ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 43 ฟืนมันถล่มเองนะ
หยางต้ายังทำลูกธนูให้ฉินเหยาอีกยี่สิบดอก บรรจุไว้ในกระบอกลูกธนูพลางส่งให้นาง
ลูกธนูที่ใช้งานได้ดีมีราคาสูง วัสดุที่ใช้ทำหัวธนูและขนหางธนูซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญนั้นล้วนมีค่า ไม่นับรวมถึงเทคนิคการทำธนูที่ไม่เปิดเผยต่อคนนอก
ฉินเหยาเตรียมใจที่จะจ่ายในราคาสูงแล้ว แต่หยางต้ากลับพูดว่า “เจ้าให้ข้าอีกห้าตำลึงเงินก็พอ”
ฉินเหยารู้ดีว่าราคานี้ไม่น่าจะพอ นางเอ่ยขึ้นว่า “ราคาเท่านี้จะพอหรือ”
หยางต้าโบกมือพลางพูดว่า “วัสดุที่ใช้ไม่ได้ดีเลิศนัก เพียงแต่ขนหางธนูอาจทำยากหน่อย แต่ข้าใช้ขนนกที่ล่ามาเอง ไม่ได้สิ้นเปลืองต้นทุนมาก ห้าตำลึงก็เพียงพอแล้ว”
ฉินเหยาไม่ใช่คนเรื่องมาก เมื่ออีกฝ่ายตั้งใจขายให้นางในราคามิตรภาพ นางจึงกล่าวขอบคุณอย่างใจกว้าง พร้อมจ่ายห้าตำลึงเงินและรับธนูไป
ระหว่างทางกลับบ้าน นางไม่วายหันไปมองมันเป็นระยะๆ ราวกับได้สมบัติล้ำค่า นางน้าวสายธนูแล้วปล่อยโดยไม่ใส่ลูกธนู ทำเช่นนี้หลายครั้งจนเกิดเสียง หวึ่ง ก้องไปทั่ว
พอจะจินตนาการได้ว่าหากใส่ลูกธนูเข้าไป มันจะมีอานุภาพเพียงใด
ฉินเหยาไม่กล้าพูดว่าจะสามารถยิงทะลุร่างคนได้ในดอกเดียว แต่การยิงทะลุกวางตัวหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องยาก
ที่จริงสำหรับแรงแขนของนางแล้ว ธนูคันนี้ยังเบาไปหน่อย หากเปลี่ยนเป็นธนูเทพและลูกศรยาวพิเศษ แม้แต่ม้าศึกก็คงถูกยิงทะลุได้
เมื่อเดินมาถึงหุบเขาที่เคยพบโจรครั้งก่อน คราวนี้กลับไม่พบโจรใดๆ บนถนนมีเพียงชาวบ้านจากหมู่บ้านใกล้เคียงเดินผ่านไปมาเท่านั้น
ฉินเหยาเดินไปตามทางของนางเอง ไม่มีใครทักทายนาง
ด้านหลังมีเกวียนวัวคันหนึ่งแล่นมา บนเกวียนบรรทุกสินค้าไว้และมีคนหลายคนนั่งมาด้วย
ถนนไม่กว้างนัก พอให้เกวียนวัวผ่านได้เพียงคันเดียว ฉินเหยาจึงหลบไปข้างทาง แล้วได้ยินคนบนเกวียนพูดอะไรกันบางอย่าง คล้ายว่ามาจากตัวอำเภอ นางได้ยินคำว่า ‘วัว ราชการ สิ้นปี’ อยู่ลางๆ
ฉินเหยาตั้งใจฟังให้ชัดขึ้น พบว่าพวกเขากำลังพูดถึงทางการอำเภอไคหยางที่เลี้ยงวัวไว้แปดตัว แต่ละตัวต้องใช้เงินถึงหนึ่งตำลึงในแต่ละเดือนเพื่อหาซื้อฟางมาเลี้ยง
ตอนนี้ทางการไม่อาจแบกรับค่าใช้จ่ายได้ไหวจึงวางแผนจะขายวัวที่เหลือออกไปทั้งหมดและเก็บไว้เพียงตัวเดียว
ในวันที่สิบห้าเดือนสิบสอง ทางการตั้งใจจะนำวัวไปขายในตลาดวัวและม้า
วัวที่ทางการเลี้ยงนั้นได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ให้อาหารไม่ขาดและไม่ค่อยได้ใช้งาน คงเป็นวัวที่มีคุณภาพแน่นอน
มีชาวบ้านคนหนึ่งบนเกวียนเริ่มสนใจ คิดว่าในวันนั้นจะเข้าไปในเมืองเพื่อดูหน่อย หากราคาสมเหตุสมผล เขาอาจซื้อกลับไปสักตัวเพื่อใช้ไถนาในปีหน้า
คนที่เหลือเมื่อได้ยินก็ส่งเสียงชื่นชมด้วยความอิจฉา
เกวียนวัวค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป ทิ้งให้ฉินเหยาเดินตามหลัง
นางรู้สึกประหลาดใจ ทางการเลี้ยงวัวเพียงตัวเดียวต้องสิ้นเปลืองเงินถึงหนึ่งตำลึงในแต่ละเดือน ไม่น่าแปลกใจที่มีคำกล่าวว่า “ค่าใช้จ่ายของวัวม้าหนึ่งตัว เท่ากับค่าอาหารของคนห้าคน”
แต่ในวันที่สิบห้าของเดือนสิบสองนั้น ทางการจะขายเฉพาะวัวเป็น หรือจะฆ่าวัวแก่เพื่อขายเนื้อด้วยหรือไม่
บางที นางอาจจะสามารถซื้อเส้นเอ็นวัวกลับมาใช้แทนหนังยางสำหรับหนังสติ๊กของนางได้
คิดถึงเรื่องนี้ ฉินเหยาก็ใจเต้นแรง เมื่อคำนวณวันเวลาพบว่าเหลืออีกเพียงห้าวัน
ถ่านสำหรับใช้ในฤดูหนาวยังไม่ได้ซื้อ ของใช้สำหรับตรุษจีนก็ดูเหมือนจะต้องเตรียมไว้บ้าง ถือโอกาสไปตัวอำเภอซื้อกลับมาทีเดียว
ในมือของนางเหลือเงินเพียงสิบตำลึงกับหนึ่งเฉียน แต่ฉินเหยากลับไม่ได้ร้อนใจ
เพราะมีธนูดีอยู่ในมือ ต่อให้ออกล่าสัตว์ นางก็ไม่มีทางอดตาย
ส่วนห้าชีวิตในบ้านของนาง เด็กทั้งสี่คนล้วนว่านอนสอนง่าย แต่หลิวจี้นั้น… รอให้พ้นปีไปก่อนเถิด แน่นอนว่านางจะไล่เขาออกจากบ้านให้ไปหาเงินใช้หนี้เอง!
ในเวลานั้น หลิวจี้กำลังนอนเกียจคร้านอยู่ในห้องของตนเอง เพ้อฝันว่าสักวันตนจะใช้รูปโฉมของตนเองกำราบภรรยาจอมโหดในบ้านให้เชื่องและให้นางทำงานถวายหัวหาเงินมาให้ตนใช้จ่าย
แต่เขาหารู้ไม่ว่า การผ่อนผันโทษของเขานั้นเหลืออีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
เมื่ออยู่ห่างจากหมู่บ้านตระกูลหลิวราวสองลี้ ฉินเหยาก็เห็นฝูงนกกระจอกกำลังหากินอยู่ในทุ่ง นางใช้ลูกเหล็กยิงได้หกตัว จะได้นำกลับบ้านเพิ่มเป็นกับข้าว
ทว่าเนื่องจากเป็นครั้งแรกที่นางใช้ลูกเหล็กยิงด้วยมือเปล่า นางจึงออกแรงมากเกินไป ทำให้นกกระจอกทั้งหกตัวถูกยิงจนเนื้อเละ
ถึงอย่างนั้น นกกระจอกที่เละก็ยังคงเป็นเนื้ออยู่ดี หลิวจี้ทำหน้าเบิกบานขณะนำซากนกกระจอกที่ดูน่าขยะแขยงเหล่านี้เข้าครัวเพื่อทำอาหาร แต่ในใจกลับแอบด่าฉินเหยาว่าโหดเหี้ยมไร้ปรานี
หลิวจี้ที่อยู่ในครัวหันกลับมามองหลายครั้ง เห็นฉินเหยาในลานบ้านกำลังถือธนูตั้งท่าไปมา เขาทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาดว่า
“ได้ธนูคันนี้มาจากไหนล่ะ คงต้องเสียเงินไปไม่น้อยเลยสิ”
ฉินเหยาอารมณ์ดี หันกลับมาพร้อมยกธนูเล็งไปที่เขา ก่อนจะยิ้มและตอบว่า “ซื้อมา ไม่เยอะ ห้าตำลึง”
“ห้าตำลึง?!” หลิวจี้ไม่อาจควบคุมเสียงตื่นตะลึงของตนเองได้
ฉินเหยาพยักหน้า “ทำไม? เจ้ามีความเห็นอะไรหรือ”
หลิวจี้คิดว่านางไร้เหตุผลสิ้นดี!
ธนูห่วยๆ คันหนึ่ง จะกินได้หรือสวมใส่ได้หรือ ไยต้องเสียถึงห้าตำลึงกัน
อ้อ ไม่สิ มันสามารถยิงทะลุตัวเขาได้ด้วย!
เมื่อเห็นว่าฉินเหยากำลังน้าวธนูเล็งมายังเขา หลิวจี้ก็กลืนน้ำลายอย่างแรง ก่อนจะแสร้งยิ้มอ่อนโยนอย่างเอาอกเอาใจและพูดว่า “ไม่มีความคิดเห็นหรอก เมียจ๋าชอบก็พอแล้ว”
ต้าหลางและพวกเมื่อรู้ว่าฉินเหยาได้สมบัติชิ้นใหม่ก็มารุมล้อมด้วยความสนใจ อยากจับแต่ก็ไม่กล้า
ฉินเหยาเป็นฝ่ายส่งธนูให้ต้าหลางก่อน บอกให้เขาลองดู
เด็กชายตัวน้อยตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง แต่ไม่นานก็ขมวดคิ้ว ธนูคันนี้ทั้งหนักทั้งแข็ง เขาไม่สามารถน้าวสายธนูได้เลย
“ฮ่าๆๆ…” ฉินเหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ
จนกระทั่งเด็กชายใกล้จะโกรธเพราะความอับอาย ฉินเหยาจึงเรียกให้เขาเข้ามาหา นางย่อตัวลงเล็กน้อย จับมือเขาไว้ ช่วยน้าวสายธนู ขึ้นลูกธนูแล้วปล่อยมือ
เสียงฟิ้วดังขึ้นในลานบ้าน ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศออกไปราวกับสายฟ้าแลบ
เสียงตุบดังก้อง ลูกธนูปักแน่นอยู่บนกองฟืน สั่นไหวอยู่พักใหญ่ก่อนจะนิ่งสนิท
“ว้าว!” ซื่อเหนียงอ้าปากค้าง หันกลับไปมองแม่เลี้ยงและพี่ใหญ่ ดวงตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสจนแทบมีดวงดาวกระเด็นออกมา
เอ้อร์หลางร้องทันทีว่าเขาก็อยากลองบ้าง
“ได้เลย มาลองทีละคน” ฉินเหยาก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล นางไม่มีทางลำเอียง พี่น้องทั้งสี่ได้ลองยิงกันคนละหนึ่งครั้ง
ทุกครั้งที่ยิงลูกธนูออกไป ลานบ้านจะเต็มไปด้วยเสียงร้องอุทานว่า ‘ว้าว! ท่านแม่เก่งจัง!’
แต่พอความตื่นเต้นหายไป เอ้อร์หลางก็เริ่มสนใจเสียงและกลิ่นของนกกระจอกทอดในครัวมากกว่า เขาจึงแอบเข้าไปในครัว
ซานหลางดูเหมือนจะไม่ชอบเคลื่อนไหวมากนัก เขานั่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กๆ ใต้ชายคา ดวงตาเป็นประกาย มองฉินเหยา ต้าหลาง และซื่อเหนียงที่ยังอยู่ในลานบ้าน และตบมือเบาๆ เป็นกำลังใจให้เป็นระยะ
ต้าหลางเริ่มตั้งใจมากขึ้น เมื่อน้าวสายธนูไม่ได้ เขาก็วิ่งไปเพื่อเก็บลูกธนูที่ปักอยู่บนกองฟืนกลับมา
แต่พอไปถึง เขากลับพบว่าตนเองดึงลูกธนูออกมาไม่ได้เลย
“ท่านแม่?” เด็กชายตัวน้อยมองนางด้วยสายตาน่าสงสารปนหงุดหงิด ฉินเหยาเดินก้าวยาวๆ เข้าไปแล้วดึงลูกธนูออกมาอย่างง่ายดาย
แต่ทันใดนั้นเสียงโครมก็ดังสนั่น กองฟืนที่เรียงไว้อย่างเรียบร้อยล้มครืนลงมาเพราะแรงดึงลูกธนูของนาง
“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น!”
หลิวจี้ถือตะหลิวในมือ ลากเอ้อร์หลางที่ยังถือเนื้อนกกระจอกอยู่ วิ่งออกมาด้วยความตกใจ คิดว่าบ้านที่เพิ่งซ่อมเสร็จกำลังจะถล่ม
ซื่อเหนียงใช้ทั้งร่างประคองคันธนูที่สูงกว่าตัวนางเอาไว้ มองไปยังกองฟืนที่กระจัดกระจายอยู่ด้านหลังท่านแม่และพี่ชายแล้วพูดอย่างไร้เดียงสาว่า “ท่านพ่อ กองฟืนมันล้มเองเจ้าค่ะ!”
หลิวจี้ก้มมองพื้นแล้วคิดในใจว่า ซื่อเหนียง เจ้าแน่ใจหรือว่ากองฟืนมันล้มเองน่ะ
กองฟืนทรง ‘เจดีย์หยวนเป่า’ ที่เขาอุตส่าห์เรียงอย่างลำบากอยู่หลายวัน ตอนนี้ไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกแล้ว ฟืนแห้งกระจัดกระจายเต็มไปหมด
พอคิดว่าต้องมาเรียงใหม่อีกครั้ง หลิวจี้ก็ถึงกับสูดลมหายใจลึกอย่างอดกลั้น ก่อนจะกดจุดเหรินจงของตนเองอย่างแรง เพื่อไม่ให้ตนเองโมโหจนเป็นลมตายเพราะแม่ลูกพวกนี้!