ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 42 ไปรับธนู
ขณะที่ฉินเหยากำลังคิดจะให้ต้าหลางลองอีกครั้งเพื่อทดสอบพรสวรรค์ของเขานั้นทางประตูใหญ่มีเสียงเคาะดังขึ้น
วันนี้การ ‘ต่อสู้’ จึงจำต้องหยุดลงชั่วคราว
หลิวจี้เพิ่งออกไป ฉินเหยาเรียกเด็กทั้งสี่กลับเข้าบ้านไปเช็ดเหงื่อ “ลมแรง อย่าโดนลมจนเป็นหวัดเล่า”
มองพวกเขาเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำซึ่งใช้เป็นห้องล้างหน้าด้วย ผนังห้องมีเชือกยาวตอกไว้ แต่ละคนล้วนมีผ้าเช็ดหน้าของตนเองแขวนไว้ให้หยิบใช้กันเอง
ฉินเหยาถึงได้โยนท่อนไม้ในมือกลับเข้าไปในกองฟืนแล้วเดินไปเปิดประตู
ที่หน้าประตูมีชายชราร่างเล็กผมขาว จูงลาตัวหนึ่ง เมื่อเห็นฉินเหยาก็ถามว่า “ใช่บ้านของเจ้าหลิวสาม หลิวจี้หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ท่านลุงมาหาใครหรือ”
“งั้นเจ้าก็คือฉินเหนียงจื่อใช่หรือไม่” ชายชราถามอย่างมั่นใจ
ฉินเหยาพยักหน้าอีกครั้ง “ใช่เจ้าค่ะ ข้าเอง”
เมื่อพบคนที่ตามหาแล้วชายชราก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจแล้วบอกฉินเหยาว่า เขามาจากตัวเมือง แวะมาส่งของให้ญาติที่หมู่บ้านตระกูลหลิว ระหว่างผ่านหมู่บ้านเซี่ยเหอได้พบพี่น้องตระกูลหยาง พวกเขาฝากข้อความมาถึงฉินเหยา
“พวกเขาบอกว่าสิ่งที่เจ้าต้องการ พวกเขาทำเสร็จแล้ว ขอให้เจ้าไปหาที่หมู่บ้านเซี่ยเหอเมื่อมีเวลา”
พอพูดจบ ชายชราก็เตรียมจูงลาเดินจากไป
ฉินเหยาข่มความตื่นเต้นในใจไว้ รีบเรียกเขาไว้แล้วกลับเข้าไปตักน้ำอุ่นจากหม้อในครัวมาให้
“ขอบคุณท่านที่ช่วยส่งข่าวนะเจ้าคะ ดื่มน้ำอุ่นหน่อยเจ้าค่ะ หน้าหนาวแบบนี้ อบอุ่นร่างกายก่อนเดินทางต่อจะดีกว่า”
ชายชราไม่ปฏิเสธ รับน้ำไปดื่มด้วยความยินดีจนหมดแล้วยื่นถ้วยคืนให้ฉินเหยา โบกมือเป็นสัญญาณไม่ให้ตาม จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
หลิวจี้อุ้มโถใส่ผักดองใบหนึ่งเดินมาจากริมน้ำ มองชายชราอย่างสงสัย ก่อนเดินถึงหน้าประตูบ้านแล้วถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เมียจ๋า ตาเฒ่าเมื่อครู่มาหาเราทำไมหรือ มาขอทานหรือ ก็ดูไม่เหมือนนา ไหนจะมีลานั่นอีก คนแบบนี้น่าจะเป็นพวกมีฐานะ”
ฉินเหยาเรียกเขาเข้ามาในบ้าน ปิดประตูแล้วจึงพูดว่า “มาส่งข่าว พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปหมู่บ้านเซี่ยเหอ ไปเอาของ”
พูดจบก็ไม่ได้สนใจว่าในโถผักดองในอ้อมแขนของเขามีอะไร เดินตรงเข้าไปในห้องเก็บของข้างเตาไฟ
นางไขเปิดกุญแจหยิบดาบทั้งหกเล่มที่ซ่อนไว้ในนั้นออกมา
หลิวจี้เพิ่งวางโถผักดองลงก็เห็นนางหยิบดาบพวกนั้นออกมา ใจพลันสะท้าน ความทรงจำที่เลือนรางไปแล้วกลับผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง ภาพเหตุการณ์ที่นางฆ่าพวกโจรอย่างไร้ความปรานี หนึ่งคนหนึ่งมีดนั้นปรากฏชัดจนหลิวจี้สะดุ้งด้วยความกลัว
เขารีบหันหลังไปทางเตาไฟ คว้าฟืนใส่ลงไปในช่องเตาอย่างลวก ๆ ปากพึมพำแสร้งทำเป็นตั้งใจ
“ให้ต้าหลางมาช่วยดูไฟหน่อย เจ้าเด็กนี่เอาแต่เล่นท่อนไม้ผุๆ ทั้งวัน หากข้ากลับมาช้ากว่านี้ ไฟคงดับหมดแล้ว…”
จนได้ยินเสียงประตูห้องนอนฝั่งตรงข้ามปิดลง เขาถึงได้หยุดและถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่จะเอาดาบหกเล่มไปหมู่บ้านเซี่ยเหอทำอะไรกัน
แน่นอนว่าเอาไปขายน่ะสิ!
ฉินเหยาหยิบตะกร้าสะพายหลังใบหนึ่งมา นางหักดาบทั้งหกเล่มจนสั้นลงแล้ววางลงไป จากนั้นก็อัดฟางข้าวจนเต็มสี่ด้าน ก่อนจะปูไม้ฟืนทับด้านบน เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้ง่ายๆ
ที่อื่นเป็นอย่างไรฉินเหยาไม่ทราบ แต่ในอำเภอไคหยางแห่งนี้ มีเพียงขุนนาง ทหาร ผู้มีอาชีพพิเศษเช่นข้าราชการในกรมการ นายพราน หรือสำนักคุ้มภัยเท่านั้นที่สามารถพกพาอาวุธได้ ชาวบ้านทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้พกดาบ
หากพกดาบเข้ามาในเมือง แต่ไม่สามารถชี้แจงที่มาของมันได้ จะเกิดปัญหาใหญ่หลวง
นอกจากนี้ ยังมีพวกนักโทษที่ถูกสักหน้าและถูกเนรเทศไปยังชายแดนเพื่อเป็นทหารที่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธ
นั่นเป็นดาบที่ใช้สำหรับการเกษตรชนิดหนึ่ง เรียกว่า ง้าวสั้น ใบดาบคล้ายพร้า สั้นและกว้าง ด้ามกลวงเป็นทรงกลม สามารถเสียบเข้ากับท่อนไม้หรือด้ามหอกเพื่อใช้เป็นอาวุธได้
ส่วนดาบที่ฉินเหยาได้มาจากโจรทั้งหกคนนั้น ด้านบนมีรอยประทับที่ถูกทำลายมาก่อนอย่างชัดเจน ลักษณะของดาบก็คล้ายคลึงกับดาบมาตรฐานที่ทางการใช้
เดิมทีนางคิดจะเก็บไว้ใช้เอง ในยุคนี้เทคนิคการหลอมเหล็กยังไม่ดีนัก อาวุธดาบจึงไม่ค่อยทนทาน เช่นเดียวกับมีดสั้นในมือของนาง ใช้ฟันคอคนไปหกรายก็ทื่อจนใช้การไม่ได้แล้ว
ตอนนี้เมื่อเห็นลักษณะและรอยประทับบนดาบเช่นนี้ นางก็ทิ้งความคิดที่จะเก็บไว้ใช้ทันที
นางไม่อยากหาเรื่องตาย แต่จะทิ้งไปก็เสียดาย ไหนๆ ก็จะไปหมู่บ้านเซี่ยเหออยู่แล้วไม่สู้นำไปขายให้ช่างตีเหล็กเสียดีกว่า
อย่างไรตัวดาบก็ถูกนางหักเสียจนดูไม่ออกแล้ว นางจึงตั้งใจจะขายมันไปพร้อมกับมีดสั้นที่ทื่อแล้วของนาง น่าจะได้ราวๆ สองตำลึงเงิน
ดาบยาวและกริชที่สั่งทำไว้กับช่างตีเหล็กก่อนหน้านี้ ฉินเหยารับกลับมาเรียบร้อยแล้วรวมถึงที่ยิงหนังสติ๊กและลูกเหล็กก็เอากลับมาด้วย ขาดเพียงแค่หนังยางเส้นเดียว
จากประสบการณ์การเอาชีวิตรอดในวันสิ้นโลกมาหลายปี ฉินเหยาจึงติดนิสัยต้องพกอาวุธออกไปทุกครั้งที่เดินทาง
ก่อนออกเดินทาง นางตรวจสอบกริชและถุงลูกเหล็กที่นำติดตัวมาด้วย เมื่อมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดก็หยิบหมั่นโถวแป้งขาวสดใหม่สามลูกที่หลิวจี้เพิ่งทำเสร็จออกจากเตาไปด้วย
ท้องฟ้าเพิ่งเริ่มสาง ความหนาวเย็นยามรุ่งสางนั้นมีมากที่สุด
ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ ครอบครัวที่มีเสื้อบุฝ้ายคงสวมใส่เสื้อบุฝ้ายหนาๆ กันแล้ว แต่ฉินเหยามีเพียงเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดาสองชุดเท่านั้น
หลังจากกินหมั่นโถวเสร็จ นางเป่าลมหายใจออกไปในอากาศ ไอขาวลอยตัวฟุ้งกระจาย ก่อนจะถูกลมพัดหายไปอย่างรวดเร็ว
นางคาดว่าอุณหภูมิในตอนนี้น่าจะใกล้ติดลบแล้ว
ฉินเหยาตื่นแต่เช้า ระหว่างทางนางไม่พบใคร นางสะพายตะกร้าขึ้นหลังเดินอยู่ชั่วโมงครึ่ง ก่อนจะมาถึงหมู่บ้านเซี่ยเหออย่างราบรื่น
ร้านตีเหล็กเพิ่งเปิดประตู ฉินเหยาเป็นลูกค้าคนแรกของวันนี้ แต่ไม่ได้มาซื้อของ นางมาขายของ
ฉินเหยากับช่างตีเหล็กถือว่ารู้จักกัน ช่างตีเหล็กทราบว่านางมีฝีมือพอตัวจึงตรวจสอบคุณภาพของดาบเหล่านี้เพียงครู่ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหาก็โยนดาบเหล่านั้นลงในกองวัสดุ ก่อนจะหยิบเงินส่งให้ฉินเหยา
รวมแล้วได้หนึ่งตำลึงแปดเฉียน ซึ่งต่างจากที่ฉินเหยาคาดไว้เล็กน้อยว่าจะได้สองตำลึง
แต่ของเถื่อนแบบนี้ก็ใช่ว่าจะสามารถพูดคุยกันตรงๆ ได้ ฉินเหยาจึงเก็บเงินไว้ให้เรียบร้อยแล้วเดินขึ้นเนินไปยังบ้านตระกูลหยาง
ราวกับพวกเขารู้ว่านางจะต้องรีบมา เมื่อฉินเหยาเดินไปถึงกลางเนินก็เห็นบุตรชายและบุตรสาวของหยางต้ายืนมองมาจากลานหน้าบ้าน
เมื่อเห็นนาง บุตรสาวก็รีบวิ่งเข้าไปในเรือนพลางตะโกนว่า “ท่านพ่อ! ฉินเหนียงจื่อมาแล้ว!”
แม่นางน้อยผู้นั้น หลังจากรู้ว่าฉินเหยาสังหารหมีดำตัวหนึ่งได้ก็หลงใหลชื่นชมนางมาก หลังแจ้งข่าวแก่บิดาเสร็จก็รีบวิ่งลงเนินมารับนางทันที
เด็กสาวอายุสิบสี่ปี นามว่า ฟาง เพียงคำเดียว นางสดใสร่าเริงและเปี่ยมด้วยพลัง รอยยิ้มของนางชวนให้ผู้คนรู้สึกอิ่มเอมใจ
ฉินเหยาพยักหน้าให้นางเล็กน้อย เด็กสาวจึงพานางเข้าไปในบ้านด้วยความกระตือรือร้นแล้วจัดให้นางนั่งลงในห้องโถง
ห้องโถงของหมู่บ้านเซี่ยเหอแห่งนี้แตกต่างจากหมู่บ้านตระกูลหลิวเล็กน้อย กลางห้องโถงถูกยกพื้นขึ้นทำเป็นแท่นสี่เหลี่ยม โดยมีหลุมไฟอยู่ตรงกลางแท่น สำหรับตั้งหม้อต้มหรือทำอาหารในช่วงฤดูหนาว
ฉินเหยานั่งลงบนม้านั่งไม้ที่อยู่ใกล้หลุมไฟ หยางฟางยกชาอุ่นๆ ถ้วยหนึ่งมาให้นาง
ฉินเหยาจิบชาพลางผิงไฟ ร่างกายของนางอบอุ่นขึ้นมาโดยพลัน
บนขื่อบ้านมีเนื้อกระต่ายสองแถวแขวนอยู่ ควันไฟค่อยๆ รมเนื้อ บางส่วนเตรียมไว้ขายและอีกส่วนก็เก็บไว้สำหรับทำอาหารเมื่อครอบครัวอยากกินเนื้อ
ภรรยาของหยางต้าหยิบมีดทำครัวออกมาเพื่อจะแล่เนื้อ พลางยิ้มเชิญชวนฉินเหยาให้ร่วมทานมื้อเช้าด้วย แต่ฉินเหยาก็รีบปฏิเสธ
“ข้ากินมาจากบ้านเรียบร้อยแล้ว พวกท่านมิต้องสนใจข้าหรอก ข้าเพียงแค่นั่งพักสักครู่ เดี๋ยวรับคันธนูแล้วก็จะกลับ”
“อยู่กินด้วยกันเถิด” หยางเอ้อร์เองก็เอ่ยเชิญชวน
ฉินเหยาปฏิเสธอีกครั้ง เมื่อทุกคนเห็นว่านางไม่หิวจริงๆ จึงมิได้คะยั้นคะยอต่อ
หยางต้าและบุตรชายเดินเข้ามาพร้อมธนูที่ทำเสร็จเรียบร้อย ความสนใจของทุกคนจึงถูกดึงดูดไปยังคันธนูที่ยาวกว่าธนูทั่วไป
หยางต้าส่งคันธนูมาให้ ฉินเหยาอาศัยแสงจากหลุมไฟสำรวจดูก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันที
นางไม่รอช้า รีบถือคันธนูและลูกศรออกไปด้านนอก ลองยิงออกไปหลายดอก ชอบเสียจนวางไม่ลง
หยางฟางกับพี่ชายเองก็อยากลองบ้าง แต่ทั้งคู่น้าวสายธนูไม่ได้ ทำให้ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน