ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 44 ห้ามกินเนื้อ
สุดท้าย ทั้งครอบครัวหกคนก็ช่วยกันเรียงกองฟืนใหม่จนเสร็จ
ฉินเหยารับหน้าที่หลักในการสั่งการ เด็กสี่คนคอยช่วยเหลือ ส่วนกำลังหลักคือหลิวจี้ที่กัดฟันทำงานจนเหงือกแทบอักเสบ
อาจเพราะสัมผัสได้ถึงความอัดอั้นที่ล้นออกมาจากตัวเขา ฉินเหยาจึงไม่ซ้ำเติมด้วยการเหน็บแนมเขาอีก
เมื่อจัดการกองฟืนเรียบร้อย ฟ้าก็เริ่มมืดลง
ลมหนาวพัดผ่านมาเย็นยะเยือก ฉินเหยาแขวนคันธนูไว้ในห้องนอนแล้วนำเด็กทั้งสี่คนมาที่ห้องโถงเพื่อรอทานอาหาร
ระหว่างนั้น นางก็นำเนื้อนกกระจอกที่เอ้อร์หลางถืออยู่กลับเข้าไปในครัวแล้วเรียกเขามาสอน
“หากผู้ใหญ่ในบ้านยังไม่ได้เรียกให้กินข้าว ห้ามยกตะเกียบขึ้นก่อนเด็ดขาด อาหารยังไม่เสร็จก็ห้ามหยิบมากินเองเพราะความตะกละและยิ่งห้ามแอบกินเพราะอยากกินด้วย”
“แน่นอนว่า หากมีเพียงคนในครอบครัวกันเองก็ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดขนาดนี้ แต่หากมีแขกอยู่ด้วยพวกเจ้าต้องทำตามกฎ เข้าใจหรือไม่”
คำพูดนี้ไม่ได้พูดกับเอ้อร์หลางเพียงคนเดียว แต่ยังเป็นการเตือนเด็กอีกสามคนด้วย
เด็กทั้งสี่คนดูเหมือนจะกลัวถูกผู้ใหญ่จับได้ พวกเขาจึงไม่ได้วิ่งกรูกันเข้าไปในครัว แต่เข้าไปทีละคน เรียงตามลำดับ กินเนื้อเพียงคนละชิ้นแล้ววิ่งออกมา
ตอนนั้นฉินเหยาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตา ตัดสินใจว่านางต้องแก้นิสัยเสียนี้ของพี่น้องทั้งสี่ให้ได้
ฉินเหยาไม่สนใจว่าคนอื่นในหมู่บ้านจะมองพฤติกรรมของเด็กๆ บ้านนางอย่างไร บางทีพวกเขาอาจคิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะสิ่งที่หยิบไปกินเป็นของในบ้านตัวเอง
แต่หากโตขึ้นแล้วยังมีนิสัยเช่นนี้และสิ่งที่แอบกินกลับไม่ใช่ของในบ้านตัวเองเล่า
เอ้อร์หลางแต่เดิมไม่คิดอะไร แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของฉินเหยา เขาก็เริ่มเกร็ง มือเล็กๆ แนบชิดอยู่ข้างลำตัว ยืดตัวตรง ใบหน้าเล็กตึงเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดวงตาเรียวรีที่เหมือนหลิวจี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว พลางมองซ้ายมองขวาอย่างกระวนกระวาย
ต้าหลางและฝาแฝดชายหญิงที่เดิมนั่งอยู่ก็พลอยลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว
ซานหลางขี้กลัว เขากลัวว่าจะถูกตี น้ำตาเริ่มเอ่อเต็มดวงตา
ซื่อเหนียงที่ใจกล้าที่สุด เผลอเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว กำลังนึกถึงรสชาติของเนื้อที่กินไป
ต้าหลางคิดว่าตนเองเป็นพี่ใหญ่จึงต้องเป็นตัวอย่างให้น้องๆ เขายื่นมือออกมา
“ท่านน้า ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรแอบพาน้องๆ ไปขโมยกินในครัว ท่านตีข้าเถิด เป็นความผิดของข้าคนเดียว ไม่เกี่ยวกับเอ้อร์หลางหรือคนอื่น”
เอ้อร์หลางร้อนใจ “พี่ใหญ่?”
ทั้งๆ ที่ความคิดนี้เป็นของเขาเองแท้ๆ และเขาก็เป็นคนบอกให้ซานหลางและซื่อเหนียงทำหน้าตาน่าสงสาร พี่ใหญ่ใจอ่อนถึงพาไปขโมยกินต่างหาก!
ต้าหลางดันเอ้อร์หลางไปด้านหลังพลางมองฉินเหยาแล้วพูดว่า “ท่านน้า ครั้งหน้าข้าไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว”
ฉินเหยาชำเลืองมองเอ้อร์หลางแวบหนึ่ง สายตานั้นชัดเจนว่ามองทะลุความคิดลับๆ ของพวกเขาออกหมด
เอ้อร์หลางรู้สึกผิดจับใจ อยากสารภาพทุกอย่าง แต่ก็กลัวจะโดนตีจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาของนาง
เด็กทั้งสี่คนยืนตัวเกร็งอยู่ตรงหน้าฉินเหยา ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ฉินเหยารู้สึกจนปัญญา แต่สีหน้าเคร่งขรึมของนางไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย นางพูดด้วยเสียงจริงจังว่า
“รู้ว่าผิดแล้วก็ต้องแก้ไข คืนนี้ข้าจะลงโทษพวกเจ้า ห้ามกินเนื้อ ให้จดจำไว้เป็นบทเรียน”
“หา?”
เด็กทั้งสี่คนมองนางด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ราวกับสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป
ซื่อเหนียงถามอย่างงงงันว่า “ท่านแม่ ไม่ตีพวกเราหรือ”
“เจ้าอยากให้ข้าตีหรือ” ฉินเหยาเลิกคิ้วถามกลับ
ซื่อเหนียงรีบโบกมือแล้วส่ายหน้าแรงๆ เหมือนกลองป๋องแป๋ง “ไม่เอาๆ”
ฉินเหยาดีดศีรษะซื่อเหนียงเบาๆ พร้อมพูดว่า “สาวน้อยน่ารักขนาดนี้ ข้าตีไม่ลงหรอก”
“จริงไหม”
ซื่อเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติกลับมาแล้วถามอย่างดีใจว่า “ท่านแม่ ท่านไม่โกรธแล้วใช่ไหม”
เมื่อเห็นฉินเหยาพยักหน้า บอกว่านางไม่เคยโกรธพวกเขาเลย สาวน้อยก็พุ่งเข้ามากอดฉินเหยาไว้ พูดเสียงอ้อนเบาๆ ว่า
“ท่านแม่ ซื่อเหนียงผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้ว~”
น้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาของซานหลางในที่สุดก็ไม่ได้ไหลออกมา เด็กชายเปลี่ยนจากน้ำตาเป็นรอยยิ้มเจือความเขินอาย
ต้าหลางและเอ้อร์หลางสบตากันแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก
เอ้อร์หลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยปากยอมรับว่าความคิดนี้เป็นของเขาเอง
“ข้ารู้อยู่แล้ว” ฉินเหยากล่าวเรียบๆ
นางยังพูดต่อว่า “ไม่โดนตีถึงกล้ายอมรับ ถ้าจะต้องโดนตีจริงๆ เจ้าก็คงไม่พูดความจริงใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะ!” เอ้อร์หลางรีบแย้ง แต่พฤติกรรมก่อนหน้านี้ของเขามันเป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ ทำให้เขาแย้งไม่ออก
เมื่อเห็นเหมือนเขากำลังจะร้องไห้ ฉินเหยาจึงโบกมือและพูดว่า “ครั้งนี้ให้เป็นบทเรียน ครั้งหน้าอย่าให้เกิดขึ้นอีก”
นางแสร้งทำเหมือนจะลงโทษรุนแรง แต่กลับปล่อยผ่านอย่างเบามือ ทำให้หลิวจี้ที่แอบมองจากประตูครัวถอนหายใจอย่างโล่งอก
แม้เขาจะกลัวสตรีอำมหิตผู้นี้มาก แต่หากนางกล้าลงมือกับลูกของเขา เขาจะต้องออกไปปกป้องพวกเด็กๆ แน่นอน
เพราะถึงอย่างไร เขาก็ทนโดนตีได้ แต่หากเด็กๆ ถูกตีจนเป็นอะไรขึ้นมา นั่นอาจกลายเป็นปัญหาไปชั่วชีวิต
โชคดีที่ไม่มีใครโดนตี รวมถึงเขาก็ไม่โดนด้วย!
วันนี้ไม่ได้ทำงานหนักอะไร ข้าวสวยจึงดูฟุ่มเฟือยเกินไป หลิวจี้จึงจัดข้าวต้มขาวเป็นมื้อเย็น
แน่นอนว่า หากเป็นไปได้ เขาก็อยากกินข้าวสวยทุกวัน แต่คนที่เคยหิวโหยมาก่อนมักมีนิสัยกลัวว่าจะไม่มีอาหารในอนาคต แม้จะมีให้กินก็มักจะไม่กล้ากินมากนัก
ข้าวต้มขาวก็ดี อย่างน้อยก็ช่วยประหยัดข้าวได้มากขึ้นอีกหน่อย
เขายังทำกับข้าวเพิ่มอีกสองจานเพื่อกินกับข้าวต้ม
หากเป็นบ้านอื่นคงไม่กล้าผัดกับข้าวทุกวัน แต่หลังจากสังเกตมานานกว่าหนึ่งเดือน หลิวจี้พบว่าสตรีอำมหิตผู้นี้ชอบกินอาหารจานผัดมากที่สุด
หากถูกปากนาง นางจะไม่สนใจเลยว่าเขาจะสาดน้ำมันไปมากแค่ไหน
หลังจากนั้น เขาก็เริ่มมีความกล้ามากขึ้น
บ้านอื่นเวลาผัดกับข้าวมักทาน้ำมันเพียงบางๆ ลงบนกระทะ แต่เขาไม่เหมือนกัน เขายกถังน้ำมันลงมา ตักน้ำมันหนึ่งช้อนใหญ่เทลงในกระทะ เสียงน้ำมันเดือดซู่ซ่าดังสนั่น แม้แต่คนที่ทำอาหารไม่เป็น ผัดส่งๆ ไปสองสามทีก็ยังออกมาอร่อยได้
ใส่กระเทียมลงไปเจียวให้หอม ตามด้วยผักใบเขียว ใช้ไฟแรงผัดเร็วๆ แล้วเติมเกลือก็พร้อมยกออกจากกระทะ
พระเอกของมื้อเย็นนี้คือนกกระจอกทอด เนื้อดูเหมือนไม่มากนัก แต่เมื่อทอดในน้ำมันจนกรอบแล้วเติมพริกแห้ง กระเทียม ขิง และต้นหอมลงไปผัด กลิ่นก็หอมจนแทบน้ำลายไหล
ช่วงนี้ที่อยู่กับฉินเหยา อาหารการกินก็ดีขึ้นมาก มีเนื้อกินทุกห้าวัน ดังนั้นเมื่อเห็นอาหารที่มีเนื้ออีกครั้ง หลิวจี้จึงพอควบคุมตัวเองไม่ให้แสดงอาการมากเกินไปได้
แต่วันนี้ เมื่อจานนกกระจอกทอดกรอบเผ็ดร้อนถูกยกออกจากกระทะ เขาก็กลืนน้ำลายไปไม่รู้กี่รอบ
ในที่สุด เมื่ออาหารและตะเกียบถูกจัดวางเรียบร้อย และฉินเหยาหยิบตะเกียบขึ้นมา ตะเกียบหกคู่ก็พุ่งไปยังจานนกกระจอกทอดเล็กๆ จานนั้น
หลิวจี้สามารถคีบชิ้นเนื้อขาของนกที่ใหญ่ที่สุดได้ เขาคีบเข้าปาก รสชาติเผ็ด หอม และอร่อยหลากหลายระเบิดขึ้นบนปลายลิ้น
กัดไปหนึ่งคำ กรอบนอกนุ่มในแล้วดื่มข้าวต้มขาวตามลงไป กลืนทุกอย่างพร้อมกัน ความสุขเต็มเปี่ยมจนเขาหยีตาด้วยความพอใจ