ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 40 เจ้าคิดว่าเป็นข้านี่ง่ายหรือ
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 40 เจ้าคิดว่าเป็นข้านี่ง่ายหรือ
หลิวเหล่าฮั่นนั่งอยู่ในเรือนรับรองพร้อมผู้ใหญ่บ้านและหัวหน้าตระกูล รอบข้างล้วนเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีชื่อเสียงในตระกูล
เมื่อได้ยินคำชมเชยจากพวกเขา หลิวเหล่าฮั่นก็เงยหน้ามองหลิวจี้ที่กำลังช่วยฉินเหยาต้อนรับแขกในลานบ้าน จิตใจที่เป็นห่วงลูกชายมาตลอดยี่สิบสามปี ในที่สุดก็วางลงได้เสียที
“เจ้าหลิวสาม” หลิวเหล่าฮั่นร้องเรียกไปที่ลานบ้าน
หลิวจี้แทรกตัวผ่านโต๊ะและเก้าอี้ที่จัดไว้จนเต็มในลานบ้านเข้ามา ทักทายผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าตระกูล และยิ้มให้ผู้เฒ่าผู้แก่ ก่อนจะเดินมาหาบิดา “ท่านพ่อ มีเรื่องอะไรหรือ”
หลิวเหล่าฮั่นที่ดื่มไปสองจอกเริ่มเมาเล็กน้อย จับมือบุตรชายด้วยท่าทางอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก พร้อมชี้ไปที่บ้านใหม่เอี่ยม
“เจ้าดูสิ บ้านที่สว่างสดใสหลังนี้ กระเบื้องหลังคาที่แน่นหนา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความดีความชอบของเหยาเหนียง เจ้าสามเอ๋ย พ่อขอพูดตรงๆ เจ้าอย่าโกรธเลยนะ หากไม่มีเหยาเหนียง เจ้าคงไม่อาจมายืนดีๆ อยู่ตรงนี้ได้”
ผู้เฒ่าผู้แก่ในตระกูลล้วนพากันพยักหน้าเห็นด้วย เดิมทีพวกเขาไม่ค่อยชอบหลิวจี้นัก แต่เพราะความขยันขันแข็งของฉินเหยา ทำให้พวกเขาพลอยมองหลิวจี้ในทางที่ดีขึ้นตามไปด้วย
หลิวจี้มุมปากกระตุกเล็กน้อย ความน้อยใจเอ่อล้นขึ้นมาในใจ เขากุมมือหลิวเหล่าฮั่นแน่น
“ท่านพ่อ ท่านไม่รู้ถึงความลำบากของลูกบ้างเลย!”
หลิวเหล่าฮั่นเหลือบมองบุตรชาย “เจ้าจะลำบากอะไรกัน บ้านใหญ่โตขนาดนี้ให้เจ้าอยู่ มีภรรยาดีๆ คอยดูแลบ้าน เจ้าอย่ามาทำตัวไม่รู้จักพอ!”
ผู้เฒ่ายกมือขึ้นทำท่าจะตีหลิวจี้ “ต่อไปเจ้าต้องดีกับเหยาเหนียงให้มาก สามีภรรยาก็ควรอยู่กันดีๆ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว เลิกทำตัวเหลวไหลซะ ได้ยินไหม!”
หลิวจี้ได้แต่ยอมรับว่า ต่อให้เขาบอกว่าเหยาเหนียงฆ่าคนได้ไม่กะพริบตาก็คงไม่มีใครเชื่อ
ช่างเถอะ เขาคิดอย่างสิ้นหวัง สักวันหากเขาถูกนางฆ่า ศพเขาเน่าเปื่อยไปก็คงไม่มีใครรู้
หลิวเหล่าฮั่นคิดว่าบุตรชายยอมรับโดยดุษณีก็พอใจกับท่าทีของเขาจึงกำชับอีกเล็กน้อยก่อนปล่อยไป
หลังมื้ออาหาร พวกผู้หญิงอยู่ช่วยกันล้างจาน เพราะนางเหอและนางชิวเอ่ยเตือน ฉินเหยาจึงจดจำคนในหมู่บ้านได้เกือบหมดแล้ว
จานชามที่ต้องล้างมีเยอะมาก ทุกคนใช้อ่างน้ำใบใหญ่ที่บ้านฉินเหยา พอได้ใช้ก็ติดใจกันหมด
ยืนล้างจานเช่นนี้ พอไม่ต้องนั่งยองๆ ก็ไม่ปวดหลัง
อีกทั้งเพียงดึงจุกไม้ น้ำก็ไหลออกเอง ไม่ต้องใช้คนสองคนช่วยกันยกกะละมังน้ำไปเททิ้งที่หน้าประตู
อ่างน้ำเองก็ใหญ่ พื้นที่ล้างกว้างขวาง หลายคนยืนล้อมรอบๆ ล้างพร้อมกันก็ไม่เบียด จานชามใหญ่หนึ่งกะละมัง ใช้เวลาแค่สิบกว่านาทีก็ล้างเสร็จแล้ว
ฉินเหยาแบ่งอาหารที่เหลือออกเป็นส่วนๆ ให้บ้านที่มาช่วยนำกลับไปเพื่อเป็นการขอบคุณ
แม้จะเป็นอาหารเหลือ แต่ฉินเหยาก็ใจกว้าง ซื้อเนื้อยี่สิบจินมาทำอาหาร เหลือเนื้อในจานไม่น้อยเลย ไม่มีใครรังเกียจกลับคิดว่านางใจกว้างและไม่ขี้เหนียว
หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันหลายคนเชิญฉินเหยาไปเยี่ยมบ้านพวกนางในเวลาว่าง เพื่อทำงานฝีมือร่วมกัน
บางคนรู้ว่าฉินเหยาไม่ถนัดงานฝีมือจึงเอ่ยหยอกล้อ “ถึงจับเข็มด้ายไม่เก่ง แต่ได้นั่งคุยกับพวกเราก็ดีเหมือนกัน สะใภ้สามดูแล้วความรู้กว้างขวาง เราชอบฟังเรื่องราวจากนอกหมู่บ้าน เจ้าเล่าให้พวกเราฟังบ้างนะ”
หญิงสาวคนอื่นๆ เองก็เห็นด้วย “ใช่ๆ พวกเราชอบฟังเรื่องใหม่ๆ ที่สุดเลย”
สัมผัสได้ถึงความจริงใจและความอบอุ่นจากทุกคน ฉินเหยาจึงยิ้มรับ “ได้ หากมีเวลาข้าจะไป พวกเจ้าอย่ารังเกียจข้าก็แล้วกัน”
ทุกคนรีบตอบว่าไม่มีทางรังเกียจ พวกนางยินดีต้อนรับมาก
ลานบ้านถูกเก็บกวาดเรียบร้อย เวลาล่วงไปพอสมควรแล้ว แต่ละครัวเรือนนำหม้อชามและโต๊ะเก้าอี้ที่นำมาช่วยงานคืนกลับไป
คนเรือนเก่าตระกูลหลิวก็แยกย้ายกลับแล้วเช่นกัน ครอบครัวชาวนาไม่มีเวลาว่างมากนัก แม้ไม่ได้ลงนาก็ต้องทอผ้าหรือเย็บแผ่นรองเท้า งานเยอะมาก
ฉินเหยาส่งแขกทุกคนกลับไปแล้วปิดประตูใหญ่ ตรวจสอบทุกห้อง จากนั้นก็กลับไปยังห้องของตน
นางใช้ถ่านไม้ขีดเขียนลงบนแผ่นไม้ คำนวณค่าใช้จ่ายในช่วงนี้
ค่าซ่อมบ้าน รวมถึงค่าจ้างคนงานและเครื่องเรือน ใช้ไปสิบตำลึง
ระหว่างนี้เพราะอากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ หลิวจี้ทำหน้าตาน่าสงสารมาขอเสื้อบุฝ้ายไปชุดหนึ่ง นางก็เสียเงินไปอีกสามเฉียน
แต่จะว่าไปแล้ว คนเรานั้นพึ่งพาการแต่งกาย เมื่อสวมใส่เสื้อผ้าดีๆ แล้วก็ดูดีขึ้นไม่น้อยเลย
แถมเมื่อเร็วๆ นี้ ฝีมือทำอาหารของเขาก็ดีขึ้นมาก ทั้งยังดูแลบ้านได้เป็นระเบียบ ฉินเหยาจึงเริ่มมองเขาแล้วสบายตามากขึ้น
ว่าแล้ว ในโลกนี้ไม่มีชายอัปลักษณ์ มีแต่ชายขี้เกียจเท่านั้น
วันนี้นางใช้เงินอีกห้าเฉียนซื้อข้าว เนื้อ และผัก ส่วนหนึ่งเพื่อเติมเสบียงที่ใช้ทำอาหารกลางวันให้คนงาน ส่วนหนึ่งใช้เลี้ยงแขกเพื่อทำพิธีขึ้นบ้านใหม่
อ้อ เพิ่มที่นอนของต้าหลางและพวกพี่น้องด้วย นางยังเตรียมเครื่องนอนสำหรับฤดูหนาวอีกชุด
ไม่อาจปูเครื่องนอนสำหรับฤดูหนาวครบทุกเตียงได้และไม่จำเป็นด้วย เพราะในช่วงที่หนาวมากๆ นอนสองคนบนเตียงเดียวกันจะอุ่นกว่า ชุดเครื่องนอนฤดูหนาวนี้จึงใช้เงินไปห้าเฉียน
ตอนนี้คำนวณดูแล้ว เงินในมือเหลือเพียงสิบสามตำลึงเจ็ดเฉียนเท่านั้น
อากาศหนาวลงทุกวัน นางหาเวลาว่างลากหลิวจี้ไปตัดฟืนกลับมาเก็บไว้ในเพิงฟืนด้านซ้ายของประตู ทำให้มีพอเผาถึงสองเดือน
ยังต้องซื้อถ่านอีก หากจะใช้ถ่านก็ต้องซื้อเตาถ่านอีก นี่ก็เป็นค่าใช้จ่าย
ในบ้านไม่มีผักสำหรับฤดูหนาวเก็บไว้เลย ยังต้องใช้เงินซื้ออีก
เงิน เงิน เงิน อะไรก็ต้องใช้เงิน!
ฉินเหยาวางถ่านลง นอนหงายลงบนเตียง ขยุ้มผมด้วยความหงุดหงิด
ต้องหาวิธีหาเงินที่ยั่งยืนมาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวถึงจะถูก
ในบ้านมีเพียงที่ดินรกร้างสองหมู่ เทียบเท่ากับไม่มีที่ดินเลย ค่ากินอยู่ทั้งหมดล้วนต้องใช้เงินซื้อ เงินที่เหลืออยู่ในมือนี้ คงพออยู่ได้ไม่นาน
มิน่านางจางและพี่สะใภ้ทั้งสองถึงพยายามเอ่ยทัดทานหลายครั้งตอนเห็นนางใช้เงินไปกับการซ่อมแซมบ้าน
อย่างเช่นไม่ต้องมุงกระเบื้องหรอก จะได้เก็บเงินก้อนใหญ่ไว้ซื้อที่นาระดับกลางสองหมู่
หรือไม่ต้องสร้างห้องอาบน้ำอะไรนั่นหรอก จะได้ประหยัดเงินพอซื้อที่ดินระดับต่ำอีกครึ่งหมู่
ยังมีอีกมากมาย เช่น เตียงสองชั้นของเด็กสี่คนก็ไม่จำเป็น เอาแผ่นไม้พาดเก้าอี้ยาวก็ใช้แทนได้แล้ว
แต่สุดท้ายนางยังจัดให้ทุกคนมีเตียงของตัวเอง ช่างฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว!
แต่เพราะการยืนกรานของฉินเหยาสุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงต่อเติมซื้อเพิ่มอยู่ดี
บ้านคือท่าเรือแห่งการพักพิง ฉินเหยาคิดว่าสภาพแวดล้อมที่ดีมีส่วนช่วยบรรเทาความเครียด เงินก้อนนี้นางไม่อยากประหยัด
โดยเฉพาะตอนนี้ที่ได้อยู่ในบ้านที่สะอาดและอบอุ่น เอนกายบนเตียงนุ่มๆ ความเหนื่อยล้าหลายวันที่ผ่านมาล้วนสลายหายไปจนหมด สบายเสียจนนางไม่อยากลุกขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมเสียงของหลิวจี้เอ่ยถามอย่างประจบประแจงว่า “เมียจ๋า…เจ้ายุ่งอยู่หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับเจ้าหน่อย”
ฉินเหยายืดตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่โต๊ะ “ประตูไม่ได้ลงกลอน เจ้าเข้ามาเถอะ”
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นข้าเข้าไปนะ”
ประตูส่งเสียงดังเอี๊ยดเบาๆ เมื่อถูกผลักออก
หลิวจี้ยิ้มแห้งๆ เดินเข้ามาหาฉินเหยาพร้อมกล่าวอย่างลำบากใจว่า
“คือว่า…เงินที่เจ้าให้ข้าไว้ซื้อกับข้าวครั้งก่อน ใช้หมดแล้วน่ะ”
ฉินเหยาขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “หมดเร็วขนาดนั้นเชียว?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวจี้สลายหายไปในทันที เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยว่า “เมียจ๋า เจ้าให้เงินสามร้อยเหวินนะ ไม่ใช่สามตำลึง!”
“พวกเรากินข้าวมาหนึ่งเดือนกับอีกแปดวัน วันละสามมื้อ เฉลี่ยแล้วไม่ถึงสิบเหวินต่อวัน ไหนจะยึดตามเงื่อนไขของเจ้า ห้าวันต้องกินเนื้อหนึ่งครั้ง ข้าใช้เงินสามร้อยนี้อย่างตระหนี่ที่สุดแล้ว ยังต้องบากหน้าไปขอผักจากพี่สะใภ้บ้านอื่น เจ้าคิดว่าเป็นข้านี่ง่ายหรือไร!”
ฉินเหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ทบทวนว่าคำพูดของตนเมื่อครู่นั้นแรงเกินไปหรือไม่จึงทำให้ผู้อื่นถึงกับโมโหเช่นนี้