ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 31 ยังกินไม่จุใจ
ฉินเหยาเลือกชุดเก่าของตนซึ่งซักด้วยขี้เถ้าหญ้าแล้วออกมาจากกองเสื้อผ้า เสื้อผ้าเหล่านี้หากซักด้วยน้ำคงเสียหายเป็นแน่
กลิ่นคาวเลือดบนเสื้อจางไปแล้ว แม้ว่าจะเล็กไปหน่อย แต่ก็พอใส่ได้
“ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย เพิ่งหายดีอย่าให้เป็นหวัดเล่า”
ฉินเหยาโยนเสื้อให้หลิวจี้พร้อมสั่งว่า “เดือนหน้าที่บ้านจะมีคนมาช่วยงานทุกวัน นอกจากอาหารสามมื้อของพวกเรา ทุกวันตอนเที่ยงยังต้องทำอาหารให้คนอื่นด้วย เจ้ายังไม่หายดีก็เริ่มด้วยงานเบาๆ เช่นทำอาหารก่อน หากเสร็จแล้วมีเวลาว่างก็ทำงานบ้านด้วย”
พูดพลางหยิบพวงเหรียญทองแดงในถุงเงินออกมายื่นให้เขา ทั้งหมดเป็นจำนวนสามร้อยเหรียญ
“ที่บ้านไม่มีผักแล้ว เจ้าเอาเงินนี้ไปซื้อมา เนื้อหมูที่ข้าซื้อมาก่อนหน้ายังเหลืออยู่นิดหน่อย เอาไปทำให้หมดวันนี้ก่อนที่มันจะเน่า”
“จากนี้ทุกห้าวันให้ทำเนื้อหนึ่งครั้ง มื้อเช้าทำให้นุ่มหน่อย มื้อเย็นทำให้แข็งหน่อย”
“อ้อ ข้ากินจุ เจ้าจำไว้ให้ดีว่าทำอาหารให้มากหน่อย หากข้ากินไม่อิ่มข้าจะหงุดหงิดมาก”
ส่วนเรื่องที่ว่าหงุดหงิดแล้วจะเกิดอะไรขึ้นนั้น นางเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
พอสั่งเสร็จ ฉินเหยาก็เร่งเขาว่าให้รีบหน่อยแล้วปิดประตู หยิบตะกร้าเดินออกไปทางริมน้ำ
หลิวจี้ที่ยังคงคิดหาวิธีปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเองประคองเหรียญทองแดงที่เมื่อวานหาทั้งบ่ายก็ไม่เจอนิ่งอยู่อย่างนั้นราวห้าวินาที
นี่นางให้เงินเขาแล้วหรือ
ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง หลิวจี้สะท้านไปทั้งร่างแล้วจามออกมาอย่างแรงหนึ่งครั้ง
เขารีบสวมเสื้อป่านที่ไม่พอดีตัวทับสองชั้นจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
เขาลอกแผ่นสมุนไพรออกจากใบหน้า ใบหน้าที่หายบวมแล้วเผยให้เห็นความหล่อเหลาที่เคยมีออกมาหลายส่วน
นอนซมอยู่สองวันโดยไม่ได้ล้างหน้าบ้วนปาก ผมยาวระเอวปล่อยสยายกระเซิง บางปอยตกลงมาปรกหน้าผาก เพิ่มความซีดเซียวอ่อนแอเข้าไปอีกหลายส่วน
หลิวจี้รูปร่างผอมบางแต่ไม่ซูบ เรือนร่างสูงสมส่วน บนร่างคลุมด้วยเสื้อป่านขาดๆ ทำให้ดูน่าเวทนาเป็นอย่างมาก
ประกอบกับ ‘ใบหน้าที่บาดเจ็บจากการรบ’ ทั่วทั้งร่างจึงแผ่กลิ่นอายอ่อนแอเปราะบางชวนให้คนสงสารสายหนึ่งออกมา
เพียงแต่ ท่วงท่าเช่นนั้นคงอยู่ได้ไม่ถึงสามวินาที เพราะทันทีที่เห็นเหรียญทองแดง ธาตุแท้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโลภมากของเขาก็ปรากฏออกมา
หลิวจี้เพ้อฝันเสียสวยหรู ‘ผักจะมีราคาเท่าไหร่กัน’
ที่เรือนเก่าพี่สะใภ้ทั้งสองก็ปลูกเอาไว้มากมาย ทั้งหมดก็ล้วนมาจากที่ดินของบ้านเราเอง เอาผักมาหน่อยยังจะเก็บเงินเขาด้วยหรือ
ยังมีแปลงผักของชาวบ้านในหมู่บ้านอีก พวกเราล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน ผักแค่นี้จะมีค่าอะไรมากมาย วันนี้เอาจากบ้านนี้ พรุ่งนี้เอาจากบ้านนั้น สามร้อยเหรียญนี่ก็เป็นของข้าแล้วสิ
คิดเช่นนั้น หลิวจี้จึงนำเหรียญทองแดงทั้งหมดไปซ่อนไว้ในบ้าน ลงกลอนประตูแล้วเดินตัวเปล่าออกมา
บริเวณหน้าบ้านและหลังบ้านเต็มไปด้วยเหล่าญาติและชาวบ้านที่มาช่วยงาน ฉินเหยาไม่อยู่นางเดินไปที่ริมน้ำแล้ว
เมื่อทุกคนเห็นหลิวจี้ปรากฏตัวก็พากันทักทายเขา ถามว่าเขาจะไปไหน อาการบาดเจ็บดีขึ้นหรือยัง
ญาติผู้ใหญ่สองคนจากบ้านท่านลุงต่างชื่นชมฉินเหยาหลายคำ บอกว่าหลิวจี้โชคดีมากที่ได้แต่งงานกับศรีภรรยาเช่นนี้ เขาที่เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ยังได้อยู่บ้านมุงกระเบื้องอีก
คำพูดก่อนหน้านั้นหลิวจี้ยังยิ้มรับอย่างร่าเริง แต่พอได้ยินประโยคหลัง รอยยิ้มของเขาก็แข็งค้างไปในทันที
แต่คิดอีกที บางทีนี่อาจเป็นการชื่นชมความสามารถของเขาอีกอย่างหนึ่งก็ได้ เขาจึงปัดเส้นผมยุ่งเหยิงที่หน้าผากอย่างมั่นใจแล้วเอ่ยอย่างลำพองว่า
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ไม่ดูเสียบ้างว่าข้าหลิวจี้เป็นใคร ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น ทั้งอำเภอไคหยางนี้จะหาสามีรูปงามอย่างข้าได้อีกที่ไหน!”
“สาวๆ ที่อยากเข้ามาเป็นอนุในบ้านข้าน่ะ ต่อแถวตั้งแต่หมู่บ้านตระกูลหลิวไปจนถึงเมืองใหญ่ยังได้เลย! หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ว่าสตรีผู้นี้แรงดีหาเงินเก่ง ข้าจะยอมให้นางเข้ามาเป็นเมียเอกของข้าหลิวจี้หรือ”
บรรดาญาติๆ เงียบกริบในทันที แม้แต่จะกลอกตาก็ยังไม่อยากเปลืองแรง ต่างพากันก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
หลิวจี้เองก็ไม่ได้สนใจว่าจะมีใครเห็นด้วยหรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็นอนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวมาถึงสองวัน หากไม่ได้ระบายอารมณ์เขาคงบ้าตายแน่
ขณะรู้สึกฮึกเหิม เขาก็เอามือไพล่หลัง เดินยืดอกด้วยท่าทางอวดหล่อไปทางริมแม่น้ำพลางคิดว่าจะไปเด็ดผักจากแปลงของสตรีบ้านไหนดี
ทันใดนั้น เขาก็พบฉินเหยากำลังหาบหินสองกระบุงเต็มเดินมาหยุดอยู่บนสะพาน
หลิวจี้ขนลุกเกรียวขึ้นทันที
ฉินเหยาเดินหาบหินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลิวจี้พยายามฝืนยิ้มน้อยๆ “เมียจ๋า เจ้ากลับมาแล้วเหรอ ข้ากำลังจะไปซื้อผักพอดี เจ้าอยากกินผักอะไร ข้าจะซื้อกลับมาทำให้เจ้าเอง”
“……”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร แต่เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าก็ปรายตามองเขาอย่างเย็นชา
สายตานั้น บ่งบอกความหมายลึกซึ้ง
หลิวจี้กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
นางต้องได้ยินแน่ๆ!
หลิวจี้ยกมือขึ้นป้องใบหน้าตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่ได้โดนต่อยแต่อย่างใด
เมื่อรู้สึกได้ว่านางเดินห่างออกไปไกลแล้ว เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด
เขาโกรธตัวเองนัก โกรธที่ร่างกายตัวเองไม่ฟังคำสั่ง โกรธที่เพียงเห็นสตรีร้ายกาจนางนี้เหงื่อเย็นก็ไหลท่วมตัวแล้ว!
เวลานั้นหลิวจี้ยังไม่รู้ว่า มีสิ่งไร้ลักษณ์อย่างหนึ่งที่เรียกว่าไอสังหาร
เขายืนนิ่งอยู่หลายวินาที ร่างกายถึงกลับมาขยับได้ จากนั้นเขาก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในหมู่บ้าน พอมีบ้านเรือนและต้นไม้บดบัง เขาจึงยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผากแล้วถอนหายใจยาว
วันนี้คนมาช่วยงานที่บ้านมีมากถึงยี่สิบคน ที่เรือนเก่าตระกูลหลิว นอกจากหลิวเหล่าฮั่นกับหลิวไป่ที่ต้องไปใส่ปุ๋ยที่นาแล้ว หลิวจ้งกับหลิวเฝยก็ล้วนมากันหมด
แม้แต่จินเป่าที่อายุแปดขวบก็ยังมาช่วยเก็บหินด้วย
คนเยอะกำลังมาก ลุงเก้าเป็นผู้คุมงาน แบ่งคนกลุ่มหนึ่งขุดฐานราก อีกกลุ่มเก็บและขนหิน อีกกลุ่มขุดดิน
วันนี้เพิ่งเริ่มงาน เป็นช่วงเตรียมวัสดุก่อสร้าง
หลังจากยุ่งกันทั้งเช้า ฐานรากของกำแพงก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ตำแหน่งของห้องที่จะต่อเติมก็ชัดเจนแล้ว
ฉินเหยาพอใจกับประสิทธิภาพของงานในครั้งนี้มาก
แต่สิ่งที่ทำให้นางไม่พอใจคือมื้อกลางวันหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาเกือบครึ่งวัน
เป็นโจ๊กธัญพืชหม้อใหญ่ที่ข้นพอประมาณ ผสมข้าวสารกับข้าวฟ่าง ยังมีเศษผักใบเขียวขนาดเท่าเล็บปะปนอยู่ไม่กี่ชิ้น
คนที่มาช่วยงานแต่ละคนได้รับแจกโจ๊กเต็มชาม
จริงๆ แล้วอาหารกลางวันนี้ดูเหมือนจะไม่เลว แต่! มันไม่มีรสชาติเลย!
หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานหนักมาทั้งเช้า ฉินเหยาในฐานะกำลังหลักก็อยากจะกินอะไรที่มีรสชาติบ้าง
พอได้ลองชิมคำแรก…เรียกมันว่าโจ๊กผักก็แล้วกัน พอกินโจ๊กผักเข้าไปคำหนึ่งกลับไม่มีรสชาติเลยสักนิด ความจืดชืดนั้นจะอธิบายอย่างไรดี
ก็เหมือนเจ้าทำงานเชื่อมเหล็กท่ามกลางแดดร้อนในฤดูร้อน แทบจะรอไม่ไหวที่จะกินแตงโมเย็นๆ เพื่อดับกระหาย แต่พอเสร็จงานกลับพบว่าแตงโมไม่เพียงแต่ไม่หวาน ยังอุ่นอีกด้วย!
ความรู้สึกพังทลายเช่นนี้ ทำให้ฉินเหยาแทบอดไม่ไหวคว้ามีดมาแทงพ่อครัวให้ตายต่อหน้าญาติและคนในตระกูล
สิ่งที่ฉินเหยาชื่นชอบที่สุดคือการกิน แต่สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือการกินแล้วไม่อร่อย
มื้อกลางวันที่กินแล้วไม่อร่อยส่งผลให้นางหน้าบึ้งตึงตลอดทั้งบ่าย ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายชั่วร้ายที่ใครๆ ล้วนไม่กล้าเข้าใกล้ออกมา
แม้แต่ลุงเก้าที่กำลังตะโกนดุด่าพวกเด็กหนุ่มในตระกูลอยู่ ยังลดเสียงลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นนาง
หลิวจี้ที่กำลังล้างชามอยู่ข้างถังน้ำคอยลอบสังเกตปฏิกิริยาของฉินเหยา เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ระเบิดอารมณ์ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่ยังไม่ทันจะถอนหายใจเสร็จ รองเท้าหุ้มข้อของสตรีคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
หลิวจี้: o((⊙﹏⊙))o!!!