ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 32 ลูกอกตัญญูทั้งสี่
แปะ แปะ! เสียงหนึ่งดังขึ้น
ปลาสดๆ จากแม่น้ำหลายตัวถูกฉินเหยาโยนลงไปในถังน้ำ นางมองชายที่ถือชามนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าจากมุมสูงกว่าแล้วเอ่ยว่า
“เติมน้ำเลี้ยงไว้ พรุ่งนี้กลางวันจะได้เพิ่มกับข้าวให้ทุกคนกิน”
หลิวจี้ถามด้วยความสงสัย “ปลานี่ไปจับมาจากที่ไหนหรือ”
เขาชะโงกลงไปมองในถัง เห็นปลาอยู่ห้าตัว มีตัวใหญ่สี่ตัว ตัวเล็กหนึ่งตัว ตัวใหญ่กว้างประมาณสามนิ้ว ตัวเล็กกว้างสองนิ้ว ปากปลาอ้ากว้างดิ้นกระเสือกกระสนในถังไร้น้ำ
หลิวจี้รีบลุกขึ้นตักน้ำจากโอ่งใส่ลงในถัง ปลาหลายตัวพอได้เจอน้ำก็พลิกตัวว่ายไปมา อาจจะเพราะถังน้ำเล็กเกินไปพวกปลาจึงเบียดกันไปมาจนหางกระทบกันเสียงดัง ซ่า น้ำกระเซ็นใส่หน้าหลิวจี้เต็มๆ
ฉินเหยามองดูสภาพนิ่งอึ้งจนตรอกของเขา มุมปากของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน นางหากระด้งมาปิดปากถังแล้วใช้หินทับไว้กันปลากระโดดออกมา
“จับมาจากแม่น้ำ ข้าจะไปทำงานต่อ เย็นนี้อย่าลืมทำเนื้อด้วย” ก่อนเดินไป นางยังเน้นย้ำคำสั่งอีกครั้ง
หลิวจี้ปาดน้ำออกจากใบหน้า ตอบรับเสียงเบา ก่อนลุกขึ้นมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง เขาไม่เคยทำอาหารเลยจริงๆ!
มื้อกลางวันวันนี้เขาวุ่นวายอยู่นานมากถึงฝืนต้มโจ๊กออกมาหม้อหนึ่งได้ ลืมไปแล้วว่านางสั่งให้ทำเนื้อในตอนเช้า
ขณะนี้ เนื้อชิ้นนั้นยังแขวนอยู่ใต้คานในห้องข้างอยู่เลย หลิวจี้รีบล้างกองจานชามตรงหน้าให้เสร็จแล้วเดินไปดูด้วยความกังวล
เนื้อยังเหลืออยู่สี่จิน ซื้อมาเมื่อสามวันก่อน หากไม่ใช่ว่าช่วงหลายวันนี้อากาศเย็นคงเน่าไปแล้ว
เขาหยิบมันลงมาแล้วดมดู แม้จะไม่มีกลิ่น แต่สีก็ไม่สดใหม่แล้ว
ถือเนื้อชิ้นนั้นไว้ หลิวจี้ยืนนิ่งคิดอยู่ข้างหน้าต่างเนิ่นนาน เขาพยายามขุดความทรงจำเกี่ยวกับการทำอาหารจานเนื้อออกมาจนหมดแล้วก็พบว่าในความทรงจำเกี่ยวกับครัวหรืออาหารนั้นมีอยู่น้อยมากจนน่าเวทนา
สิ่งที่เขาคิดออกล้วนเป็นอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วตั้งอยู่บนโต๊ะ
แต่มื้อค่ำวันนี้ หากเขาทำเนื้อออกมาไม่ได้ เกรงว่าจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้เป็นแน่
คิดถึงตรงนี้ หลิวจี้ก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจ
คิดถึงตนเองที่เป็นถึงชายหนุ่มร่างสูงถึงเจ็ดฉื่อ ตั้งแต่เด็กจนโตเขาล้วนกินแต่อาหารที่ทำเสร็จแล้วทุกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น กวาดตามองไปทั่วแคว้นเซิ่ง มีบุรุษคนไหนเข้าครัวทำอาหารบ้าง?
นี่มันดูหมิ่นเขาชัดๆ อยากให้เขาโดนบุรุษทั้งหมู่บ้านหัวเราะเยาะสินะ!
ฉินเหยา สตรีอำมหิตผู้นี้ แผนการของนางช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!
ต้าหลางกับพี่น้องทั้งสี่กำลังเล่นกระโดดหินอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นบิดายืนเหม่ออยู่ข้างหน้าต่างเนิ่นนานก็นึกว่าเขาโดนอาถรรพ์อะไรเข้าเสียแล้ว
เอ้อร์หลางลองเรียกเบาๆ ว่า “ท่านพ่อ?”
เสียงเรียกแผ่วเบานี้กลับปลุกหลิวจี้ที่จมอยู่ในความเศร้าจนไม่อาจถอนตัวให้ตื่นขึ้นมา
เขาราวกับคว้าเอาฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายไว้ได้ ถือเนื้อในมือรีบหันกลับมาถามพวกเขาว่าทำอาหารจานเนื้อเป็นหรือไม่
แม้แต่ซานหลางกับซื่อเหนียงยังพากันพยักหน้าบอกว่าทำเป็น
หลิวจี้กระแอมเบาๆ สองครั้งอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ยกท่าทางน่าเกรงขามของบิดาขึ้นมาต้องการจะสั่งให้ต้าหลางและเอ้อร์หลางรับผิดชอบการทำเนื้อและยังคิดให้ซานหลางกับซื่อเหนียงรับผิดชอบล้างผัก เด็ดผัก แบบนี้เขาก็แค่ต้องยืนคุมงานอยู่หน้าเตาเท่านั้นก็พอ
เขาคิดสวยหรู แต่ไม่ดูเลยว่าเด็กทั้งสี่จะยอมฟังเขาหรือเปล่า
ต้าหลางพูดว่า “นี่เป็นงานที่ท่านน้ามอบให้ท่านพ่อ แต่ท่านพ่อกลับมอบให้พวกเราทำแล้วท่านพ่อจะทำอะไรหรือ”
หลิวจี้คิดในใจ แน่นอนว่าข้าจะนอนดูพวกเจ้าทำงานอย่างไรเล่า
ต้าหลางไม่อยากมองท่าทางไม่เอาไหนของเขาจึงก้มลงเล่นกระโดดหินต่อ
เอ้อร์หลางกลอกตาไปมาแล้วก็คิดแผนการบางอย่างขึ้นมาได้
“ท่านพ่อ ข้าช่วยสอนท่านพ่อทำอาหารได้นะ แต่เหรียญทองแดงที่ท่านน้าให้ท่านพ่อ ท่านพ่อจะต้องแบ่งให้พวกเราด้วย”
“เจ้าเด็กตัวแสบ ตัวแค่นี้กลับสนใจแต่เงิน!” หลิวจี้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที
เงินเข้ามาอยู่ในมือเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะส่งมอบออกไปอีก ฝันไปเถอะ!
เอ้อร์หลางราวกับคาดการณ์ได้ว่าเขาจะตอบเช่นนี้จึงไม่ได้สนใจและยักไหล่ ก้มลงเล่นกับน้องๆ ต่อ เด็กทั้งสี่คนไม่แม้แต่จะมองเขา
หลิวจี้โมโหจนเกือบหงายหลัง แต่ก็ยังเดินไปตรงหน้าเด็กทั้งสี่คน กัดฟันเอ่ยเสียงเบาว่า
“พวกเจ้าทั้งสี่ยังเป็นลูกของข้าหลิวจี้อยู่หรือเปล่า ข้าเป็นพ่อแท้ๆ ของพวกเจ้านะ ยังสั่งพวกเจ้าไม่ได้อีกหรือ”
เอ้อร์หลางกลอกตาใส่เขา “ท่านน้าไม่ได้สั่งให้พวกเราทำนี่นา หากท่านน้าบอก ข้ากับพี่ใหญ่จะลงมือทำทันทีแน่นอน”
“จริงไหม พี่ใหญ่?”
ต้าหลางพยักหน้าอย่างไม่ลังเล เขากังวลมากว่าท่านพ่อจะโดนแม่เลี้ยงหย่าขาดเพราะขี้เกียจเช่นนี้
ถึงตอนนั้น แม่เลี้ยงก็จะไม่ใช่แม่เลี้ยงของพวกเขาอีกต่อไป ไม่มีหน้าที่ต้องมาดูแลพวกเขาแล้ว
แน่นอนว่า หากแม่เลี้ยงไม่รังเกียจ พวกเขาทั้งสี่คนจะติดตามแม่เลี้ยงไปอย่างแน่นอน
สองพี่น้องแลกเปลี่ยนสายตาเป็นเชิงตกลง
หลิวจี้โมโหจนแทบจะยกมือขึ้นตีเด็กๆ แต่ซานหลางกับซื่อเหนียงจ้องมองเขาด้วยตาโตไร้เดียงสา ใบหน้าที่สะอาดสะอ้านของสองแฝดดูไร้เดียงสาและแสนบริสุทธิ์
หลิวจี้สูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง มือที่เงื้อขึ้นสุดท้ายก็ไม่อาจหักใจฟาดลงไป
เขาเดินไปเดินมาในบ้านอย่างกระวนกระวาย ชำเลืองมองออกไปข้างนอกเป็นระยะเพื่อดูว่าฉินเหยากลับมาหรือยังแล้วก็มองฟ้า เวลาที่เหลือให้เขานั้นมีไม่มากแล้ว
“ข้าทำบาปอะไรไว้ในชาติก่อนกันนะ ถึงได้มีลูกอกตัญญูอย่างพวกเจ้าทั้งสี่!”
หลิวจี้โกรธที่ทำอะไรไม่ได้ เสียงของเขาดังลั่นไปทั่วบ้าน
“ได้ เอาเงินไป!” เขากัดฟันเอ่ย
พี่น้องทั้งสี่คนมองหน้ากันด้วยความดีใจ เอ้อร์หลางรีบพูดว่า “คนละหนึ่งเหรียญทองแดง!”
เสียงของหลิวจี้ราวกับเค้นออกมาจากไรฟันก็ไม่ปาน “ได้…”
พี่น้องทั้งสี่คนยื่นมือออกมาตรงหน้าเขาพร้อมกัน หลิวจี้นวดขมับที่ปวดตุบของตนเอง ก่อนจะเรียกพวกเขาให้ตามไปยังห้องหลักแล้วหยิบเหรียญทองแดงที่ซ่อนไว้ออกมา แจกเด็กๆ คนละเหรียญ
เด็กทั้งสี่คนรักษาคำพูด พอได้เงินก็สอนสิ่งที่ตนเองรู้ให้กับเขาทันที
ต้าหลางเคยเห็นป้าใหญ่ทำอาหาร เพราะวันนั้นเป็นอาหารจานเนื้อ เขาจึงจดจำขั้นตอนได้อย่างชัดเจน
เริ่มจากล้างกระทะ จากนั้นก็ทาน้ำมันบางๆ ให้ทั่ว ใส่มันหมูที่หั่นไว้ลงไปในกระทะ ผัดด้วยไฟแรงจนได้น้ำมันหมูออกมา จากนั้นใส่ต้นหอม ขิง กระเทียม แล้วตามด้วยเนื้อสามชั้นที่หั่นเตรียมไว้ เติมเกลือและน้ำปรุงรส ผัดจนเข้ากันแล้วตักขึ้น
หลิวจี้: “แค่นี้?”
ต้าหลางพยักหน้าแรงๆ “ใช่ แค่นี้แหละขอรับ”
หากมีผักหรือเครื่องเคียงอื่นๆ ก็สามารถใส่ไปผัดพร้อมกันได้ ไม่ว่าอะไรก็อร่อยหากมีรสของน้ำมันหมู
แต่เสียดายที่ในบ้านไม่มีผักอะไร ต้าหลางจึงไม่ได้เอ่ยถึง
“ท่านพ่อ” ต้าหลางมองหลิวจี้อย่างจริงจัง “ท่านอย่าทำให้แม่เลี้ยงไม่พอใจบ่อยนัก หากนางหย่าขาดกับท่าน จะทำอย่างไร”
พูดจบก็ตะโกนเรียกน้องๆ แล้วรีบวิ่งไปหาพ่อค้าหาบเร่หลิวในหมู่บ้าน โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าพ่อของเขาโกรธจนตัวสั่นไปหมด
“หย่าขาดกับข้า?” หลิวจี้ตบที่ขอบเตา “บิดาไม่หย่านางก็ดีแค่ไหนแล้ว!”
พูดจบก็มองไปรอบๆ ว่านางอยู่แถวนี้หรือไม่ พอไม่เห็นก็ยืดอกทำเป็นกร่าง
เหล่าญาติและคนในหมู่บ้านที่มาช่วยงาน มองเขาทำท่ากระฟัดกระเฟียดอยู่คนเดียวที่หน้าเตาแล้วพากันถอนหายใจ
“หาได้ยากจริงๆ ที่ได้เห็นเจ้าหลิวสามลงครัวทำอาหารให้พวกเรากิน”
แต่ในหมู่บ้านนี้เหมือนจะไม่มีบ้านไหนที่บุรุษต้องลงครัว มีแต่สตรีที่ทำอาหาร หากบุรุษบ้านไหนต้องลงครัวเองก็แปลว่าที่บ้านนั้นต้องมีแม่เสืออยู่เป็นแน่
หากเป็นบ้านอื่นคงถูกหัวเราะเยาะ แต่หากเป็นหลิวจี้ ทุกคนกลับคิดว่าสมควรแล้ว