ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 26 เมียจ๋าข้าผิดไปแล้ว
เมื่ออาหารเย็นเสร็จแล้ว หลิวจินเป่าก็วิ่งมาเรียกฉินเหยาและคนอื่นๆ ไปกินข้าวที่เรือนเก่า
“ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ผัดหมูสามชั้นผัดน้ำมันพริกกะละมังนึง วันนี้มีเนื้อกิน!” หลิวจินเป่าพูดด้วยความตื่นเต้น ดีใจยิ่งกว่าวันปีใหม่เสียอีก
เพราะเนื้อวันนี้ขนาดใหญ่กว่าเมื่อปีใหม่ปีที่แล้วเสียอีก
ท่านย่าบอกว่า วันนี้ได้พึ่งใบบุญของอาสะใภ้สาม อยากกินอะไรก็กินให้เต็มที่
ดังนั้น ท่านแม่จึงผัดหมูไปครึ่งหนึ่งจนเต็มกะละมังใบใหญ่ แค่คิดถึง หลิวจินเป่าก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
เขากลัวว่าหากไปสาย เนื้อจะโดนพวกต้าหลางกับเอ้อร์หลางกินหมดเสียก่อนจึงเร่งท่านพ่อกับท่านปู่ให้รีบไป
“สะใภ้สาม พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ให้เจ้าใหญ่อยู่เฝ้าเจ้าสาม เดี๋ยวเจ้ากินเสร็จค่อยกลับมาเปลี่ยนกับเขา” หลิวเหล่าฮั่นชวนฉินเหยา
ฉินเหยาส่ายหน้า “ไม่ล่ะเจ้าค่ะ ข้าอยู่เฝ้าตรงนี้ดีกว่า พวกท่านพ่อกลับไปเถิด อีกเดี๋ยวให้พวกต้าหลางกินเสร็จแล้วรีบกลับมา เอามาเผื่อข้าส่วนหนึ่งก็พอ”
พูดจบ นางก็เดินกลับไปหยิบชามใบหนึ่งมายื่นให้หลิวจินเป่า บอกให้เขาเอาไปให้ต้าหลางเพื่อใส่กับข้าวนำกลับมา
หลิวเหล่าฮั่นยังคิดว่านางช่างเป็นคนมีน้ำใจนัก หารู้ไม่ว่าฉินเหยานั้นกินจุ หากนางไป กินก็กินไม่อิ่ม กินเยอะไปก็จะไม่พอแบ่งคนอื่นอีก นางจึงเลือกไม่ไปแล้วอยู่บ้านต้มข้าวกินเองสบายใจกว่าเยอะ
นางจางที่ดูแลบ้านมานานกว่าสิบปี เชี่ยวชาญเรื่องการวัดปริมาณข้าวเป็นพิเศษ นางกำหนดปริมาณข้าวและกับข้าวของแต่ละคนในแต่ละมื้อมาอย่างพอดี รับประกันได้ว่าทุกคนในบ้านจะกินอิ่มประมาณเจ็ดส่วน
หากเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว คนที่ลงไปทำงานในไร่ก็จะได้กินเพิ่มขึ้นหน่อย
ทักษะนี้ถูกส่งต่อมายังนางเหอ นางยิ่งชำนาญกว่านางจางเสียอีก แม้แต่ข้าวที่ติดก้นหม้อก็ยังไม่เหลือเกินพอดี
คืนแรกที่เหยาเหนียงมาที่นี่ นางเคยกินข้าวพร้อมกับหลิวจี้ที่เรือนเก่า ตอนนั้นนางรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก
หลิวเหล่าฮั่นเห็นว่าฉินเหยายืนกรานจึงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเรียกบุตรชายสองคนมาช่วยจัดยาที่ได้มาจากหมอให้เรียบร้อยแล้วกำชับให้ฉินเหยาคอยเปลี่ยนยาให้หลิวจี้วันละสองครั้งก่อนจะกลับบ้านไป
บ้านที่วุ่นวายกลับมาเงียบสงบในที่สุด ฉินเหยาถอนหายใจเบาๆ พลางพับแขนเสื้อแล้วเริ่มทำงาน
นางหยิบตะเกียงน้ำมันที่ซื้อมาในวันนี้จุดไฟวางไว้บนเตาแล้วเริ่มก่อไฟเพื่อหุงข้าว
นางต้มข้าวต้มขาวหม้อใหญ่ กลิ่นหอมแรกเริ่มเพียงจางๆ แต่ยิ่งไฟแรงขึ้น กลิ่นข้าวหอมกรุ่นก็ลอยวนไปทั่วบ้านชวนให้ท้องร้อง
ฉินเหยาดึงฟืนออกมาเพื่อลดไฟให้เบาลงแล้วปล่อยให้ข้าวต้มค่อยๆ สุก จากนั้นก็ไปยังห้องข้างขนถุงธัญพืชหกถุงไปไว้ในห้องหลักแล้วจัดการปูที่นอนของเด็กๆ ทั้งสี่ใหม่
นางโยนฟางที่ใช้รองนอนออกไปนอกประตู เก็บไว้ใช้เป็นเชื้อไฟแล้วนำผ้าห่มเก่าๆ ที่ทั้งแข็งและมีกลิ่นอับมาวางไว้บนกองฟางหน้าบ้าน
นางหยิบเสื่อต้นจงแผ่นใหม่ออกมาปูลงบนแผ่นไม้ ตามด้วยผ้าปูเตียงมือสองแล้วคลุมด้วยผ้านวมใหม่ผืนหนา ทั้งเตียงดูเหมือนใหม่ในทันที
ห้องข้างยังมีพื้นที่เหลืออยู่เล็กน้อย ฉินเหยาลังเลระหว่างการกลับไปนอนที่ห้องหลักกับการประกอบเตียงขึ้นใหม่ในห้องข้าง หลังจากคิดอยู่สักพักนางก็เลือกที่จะอยู่ในห้องข้าง
ห้องหลักถูกใช้เป็นทั้งห้องอาหาร ห้องนั่งเล่นและห้องเก็บของ ทำให้ขาดความเป็นส่วนตัว
ยิ่งตอนนี้ยังมีคนหนึ่งนอนอยู่ในนั้น ฉินเหยาจึงตัดสินใจปูที่นอนชั่วคราวในห้องข้าง
นางนำฟางที่เพิ่งเก็บไปกลับมาปูที่มุมห้องข้าง วางเสื่อต้นจงทับบนฟางแล้วปูผ้าปูเตียงตามด้วยผ้านวม ทำให้นอนได้สบายเช่นกัน
หลังจัดที่นอนเสร็จ นางกองผ้านวมที่เหลือซ้อนกันไว้บนเตียง รอให้เครื่องเรือนและบ้านสร้างเสร็จแล้วค่อยจัดใหม่
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หยิบผ้าห่มฝ้ายผืนบางเดินไปที่ห้องหลักแล้วโยนใส่ร่างหลิวจี้
หลิวจี้ที่หนาวจะตายอยู่แล้วรู้สึกดีใจมาก รีบคว้าผ้าห่มมาคลุมตัวไว้ทันที
เสื้อผ้าของเขาถูกหลินเอ้อร์เป่าและพวกเอาไปหมด ตอนที่มาถึงเขาสวมเพียงเสื้อผ้าเนื้อหยาบขาดรุ่งริ่ง ตอนที่หลิวไป่เช็ดตัวให้เขาเสร็จก็ให้ใส่ชุดนั้นต่อ
ผ้าห่มที่ฉินเหยาเคยใช้นั้นเป็นของเก่าจากตระกูลหลิว ความอุ่นไม่ต้องพูดถึง แถมยังหนักอึ้งเสียจนหลิวจี้ที่กำลังบาดเจ็บแทบหายใจไม่ออก
หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงโวยวายเหมือนคุณชายใหญ่ไปแล้ว แต่ครั้งนี้เขากลับกลับเงียบเป็นเป่าสาก ทำเพียงนอนดมกลิ่นข้าวต้มขาวที่ลอยมาจากด้านนอก ท้องร้องโครกครากแต่ก็ไม่กล้าส่งเสียง
เพราะกลัวว่าฉินเหยาจะนึกถึงเขาขึ้นมาและอาศัยจังหวะที่ครอบครัวและพี่น้องไม่อยู่ฆ่าเขาทิ้งเสีย
ฉินเหยามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยสมุนไพรลดบวมของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ระวังอย่าทำผ้าห่มผืนใหม่ของข้าเปื้อน!”
ผ้าห่มที่เขาคลุมไว้จนถึงคอค่อยๆ ถูกดึงลงมาเผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยยา เหลือเพียงดวงตาสองข้างที่มองฉินเหยาด้วยความน่าสงสารปนหวาดระแวง
ก่อนที่นางจะก้าวออกไปจากประตู เขาก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“เมียจ๋า… ข้าผิดไปแล้ว”
ฉินเหยาหยุดเดิน หันกลับมา หรี่ตาลงเล็กน้อยจ้องมองชายที่ตัวสั่นระริกอยู่บนเตียงด้วยสายตาอันตราย
ภายใต้สายตาบีบคั้น หลิวจี้ต้องบีบแผลที่ขาของตนเองเพื่อใช้ความเจ็บปวดมากระตุ้นถึงฝืนให้ไม่ก้มหน้าลงได้
เขาเบิกดวงตาเรียวที่ยังเหลือสมบูรณ์เพียงคู่เดียว มองนางด้วยความจริงใจแล้วเอ่ยว่า
“เมียจ๋า คราวนี้ข้ารู้ตัวว่าผิดแล้วจริงๆ ข้าสัญญา จากนี้ไปจะไม่ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอีก รอให้แผลหายแล้ว ข้าจะหางานทำอย่างจริงจัง หาเงินเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงเจ้ากับลูกๆ ให้มีชีวิตที่ดี…”
ฉินเหยาหัวเราะเยาะ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือ”
หลิวจี้พยักหน้าอย่างรวดเร็วราวกลองป๋องแป๋ง “ข้าหลิวจี้ขอสาบานต่อฟ้า ต่อไปนี้หากเมียจ๋าสั่งให้ข้าไปทางตะวันตก ข้าจะไม่มีทางไปตะวันออก หากสั่งให้ไปทางตะวันออก ข้าจะไม่มีทางไปตะวันตก หากข้าผิดคำ ขอให้ฟ้าผ่าตายอย่างน่าอนาถ!”
เมื่อเห็นสายตาของฉินเหยาดูน่ากลัวน้อยลง เขาจึงรีบเสริมทันทีว่า “เมียจ๋า ข้ารู้ว่าเจ้าเสี่ยงชีวิตเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อหาเงินมาไถ่ตัวข้า…”
ฉินเหยาพูดว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
ชายหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อยก่อนพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ข้ามันเลวจริงๆ ข้าไม่รู้ดีชั่ว ข้าผิดต่อเจ้า จากนี้ไป ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าให้ดี งานหนักงานสกปรกในบ้านข้าจะทำเอง เจ้าแค่พักผ่อนก็พอ…” เขาหยุดไปกะทันหันพร้อมส่งเสียง “ซี้ด” ขึ้น
เพราะยิ่งพูดยิ่งคล่องปากทำให้แผลบนใบหน้าปริออกอีกครั้ง เจ็บจนหลิวจี้สูดลมหายใจเย็นเยียบ น้ำตาแทบร่วงลงมา
ฉินเหยาจุปาก “เจ้าจำคำพูดของเจ้าไว้ให้ดีล่ะ”
“แต่ข้าจำได้ว่าหลินเอ้อร์เป่าเพิ่งบอกว่าเจ้าเรียกข้าว่าสตรีอำมหิตรึ”
น้ำตาแห่งความเจ็บปวดและหวาดกลัวของหลิวจี้ไหลพรั่งพรูออกมาทันที
“เมียจ๋า ข้าถูกใส่ร้าย! ข้ามีแต่ความจริงใจต่อเจ้า ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าจะว่าร้ายเจ้าได้อย่างไร ต้องเป็นหลินเอ้อร์เป่าที่ใส่ร้ายข้าแน่ๆ!”
หลิวจี้พูดเสียงดังจนแผลปริออกมามากกว่าเดิม น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาผสมกับยาที่ทาเต็มใบหน้า ช่าง…น่าเกลียดเกินทน!
ฉินเหยายกมือขึ้นให้เขาเลิกร้องโหยหวนด้วยความรังเกียจ ดวงตาคู่นั้นราวกับมองทะลุความคิดของเขาได้ “พูดมาเถอะ เจ้าคิดจะทำอะไร”
หลิวจี้กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ศีรษะของเขาหันไปทางครัวโดยไม่รู้ตัว
ฉินเหยาเดินออกไปพลางพูดว่า “ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป อาหารทุกคำที่เจ้ากิน ข้าวของทุกชิ้นที่เจ้าใช้ รวมถึงหนี้สามสิบแปดตำลึงที่จ่ายให้หลินเอ้อร์เป่าในวันนี้ ข้าจะจดไว้ในบัญชีทุกอย่าง…”
“รอแผลเจ้าหายดีแล้วก็จงไปหางานทำอย่างว่าง่าย ชดใช้หนี้ก้อนนี้ให้ข้าซะ”
ฉินเหยาเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแล้วย้ำคำพูดของหลิวจี้ให้เขาฟังอีกครั้ง
นางหยิบชามมาใบหนึ่ง ตักข้าวต้มขาวหนึ่งชาม โรยด้วยน้ำตาลเล็กน้อยแล้วนำไปให้หลิวจี้ในห้อง
เมื่อเห็นข้าวต้มขาวหอมกรุ่น ใครเล่าจะยังมีสติคิดเรื่องอื่นได้ หลิวจี้ไม่สนใจบาดแผลบนตัวและใบหน้า รีบลุกขึ้นมา หยิบชามข้าวต้มมากินทันที
เขาพูดไปกินไปว่า “ข้าจะเชื่อฟังเมียจ๋าทุกอย่าง ต่อไปเมียจ๋าพูดอะไรก็ทำตามนั้น”
เขาซดข้าวต้มเข้าไปสองคำใหญ่ แม้ว่าจะร้อนจนแสบลิ้น แต่พอรู้ว่ามีการเติมน้ำตาลลงไป เขายิ่งไม่อยากคายออกมา ได้แต่สูดลมระบายความร้อนพลางกลืนลงท้องทั้งอย่างนั้น
อย่างไรเสียเมื่อกินอิ่ม หลับตาลงแล้วพอฟื้นมาอีกทีเขาก็จะทำทีเป็นลืมทุกอย่าง จำไม่ได้ว่าเคยสัญญาอะไรไว้กับนาง
แต่เขาไม่รู้เลยว่า ความคิดเจ้าเล่ห์นั้นของเขาถูกฉินเหยามองออกนานแล้ว
หากเขาลืมขึ้นมาจริงๆ นางก็มีวิธีช่วยเขาฟื้นฟูความจำแน่นอน!