ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 38 ช่างสามัคคียิ่ง
กลิ่นคาวเลือดจางๆ แผ่กระจายไปทั่วหุบเขา
โจรทั้งหกคนล้วนตายสิ้น!
หลิวจี้กะพริบตาเร็วๆ สองครั้ง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกนั้นล้มลงไปตั้งแต่เมื่อใด
อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกนั้นก็ตายหมดแล้ว
ฉินเหยาเช็ดมีดบนร่างของโจรจนสะอาด ร่างของทั้งหกคนตายตาไม่หลับ ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลงไร้แววชีวิต
ทั้งหกคนสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเสื้อผ้าของหลิวจี้เสียอีก ฉินเหยาเหลือบมองด้วยความรังเกียจ ก่อนคลำหาสิ่งของบนร่างพวกเขา
น่าเสียดายที่พวกเขาจนยิ่งกว่าอะไร ไม่มีแม้แต่เหรียญทองแดง แต่ดาบในมือพวกเขากลับดูไม่เลว
ฉินเหยาเก็บดาบทั้งหกเล่ม ก่อนจะยืนขึ้นกวาดตามองรอบๆ แล้วลากร่างทั้งหกไปโยนไว้ในร่องน้ำที่เต็มไปด้วยพงหญ้ารกเรื้อทางขวามือ ให้พวกเขากลับคืนสู่อ้อมกอดธรรมชาติ
สัตว์ป่าในภูเขามีมากมาย ผ่านไปไม่กี่วันก็คงทำความสะอาดจนหมดจด
เมื่อจัดการศพทั้งหกเสร็จเรียบร้อย นางก็นึกขึ้นได้ว่าปกติมักมีชาวบ้านสัญจรผ่านเส้นทางนี้ไปมา ฉินเหยาจึงใช้เท้ากวาดดินทรายมากลบคราบเลือดเพื่อไม่ให้คนที่มาเห็นเข้าตกใจ
ฉินเหยาปัดมือแล้วถามขึ้น “จริงสิ เจ้าคุ้นหน้าคนพวกนี้ไหม”
นางนึกขึ้นมาได้ “หากเป็นคนแถวนี้ล่ะก็ นั่นก็อาจจะยุ่งยากหน่อย”
หลิวจี้ส่ายหน้าอย่างแข็งทื่อ
ในใจคิด เจ้าฆ่าคนจนหมดแล้วค่อยถาม เจ้าตั้งใจใช่ไหม
หลังเกิดเหตุ เขาก็เอาแต่เงียบไม่ตอบคำ
ฉินเหยาจึงถือเอาว่าเขาไม่ชอบพูดพลางพยักหน้าอย่างผ่อนคลาย “ไม่ใช่คนแถวนี้ก็ดี กฎหมายแคว้นเซิ่งมีข้อหนึ่งระบุไว้ว่า ราษฎรพบโจรกลางทาง สังหารอีกฝ่ายไม่ถือว่ามีความผิด”
นางพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ไปเถอะ”
หลิวจี้รีบเดินตามนางไปทันที พอผ่านบริเวณที่นางใช้เท้ากวาดทรายมากลบคราบเลือด เขาก็กระโดดข้ามไป
ตอนที่ทั้งสองเดินตามกันกลับมาถึงบ้านก็เป็นช่วงบ่ายแก่ๆ แล้ว
พอนางเหอทำอาหารมื้อเที่ยงเสร็จก็กลับไปแล้ว ส่วนญาติที่มาช่วยงานก็กำลังยุ่งง่วนอยู่รอบบ้านทั้งหน้าและหลัง
กระเบื้องหลังคาทยอยส่งมาแล้ว ภายใต้ความพยายามของทุกคน บ้านใหม่ก็ค่อยๆ เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
ฉินเหยาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ระยะนี้กับข้าวที่บ้านอร่อยขึ้น บ้านก็สะอาดขึ้นมาก ทั้งยังมีคนคอยดูแลความเรียบร้อยของบ้านทุกวัน
ชายผู้นั้นตอนนี้แทบจะอยู่บ้านทุกวัน ไม่ออกไปเกี้ยวพาราสีสาวๆ อีก แถมยังจัดการงานบ้านได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนนางพอใจมาก
ฉินเหยาพอจะคาดเดาได้ว่า เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันนั้นที่กลับมาจากหมู่บ้านเซี่ยเหอ
แต่สิ่งที่นางไม่รู้คือ วันนั้นหลังจากทั้งสองกลับมาถึงหมู่บ้าน หลิวจี้ก็รีบหยิบเหรียญทองแดงที่ซ่อนเอาไว้ออกมา คว้ามากำมือหนึ่งแล้วรีบรุดเข้าไปในหมู่บ้าน
เขาไปหาพี่สะใภ้โจวก่อนเป็นคนแรกแล้วมอบเหรียญทองแดงสิบเหรียญให้นาง ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของอีกฝ่าย
“นี่อะไรหรือ” พี่สะใภ้โจวรู้สึกงุนงง ทั้งยังดูหวาดกลัวเล็กน้อย
วันนี้เจ้าหลิวสามดูแปลกไปหรือว่าไปทำเรื่องไม่ดีอะไรเข้าอีกแล้ว
หลิวจี้เอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “พี่สะใภ้ ผักในแปลงของท่านที่ถูกเก็บไปเมื่อสองสามวันก่อน เป็นข้าที่เก็บไปเอง นี่คือเงินค่าผัก ท่านเก็บไว้เถอะ แต่อย่าบอกภรรยาของข้าเด็ดขาดว่าข้าเก็บผักมาจากแปลงของบ้านท่าน”
เก็บอะไรกัน? ชัดเจนว่าเป็นการขโมย!
พี่สะใภ้โจวโกรธจนเพลิงโทสะพวยพุ่ง “ดีนี่! ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง ข้าด่าพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านอยู่ตั้งสองวันก็ไม่มีใครยอมรับ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง!”
หลิวจี้เห็นนางโกรธก็รีบยอมรับผิดทันที “พี่สะใภ้อย่าโกรธเลย ตอนนั้นข้าก็ลืมให้เงินท่าน นี่อย่างไร ข้าเอาเงินมาคืนท่านแล้วอย่างไรเล่า”
พี่สะใภ้โจวยังไม่เข้าใจนิสัยของชายตรงหน้าเท่าใดนัก นางหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมาชั่งน้ำหนักด้วยความแปลกใจแล้วถามกลับว่า
“เจ้าสาม วันนี้พระอาทิตย์ไม่ได้ขึ้นทางทิศตะวันตกนะ เจ้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือ ขโมยของแล้วยังรู้จักคืนเงินอีก”
หลิวจี้รีบเอ่ยแก้ทันที “ขโมยอะไรกัน ข้าไม่ได้ขโมยนะ ข้าซื้อต่างหาก พี่สะใภ้จำไว้นะ ข้าจ่ายเงินซื้อผักของท่าน ไม่ได้ขโมย!”
พูดจบเขาก็ยื่นเหรียญทองแดงเพิ่มให้นางอีกสองเหรียญ เรียกอย่างสวยหรูว่า ‘ค่าปิดปาก’
พี่สะใภ้โจวค้นพบว่า นางเริ่มมองไม่ออกแล้วว่าชายตรงหน้านี้เป็นคนแบบไหนกันแน่
นี่คือเจ้าหลิวสามคนเดิมหรือ?
หลิวจี้ย้ำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกภรรยาของเขา เมื่อพี่สะใภ้โจวพยักหน้าตอบรับ เขาจึงหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของท่านยายหวังที่ท้ายหมู่บ้าน
ท่านยายหวังกำลังนั่งเย็บพื้นรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ทันทีที่เห็นหลิวจี้วิ่งตรงเข้ามา ดวงตาชราที่เหมือนจะฝ้าฟางกลับเบิกกว้างขึ้นทันทีพร้อมตวาดด่าว่า
“เจ้าหลิวสาม เจ้าสารเลว เจ้ายังกล้ามาขโมยไข่ไก่บ้านข้าอีกหรือ”
เมื่อครั้งยังสาว ท่านยายหวังเคยหกล้มจนกระดูกขาหัก เพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม นับแต่นั้นเป็นต้นมา ขาทั้งสองก็มีปัญหาทำให้เดินเหินไม่สะดวก
เมื่อสองปีก่อน เกิดความวุ่นวายไปทั่วแผ่นดิน บุตรชายของนางถูกเกณฑ์ไปรบและเสียชีวิตในสนามรบ ขณะที่ลูกสะใภ้แต่งงานใหม่หนีไปทิ้งไว้เพียงหลานชายคนหนึ่งให้นางดูแล สองยายหลานใช้ชีวิตพึ่งพากันมาตลอด
ท่านยายหวังทำงานหนักไม่ได้จึงเลี้ยงไก่และเป็ดไว้จำนวนมาก อาศัยการขายไข่ไก่และไข่เป็ดยังชีพ สองยายหลานจึงสามารถอยู่รอดมาได้
ไข่ไก่เปรียบเสมือนชีวิตของท่านยายหวัง ใครจะคาดคิดว่าในวันที่นางออกไปจับแมลงมาเสริมอาหารให้ไก่เป็ดของนาง หลิวจี้จะลอบเข้ามา
หลานชายตัวน้อยยังเล็กนัก ถูกหลิวจี้หลอกให้เปิดประตูพาเขาเข้ามาในลานบ้าน
แค่พริบตาเดียว ไข่ไก่ห้าฟองก็ถูกหลิวจี้ขโมยไป
ไข่ไก่และไข่เป็ดในบ้าน หลานชายตัวน้อยนับมันวันละหลายรอบ จดจำจำนวนได้อย่างแม่นยำ
หลังจากหลิวจี้ไป เขานับไข่ดูแล้วจึงรู้ว่าถูกหลิวจี้หลอก
เมื่อท่านยายหวังกลับมาถึงบ้านก็เห็นหลานชายตัวน้อยนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าประตู พอได้ฟังว่าเป็นฝีมือของท่านอาสามหลิวนางก็โกรธจนแทบลมจับ
นางอยากจะไปเอาเรื่องหลิวจี้ แต่ก็กลัวเจ้าสารเลวผู้นี้จะลงมือรุนแรงทำร้ายยายแก่เช่นนาง ลังเลอยู่หลายครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้ไป
ใครจะคิด ว่านางไม่ไปหาเรื่องหลิวจี้ แต่เจ้าคนหน้าด้านหลิวจี้กลับมาหานางอีก
ท่านยายหวังคว้ากระบองที่วางอยู่ข้างประตู แสดงท่าทางดุดันพร้อมสู้ตายกับหลิวจี้หากเขากล้าเข้ามาใกล้
หลิวจี้รีบพูดทันทีว่า “ท่านอย่าเพิ่งโมโห ข้ามาเพื่อจ่ายเงินค่าไข่ วันนั้นข้ารีบไปหน่อยเลยลืม ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าหลิวจี้ไม่ใช่คนแบบนั้น”
พูดจบ เขาก็หยิบเหรียญทองแดงห้าเหรียญออกมา วางลงกับพื้นแล้วหมุนตัวเดินจากไป
เดินออกไปได้ครู่หนึ่ง เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง ทำเอาหลานชายตัวน้อยที่กำลังจะเก็บเงินตกใจวิ่งกลับเข้าบ้านไปซ่อนตัวอยู่หลังท่านย่า
หลิวจี้แสดงรอยยิ้มที่คิดว่าดูใจดีที่สุดออกมา ยื่นเหรียญทองแดงไปอีกห้าเหรียญให้พร้อมพูดว่า “ข้าขอซื้อไข่ไก่อีกห้าฟอง จะเอาไปทำอาหารเพิ่มให้ภรรยาข้าเย็นนี้ หลายวันมานี้นางยุ่งมาก ข้าต้องบำรุงนางเสียหน่อย”
ท่านยายหวังยังไม่แน่ใจ ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าหลิวสามดีแต่โกหก ไม่เคยพูดความจริงเลยแม้แต่นิด
นางจึงให้หลานชายไปหยิบเงินมา พอเห็นว่าหลิวจี้จ่ายเงินจริงๆ ถึงได้กดความสงสัยในใจไว้แล้วเข้าไปหยิบไข่ไก่สดใหม่ในบ้านห้าฟองมาวางไว้ที่พื้น ให้หลิวจี้มาหยิบเอง
“ท่านยาย ไข่ของบ้านท่านอร่อยกว่าบ้านอื่นนัก คราวหน้าข้าจะมาอีกนะ” หลิวจี้ยิ้มแย้มเก็บไข่บนพื้นใส่ไว้ในอกเสื้อแล้วหมุนตัวเดินออกไปพร้อมถอนหายใจยาว
ครั้งนี้ ในที่สุดก็วางใจได้เสียที
ถึงแม้ภรรยาที่บ้านจะจับได้ นางก็หาข้อผิดพลาดของเขาไม่ได้
และก็คง…จะฆ่าเขาไม่ได้แล้ว
มีชีวิตอยู่มายี่สิบสามปี ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนที่สามารถสังหารคนอื่นต่อหน้าเขาได้ง่ายดายราวกับหั่นแตงโมเช่นนั้นอยู่ด้วย
ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าตนดันแต่งเทพสังหารองค์นี้เข้าบ้านมาเป็นภรรยา
หากเขารู้ก่อนล่วงหน้า…เวรกรรมเสียจริง! หลิวจี้แหงนมองฟ้ากว้าง ขณะนี้เขาได้แต่เสียใจแล้ว!
ขณะเดินผ่านเรือนเก่าตระกูลหลิว หลิวจี้ก็เดินเข้าไปด้วยใบหน้าเศร้าสลด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาพูดจาดีๆ กับนางจางผู้เป็นแม่เลี้ยง
เพียงเพื่อให้แม่เลี้ยงสอนทักษะการทำอาหารให้เขาสักหน่อย จะได้นำไปทำอาหารเอาใจเทพสังหารที่บ้าน
นางจาง: ก็…ค่อนข้างกะทันหันอยู่เหมือนกันนะ