู่บนพื้นเขาไม่รู้สึกว่าสูงเท่าไหร่นัก แต่พอมองลงมาจากข้างบนแล้วกลับทำให้เขาวิงเวียนศีรษะไปหมด
ลมพัดมาวูบใหญ่ หลิวจี้ที่มือทั้งสองข้างไม่มีอะไรให้ยึดเกาะเอนไหวไปมาแล้วรีบหาที่ยึดเหนี่ยวตามสัญชาตญาณ
ฉินเหยาเพิ่งลุกขึ้นยืน ด้านหน้าก็มีเงาดำร่างหนึ่งโถมเข้ามา โอบกอดนางไว้แน่น
เมื่อมีที่ยึดเหนี่ยว หลิวจี้ก็พรูลมหายใจออกยาว แต่เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าที่กำลังแสยะยิ้มของฉินเหยาอยู่ตรงหน้า
ประกายเย็นเยียบในดวงตาสีดำคู่นั้นทำให้เขาสันหลังเย็นวาบ รีบปล่อยมือออกทันที
แต่พอปล่อยมือ ความรู้สึกวิงเวียนก็กลับมาอีก สัญชาตญาณจึงสั่งให้เขากอดคนที่อยู่ข้างหน้าไว้อีกครั้ง
ฉินเหยาเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าแรงๆ จึงระงับความพลุ่งพล่านที่อยากจะเตะเขาทิ้งลงแม่น้ำไปได้
“มีกิ่งไม้อยู่ทางขวาบน” นางกัดฟันเอ่ยเตือน
หลิวจี้ร้องอ้อๆ พลางเอื้อมมือไปจับกิ่งไม้ คลำหาอยู่นานก็ไม่เจอ ฉินเหยาจึงต้องช่วยเขา คว้ามือที่โบกสะเปะสะปะไปวางไว้บนกิ่งไม้
“ไสหัวไป!”
หลิวจี้คิดในใจว่าสตรีผู้นี้ช่างไร้หัวใจนัก เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ ค่อยๆ ปล่อยมือนางแล้วถอยหลังไปเล็กน้อย ย่อตัวลงนั่งบนต้นไม้อย่างมั่นคง
เมื่อฉินเหยาเห็นดังนั้นก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเมื่อครู่เขาจงใจ นางจึงจ้องเขาด้วยความไม่พอใจอยู่นาน
หลิวจี้ไม่กล้าหันกลับไปมอง ทั้งกลัวว่านางจะจับพิรุธได้ และกลัวว่าใบหน้าที่แดงก่ำของเขาจะถูกมองเห็น
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงหน้าแดงเช่นนี้เล่า” ต้าหลางห้อยหัวลงมาจากปลายกิ่งไม้อีกชั้น ใบหน้าอยากรู้อยากเห็นปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิวจี้ ทำเอาบิดาของเขาตกใจแทบแย่
“เฮ้ย!” หลิวจี้ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ รีบเอนตัวไปข้างหลัง ฉินเหยายืนอยู่ข้างหลังเขาพอดี นางกอดอกพิงง่ามไม้ งอเข่าดันเขากลับไป
หลิวจี้รีบคว้าปลายกิ่งไม้ไว้แน่น จึงไม่หงายหลังตกลงไปในแม่น้ำเพราะความตกใจสองชั้นจากแม่ลูก
“เจ้าเด็กนี่อยากตายหรือไง!” หลิวจี้ไม่กล้าดุด่าคนที่อยู่ข้างหลัง จึงได้แต่ตะคอกใส่ต้นเหตุอย่างไม่พอใจ
ต้าหลางไม่กลัวเลย แถมยังชี้หน้าเขาแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านหน้าแดงกว่าเดิมเสียอีก เหมือนตูดลิงเลย”
หลิวจี้ยกมือที่ว่างขึ้นปิดหน้าโดยไม่รู้ตัว “แดงหรือ เจ้าเด็กนี่พูดจาเหลวไหลอะไร รีบกลับไปนั่ง”
ต้าหลางยังอยากซักไซร้ต่อ ฉินเหยาก็เอ่ยเตือนเขาว่า “ระวังด้วย” เด็กหนุ่มจึงมองบิดาของตนด้วยความสงสัยแล้วยืดตัวตรงกลับไปนั่งเช่นเดิม
ฉินเหยาเก็บตำแหน่งที่ดีที่สุดในการยืนบนกิ่งไม้นี้ไว้ให้หลิวลี่และต้าจ้วง นางปีนขึ้นไปอีกชั้น เอาหลังพิงกิ่งไม้ที่เล็กกว่าข้างๆ และวางเท้าลงบนกิ่งไม้ที่แข็งแรงและหนา จับซานหลางและซื่อเหนียงมาวางไว้ระหว่างขาเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กทั้งสองคนพลัดตกลงไป
ต้าหลางเอ้อร์หลางก็เข้ามาใกล้ นั่งขัดสมาธิบนกิ่งไม้ข้างๆ นาง มองไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำด้วยความสงสัย
แม่น้ำสายนี้กว้างประมาณสี่เมตร สามารถรองรับเรือมังกรได้สี่ลำเรียงกัน โดยไหลวนรอบถนนการค้าใจกลางเมืองหลวงของมณฑล ก่อให้เกิดเป็นแม่น้ำคูเมืองชั้นในรูปวงแหวน
โดยมีสะพานหินเป็นเส้นแบ่ง ฝั่งตะวันตกเป็นจุดเริ่มต้น ฝั่งตะวันออกเป็นจุดสิ้นสุด ตำแหน่งต้นไม้ใหญ่ที่ครอบครัวฉินเหยาอยู่คือข้างสะพานหิน ซึ่งสามารถมองเห็นทั้งการออกตัวของกลุ่มแรกและการเข้าเส้นชัยที่น่าตื่นเต้นที่สุด
เวลาค่อยๆ ใกล้เที่ยงวัน แสงแดดร้อนระอุ แม้จะเป็นหน้าร้อน แต่ก็ไม่อาจขัดขวางความกระตือรือร้นของผู้คนในการชมการแข่งขันได้
ทุกคนอดทนกับแดดร้อนจัดมารวมตัวกันที่ราวกันตกริมฝั่งแม่น้ำ การแข่งขันยังไม่เริ่ม เพียงเห็นกลุ่มแข่งทั้งแปดแบกเรือมังกรลงน้ำเพื่อเตรียมตัว เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น ผู้คนในเมืองแทบทั้งหมดก็มาถึงแล้ว ท่ามกลางเสียงซุบซิบด้วยความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้าน ท่านผู้ว่าการเฮ่อก็ปรากฏตัวพร้อมครอบครัว
อัฒจันทร์ที่จองไว้ก่อนหน้านี้ค่อยๆ ถูกเติมเต็ม
หลิวจี้บรรยายสดๆ “ท่านที่สวมชุดขุนนางสีแดงชาดตรงกลางนั้น ข้าคงไม่ต้องกล่าวอะไรมาก นั่นคือท่านผู้ว่าการเฮ่อแห่งจังหวัดจื่อจิงของเรา ท่านที่อยู่ทางซ้ายมือคือฮูหยินฉีและคุณหนูเฮ่อจางหัว โอ้โห คุณหนูท่านนี้ช่างงดงามราวเทพธิดา ผิวพรรณขาวผ่องราวหิมะ ว่ากันว่าเป็นกวีหญิงอีกด้วย สามขวบก็แต่งกลอนได้ ห้าขวบก็สามารถ……”
ฉินเหยา “ข้ามไป!”
อธิบายสั้นๆ ก็พอแล้ว พล่ามเสียยืดยาว
“เห็นเด็กชายคนนั้นไหม? อัจฉริยะที่สร้างความกระทบกระเทือนทางจิตใจระหว่างเส้นทางขามาให้กับพวกเจ้าอย่างมากนั่นน่ะ เขาเป็นใคร ทำไมถึงนั่งอยู่กับฮูหยินผู้ว่าการและคุณหนู”
ฉินเหยาชี้ไปยังเด็กชายบนอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม แล้วมองหลิวลี่และหลิวจี้ที่อยู่ข้างล่างด้วยท่าทีล้อเลียน
หลิวลี่มัวแต่สนใจมองเหล่าขุนนางที่อยู่ข้างท่านผู้ว่าการ พอฉินเหยาเตือนเช่นนั้นจึงหันไปมองทางขบวนขุนนางก็พบว่าอัจฉริยะคนนั้นก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
“เอ๊ะ?” หลิวลี่ประหลาดใจเล็กน้อย
หลิวจี้ก็ทำท่าประหลาดใจเกินจริง แต่ความจริงแล้วเมื่อคืนตอนที่เขาเดินเตร็ดเตร่อยู่ในห้องโถงของโรงเตี๊ยม เขาก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้เป็นใคร
ท้ายที่สุดแล้ว อัจฉริยะเช่นนี้ไม่ว่าจะปรากฏตัวที่ไหนก็จะกลายเป็นจุดสนใจ
ประการแรก เขาเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง
คุณหนูผู้ว่าการปีนี้อายุเก้าขวบ สามารถแต่งกลอนได้ตั้งแต่อายุสามขวบ
ส่วนอัจฉริยะคนนี้ปีนี้อายุสิบขวบ สามารถเขียนบทความที่ยอดเยี่ยมความยาวแปดร้อยตัวอักษรได้ตั้งแต่อายุสามขวบ
“บทความนั้น ว่ากันว่าตอนนี้ยังถูกท่านเสนาบดีฉีแห่งตระกูลฉี ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงขุนนางขั้นหนึ่งเก็บไว้ในศาลบรรพชนของตระกูลอยู่เลย”
“และอัจฉริยะคนนี้มีชื่อว่าฉีเซียนกวน ใช่! ไม่ผิด เขาคือขุนนางเซียนบนสวรรค์ที่เจ้าคิดถึงนั่นแหละ”
หลิวจี้กล่าวด้วยความตื่นเต้น “ฮูหยินผู้ว่าการเป็นหลานสาวของท่านเสนาบดี และยังเป็นป้าแท้ๆ ของฉีเซียนกวนอีกด้วย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลิวจี้ก็ลดเสียงลง “ตระกูลฉีมีหน้ามีตามากกว่าตระกูลเฮ่อมาก ดังนั้นทุกคนจึงพูดว่าฮูหยินฉีผู้นี้แต่งงานลดฐานะตัวเองลงมา เมื่อมีตระกูลฉีเป็นที่พึ่ง ผู้ว่าการเฮ่อคงจะถูกย้ายไปเมืองหลวงในไม่ช้า”
พูดจบก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยความอิจฉา “เป็นชายเหมือนกัน ทำไมบางคนถึงมีวาสนาดีเช่นนี้ เป็นที่ต้องตาต้องใจของคุณหนูตระกูลใหญ่ แถมยังก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วมาก”
ฉินเหยาทำทีเป็นหูหนวกไม่ได้ยิน แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ตระกูลฉีร้ายกาจถึงเพียงนี้ เหตุใดฉีเซียนกวนถึงต้องมาเข้าร่วมการสอบฝู่ซื่อที่จังหวัดจื่อจิงของเราด้วยเล่า”
“เรื่องนี้เจ้าไม่รู้กระมัง!” หลิวจี้ขยิบตาให้นางอย่างลำพองใจ ก่อนที่อีกฝ่ายจะอาละวาดในเสี้ยววินาทีถัดมา เขาก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า
“บรรพบุรุษของเขาอยู่ที่นี่ ได้ยินว่าท่านเสนาบดีกลัวว่าอัจฉริยะน้อยผู้นี้จะถูกอบายมุขในเมืองหลวงชักจูงไปในทางที่ผิด ดังนั้นจึงไม่ฟังคำคัดค้านของหลานสะใภ้ใหญ่ ส่งคนนำอัจฉริยะน้อยผู้นี้กลับมายังบ้านเกิด และยังเชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิติดตามมาสอนอีกด้วย”
ฉินเหยากล่าวเบาๆ “ท่านเสนาบดีฉีมีวิธีการสอนที่พิเศษจริงๆ”
ตราบใดที่หลิวจี้ได้ยินฉินเหยากล่าวชมบุรุษอื่น เขาก็จะรู้สึกราวกับได้รับเกียรติ ราวกับว่าคนที่ถูกชมคือตัวเขาเอง เขาจึงสะบัดผมหน้าม้าที่ตกลงมาปรกหน้าผากอย่างภูมิใจ แล้วตอบว่า
“แน่นอนสิ! ท่านเสนาบดีผู้นั้นเมื่อก่อนเคยเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการในการบุกเบิกร่วมสร้างแผ่นดินพร้อมกับฮ่องเต้และฮองเฮา สายตาของท่านจะเหมือนคนทั่วไปได้อย่างไรกัน?!”
ฉินเหยาเหลือบมองหลิวจี้อย่างเอือมระอา ผิวคันอีกแล้วหรือไร?
เอ้อร์หลางตะโกนจากยอดไม้ “ท่านพ่อท่านแม่ การแข่งขันเริ่มแล้ว!”
ผู้ใหญ่ทั้งสองหยุดการสนทนาทันที สองครอบครัวหันไปมองที่ผืนน้ำในแม่น้ำ
………………..