ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 237 จำได้แต่กิน จำไม่ได้ว่าโดนตี
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 237 จำได้แต่กิน จำไม่ได้ว่าโดนตี
ตอนที่ 237 จำได้แต่กิน จำไม่ได้ว่าโดนตี
………………..
เมื่อการแข่งเรือมังกรจบลง ผู้คนริมฝั่งแม่น้ำก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ตามท้องถนนมีการตั้งโครงไม้ไผ่ ร้านค้าและโรงเตี๊ยมที่จัดกิจกรรมทายปริศนาโคมไฟ ต่างก็สั่งให้เหล่าเด็กรับใช้นำโคมไฟที่เตรียมไว้มาแขวน
รอเพียงให้ฟ้ามืดสนิทก็จะจุดไฟให้สว่าง
ในตรอกซอยแคบๆ มีเสียงร้องโอดโอยของบุรุษดังขึ้นเป็นครั้งคราว
ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างก็มองด้วยความสงสัย แต่ก็ถูกเด็กสี่คนที่ยืนขวางอยู่ที่ปากตรอกบดบังสายตาไว้
ในจำนวนนั้นมีเด็กสองคนที่ตัวเล็กที่สุด หน้าตาเหมือนกันราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ใบหน้ากลมแป้น น่ารักเหมือนตุ๊กตาในภาพปีใหม่
อีกสองคนที่ตัวโตกว่าเล็กน้อย คนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ที่ปากตรอกราวกับภูเขา อีกคนหนึ่งหันกลับไปมองในตรอกที่มีเสียงร้องโอดโอยดังมาเป็นครั้งคราว พร้อมกับส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความสะใจ
เมื่อเห็นคนเดินผ่านไปมาหยุดมองด้วยความสงสัย เด็กหญิงตัวน้อยที่หน้าตาเหมือนเด็กในภาพปีใหม่ก็เท้าเอว เอียงศีรษะ มองด้วยดวงตากลมโตแล้วถามว่า “พวกท่านมองอะไรกัน? ไม่ต้องกลับไปกินอาหารเย็นที่บ้านหรือ”
เฮ้ ช่างเป็นเด็กที่ร้ายกาจเสียจริง
ชาวบ้านอยากจะมองเด็กหญิงตัวเล็กๆ ให้มากขึ้น แต่เด็กชายที่ตัวโตที่สุดกลับรีบเดินเข้ามาขวางไว้พลางจ้องมองพวกเขาอย่างระมัดระวัง
เด็กชายดูอายุประมาณสิบปี ดวงตาสีดำขลับทว่าดุร้ายกว่าหมาป่าในป่าเสียอีก
เมื่อถูกเขาจ้องมองมาเช่นนั้น ชาวบ้านก็ตกใจ รีบแยกย้ายกันไปทันที
ผ่านไปอีกประมาณครึ่งก้านธูป เสียงร้องโอดโอยข้างในก็เงียบลงในที่สุด
ฉินเหยาสะบัดข้อมือ บิดไหล่ เดินออกมาจากตรอกแคบๆ ที่มืดมิดด้วยท่าทางสดชื่น
ข้างหลังนางมีร่างที่เซถลาตามมา เดินไปก็ร้อง “ซี๊ด” ไป นั่นคือหลิวจี้ที่เพิ่งโดนซ้อมมาอย่างหนัก
“ท่านแม่!”
ซานหลางและซื่อเหนียงเห็นท่านแม่เดินออกมาก็รีบเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังพลางถามนางด้วยความเป็นห่วงว่าหิวหรือไม่ แม้แต่สายตาก็ไม่ยอมแบ่งให้บิดาแท้ๆ ที่เดินตามหลังมาเลยสักนิด
ฉินเหยาลูบศีรษะเล็กๆ ของคู่แฝด มือหนึ่งตบที่หน้าอกซึ่งเก็บเงินอุ่นๆ จากคุณหนูเฮ่อไว้ พลันสะบัดมืออย่างองอาจ “ไปเถิด พวกเราไปกินของอร่อยกัน!”
“ต้าหลางเอ้อร์หลาง พยุงเขาหน่อย” ฉินเหยาใช้คางพยักเพยิดไปข้างหลัง เมื่อต้าหลางเอ้อร์หลางขานรับ นางก็จูงมือคู่แฝดเดินนำหน้าไป
สองพี่น้องมองส่งแม่เลี้ยงพาน้องน้อยเดินออกไปก่อน จากนั้นจึงหันกลับไปมองหลิวจี้ที่พิงกำแพง มองฟ้าด้วยสายตาเหม่อลอย
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
ต้าหลางเดินเข้าไป พบว่าใบหน้าของท่านพ่อยังคงหล่อเหลาเหมือนเดิม แถมยังดูมีเสน่ห์มากขึ้นด้วยซ้ำเพราะเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักมาจนหางตาแดงเรื่อ
ใบหน้าไม่โดนซ้อม ดูเหมือนว่าน้าเหยาจะลงมือเบาพอสมควร
ทว่าทันทีที่เขายื่นมือไปจับแขนหลิวจี้ หลิวจี้ก็ร้อง “โอ๊ย!” ออกมา
ต้าหลางตกใจ รีบรั้งแขนเสื้อของท่านพ่อขึ้นดู พบว่าไม่มีรอยฟกช้ำดำเขียวแม้แต่น้อย จึงถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านพ่อ ท่านร้องอะไรน่ะ” ก็ไม่เห็นมีบาดแผลเลยนี่
หลิวจี้สูดลมหายใจเย็นๆ มองลูกชายทั้งสองด้วยหางตา “อย่ามายุ่งกับข้า!”
เมื่อเห็นว่าฉินเหยาและลูกๆ ทั้งสามกำลังจะลับสายตาไปแล้ว เขาก็เซถลาลุกขึ้น “ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ ช้ากว่านี้อาหารเย็นคงไม่มีส่วนของพวกเรา!”
ต้าหลางเอ้อร์หลางมองหน้ากัน อยากจะถามว่าให้ช่วยพยุงหรือไม่ แต่เห็นเขาเดินคล่องแคล่วดีจึงกลืนคำพูดลงคอ ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว
หลิวจี้ทั้งร่างดูเหมือนจะสมบูรณ์ดี เอ้อร์หลางเดินตามหลังมองท่านพ่อพลางเกาศีรษะ “พี่ใหญ่ ท่านพ่อโดนซ้อมจริงหรือเปล่าน่ะ”
เมื่อครู่เขาได้ยินเสียงร้องโอดโอยอย่างชัดเจน ฟังดูน่ากลัวมากจนเขาต้องเอามืออุดหู และแอบดีใจที่ท่านแม่ไม่เคยตีเด็ก มิเช่นนั้นเขาคงซวยไปแล้ว
ต้าหลางลูบคางวิเคราะห์ “น่าจะเป็นบาดเจ็บภายใน มองจากภายนอกไม่ออก แต่พอแตะโดนกระดูกก็จะรู้สึกเจ็บ แบบนี้เป็นฝีมือระดับปรมาจารย์ คนทั่วไปทำไม่ได้ แต่สำหรับน้าเหยาแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย”
“หา” เอ้อร์หลางส่ายหน้าจิ๊จ๊ะ มองแผ่นหลังของท่านพ่อ “แล้วการสอบเคอจวี่อีกไม่กี่วันข้างหน้าเล่าจะทำเช่นไร”
ต้าหลางยิ้มบางๆ ให้ผู้เป็นน้อง “เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก รอถึงเวลาสอบก็หายดีแล้ว ไม่ทำให้เสียการแน่ น้าเหยารู้หนักเบาดี…”
“กระซิบกระซาบอะไรกัน!”
ขณะที่สองพี่น้องกำลังคุยกันอยู่ก็มีคนโมโหเพราะอับอายตะคอกเสียงดังมา เร่งให้พวกเขารีบมาพยุงตนเองหน่อย
เอ้อร์หลาง “ท่านพ่อ เมื่อครู่ท่านบอกว่าไม่ให้พวกเราแตะท่านไม่ใช่หรือ”
หลิวจี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จึงไม่ถูกลูกอกตัญญูพวกนี้ทำให้โกรธจนเป็นลมไป เขากัดฟันกล่าวว่า
“ผู้ใหญ่สั่งให้ทำอะไรก็ทำไป เด็กๆ นี่ทำไมพูดมากนัก มานี่!”
ต้าหลางและเอ้อร์หลางยักไหล่ จับแขนเขาเบาๆ ข้างละคน พยุงท่านพ่อที่ดูเหมือนไม่เป็นอะไรแต่ความจริงน่าจะบาดเจ็บสาหัสตามแม่เลี้ยงและน้องๆ ไป
เมื่อการแข่งเรือมังกรจบลง หลิวลี่และต้าจ้วงก็กลับโรงเตี๊ยมไปก่อน กิจกรรมทายปริศนาโคมไฟตอนกลางคืนพวกเขาไม่เข้าร่วม
ไม่ใช่ว่าไม่อยากรู้อยากเห็น เพียงแต่ดูการแข่งเรือมังกรทั้งวันจนหมดแรงแล้ว จึงฝืนไม่ไหวอีกต่อไป
ฉินเหยายิ้มแสดงความเข้าใจ ทั้งสองครอบครัวจึงแยกกัน
พอแยกกัน รอยยิ้มก็หุบลงทันที นางกระชากแขนหลิวจี้ที่กำลังจะวิ่งหนีเข้าไปในตรอกแคบๆ ที่มืดมิดแล้วซ้อมอย่างหนัก
ถือโอกาสบังคับถามว่าเขาแทงเงินไปเท่าไหร่กับเรือธงขาว
หลิวจี้จะกล้าปกปิดได้อย่างไร เขาบอกทุกอย่างจนหมดเปลือก นอกจากค่าอาหารเย็นเมื่อคืนและค่าผักเช้าวันนี้แล้ว เงินที่เหลืออีกสี่เฉียนกับเงินส่วนตัวอีกหกร้อยเหวิน รวมเป็นหนึ่งตำลึงเต็ม เขาแทงไปหมดแล้ว
เมื่อฉินเหยาได้ยินก็รู้สึกเจ็บหน้าขึ้นมาทันที เมื่อวานนางยังบอกเอ้อร์หลางว่าจะปล่อยว่าว วันนี้หลิวจี้ก็สร้าง ‘เซอร์ไพรส์’ ใหญ่ให้นางแล้ว นางจึงเตะเขาไปอีกป้าบ
จากนั้นสมองก็หมุนแล่นอย่างรวดเร็ว วันนี้นางได้กำไรมาสองตำลึง หักออกหนึ่งตำลึงก็ยังเหลือกำไรอีกหนึ่งตำลึง
แถมหลิวจี้ยังได้อักษรของฉีเซียนกวนมาหนึ่งชุด ขายให้คหบดีมั่งคั่งคนหนึ่งก็จะได้เงินห้าตำลึง รวมเป็นเงินเข้ากระเป๋าทั้งหมดหกตำลึง นางจึงไม่ได้ฆ่าเขาตายเสียตรงนั้น
“คราวหน้าถ้ายังแอบยักยอกเงินส่วนกลางอีก ข้าจะตัดมือเจ้า!” ฉินเหยาเตือน
หลิวจี้กอดหัวนั่งยองๆ อยู่บนพื้น สาบานทั้งน้ำตาว่าไม่กล้าทำอีกแล้ว
ทว่านางไม่ได้ห้ามไม่ให้ซ่อนเงินส่วนตัว ดังนั้น น่าจะยังแอบซ่อนได้บ้างกระมัง?
ครอบครัวหกคนมาถึงร้านบะหมี่เป็ดย่างร้านหนึ่งเพื่อทานอาหาร
หลิวจี้ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่คำเดียว ช่วยยกบะหมี่ เติมเครื่องปรุงอย่างเงียบๆ ท่าทางระมัดระวังของเขาทำให้ฉินเหยาขมวดคิ้ว
“เจ้ากินของเจ้าไป ข้าไม่ต้องให้ใครมาปรนนิบัติ” ฉินเหยากล่าวอย่างรังเกียจ
“ได้” หลิวจี้พยายามฝืนยิ้ม ยกบะหมี่ไปนั่งกินที่มุมห้อง หัวใจที่เคยลอยขึ้นสูงในช่วงสองสามวันนี้กลับตกลงไปที่ก้นบึ้งอีกครั้ง ไม่กล้าทำตัวเหลวไหลอีกแล้ว
แต่ฉินเหยาจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไร?
คนผู้นี้จำได้แต่เรื่องกิน จำไม่ได้ว่าเคยโดนตี
ทว่าตอนนี้ดูเหมือนเขาจะรู้ความขึ้น นางจึงไม่ได้กล่าวอะไรอีก
หลังจากทานบะหมี่เป็ดย่างหอมกรุ่นเสร็จ บรรยากาศระหว่างสามีภรรยาก็ดีขึ้นเล็กน้อย
โคมไฟถูกจุดสว่างไสวไปทั่ว ร้านค้าที่อยู่ริมแม่น้ำแขวนโคมไฟหลากสีสันเต็มไปหมด โคมไฟเหล่านั้นมีกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ แขวนอยู่ ข้างในกระบอกไม้ไผ่บรรจุคำทายปริศนา
ที่หน้าประตูร้านค้า มีการวางของขวัญต่างๆ ทั้งเครื่องประทินผิว เครื่องประดับ ของเล่น ละลานตาไปหมด
โคมไฟไม่ได้ให้โดยไม่คิดเงิน โคมไฟเล็กราคาสิบเหวิน โคมไฟใหญ่ราคายี่สิบถึงห้าสิบเหวิน
ยังมีโคมไฟหรูหราราคาถึงสิบตำลึง ทายปริศนาสิบข้อ หากตอบถูกหกข้อขึ้นไปก็สามารถเลือกของรางวัลได้
ทางฝั่งของรางวัลนั้นน่าสนใจมาก มีทั้งเครื่องประดับหยก แจกันเครื่องเคลือบ โคมไฟแก้ว และยังมีปิ่นทองเครื่องเงิน ล้วนประณีตงดงามจับตา
………………..