ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 49 หิมะตกแล้ว
ฉินเหยาคิดว่าใบหน้าของหลิวจี้คงทำมาจากกำแพงเมือง
พอได้ยินคำว่าของอร่อยก็รีบเบียดเข้ามาทันที
หลักการของเขาคือ ‘ข้าไม่มีศักดิ์ศรี พวกเจ้าเองก็ไม่มีสิทธิ์มาตำหนิข้าเรื่องคุณธรรม’
เมื่อเกี๊ยวน้ำหอมกรุ่นหกชามถูกยกมา เด็กๆ ก็เบิกตากว้าง
หนึ่งชามราคาแปดเหวิน มีเกี๊ยวสิบห้าตัว ไส้หมูเต็มคำ พี่น้องทั้งสี่รู้สึกว่านี่อร่อยกว่าถังหูลู่เสียอีก
อะไรก็ตามที่เป็นเนื้อ พวกเขาล้วนคิดว่าเป็นของดีที่สุด
เกี๊ยวน้ำชามใหญ่ขนาดนี้ ซานหลางและซื่อเหนียงยังสามารถกินจนหมดได้
ฉินเหยามองแล้วคิดในใจ ‘คืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ ท้องอืดแน่นอน’
น้ำแกงที่เหลือ ฉินเหยาไม่ยอมให้เด็กทั้งสองคนดื่มต่อ นางซดเองจนหมด
หลิวจี้ที่รอเก็บของเหลือกลับไม่ได้แม้แต่น้ำแกงสักหยด เศร้าใจยิ่ง
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ฉินเหยาสั่งให้หลิวจี้พาเด็กๆ กลับไปที่เกวียนก่อน ส่วนนางไปซื้อของสำหรับตรุษจีนเพิ่ม
น้ำมันและน้ำปรุงรสต้องซื้อเพิ่ม รวมถึงเนื้ออีกยี่สิบจิน ถึงตอนนั้นมันหมูจะนำไปเคี่ยวทำน้ำมันหมู ส่วนเนื้อแดงจะแช่แข็งไว้นอกบ้าน ค่อยๆ ทยอยกิน
ฉินเหยาเห็นว่ามีคนนำถั่วงอกมาขายจึงคิดว่านางจะลองเพาะเองบ้างในฤดูหนาวนี้ จะได้มีผักเพิ่มอีกอย่างไว้กินกัน
กระดาษแดงซื้อมาหนึ่งแผ่น นอกจากนี้ยังซื้อเทียน โคมแดงสองอันและฟางหนึ่งถุงสำหรับเลี้ยงวัว
เงินในกระเป๋าของฉินเหยาตอนนี้เหลือเพียงเก้าตำลึงห้าเฉียน
การเข้าเมืองครั้งนี้ใช้เงินไปถึงหกเฉียน ทำเอานางรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย
ของในยุคโบราณนี้แพงทุกอย่าง หากไม่คิดวิธีหาเงินเพิ่ม ฉินเหยารู้สึกว่าเงินในมือคงไม่พออีกต่อไป
การมีเกวียนวัวนั้นสะดวกมาก ทั้งบรรทุกคนและสินค้าได้ เมื่อฉินเหยานำเกวียนวัวไปคืนที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน นางก็ลูบตัววัวไปมาอย่างเสียดาย อยากได้มาเป็นของตนเอง
แต่ก็ทำได้แค่มอง เพราะเงินในกระเป๋ายังไม่เอื้ออำนวย
ครอบครัวทั้งหกคนเดินทางกลับบ้านพร้อมของเต็มเปี่ยม พอเดินเข้ามาถึงลานบ้าน ท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็สว่างขึ้นทันใด
หิมะตกแล้ว
เกล็ดหิมะสีขาวร่วงลงมาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานพื้นดินก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นสีขาวบางๆ เมื่อเหยียบลงไปก็ส่งเสียงสวบสาบดังออกมา
ครอบครัวทั้งหกคนขดตัวอยู่ในห้องโถง นั่งล้อมเตาถ่านที่เพิ่งจุดไฟขึ้นมา รู้สึกโชคดีที่กลับมาถึงบ้านทันเวลา
หิมะตกลงมาอย่างรวดเร็ว
ในชั่วข้ามคืน ผืนดินก็ถูกปกคลุมด้วยสีเงินยวงชั้นหนึ่ง
อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว ฤดูหนาวที่แท้จริงมาถึงแล้ว บ้านทุกหลังปิดประตูเพื่อป้องกันความหนาวเย็น
เพื่อประหยัดฟืน บ้านฉินเหยาจึงทำอาหารเพียงสองมื้อต่อวัน โดยทำมื้อเช้าควบกับมื้อกลางวันและอุ่นบนเตาถ่านในช่วงกลางวัน
เนื่องจากไม่จำเป็นที่จะจุดเตาถ่านทุกห้อง หลังจากตื่นนอนแล้วทุกคนจึงมารวมตัวกันในห้องโถง
หลิวจี้และเด็กๆ ทั้งสี่คนกำลังฝึกเขียนตัวอักษร
หลังจากวิดพื้นสองร้อยครั้งเสร็จ ฉินเหยาก็เริ่มคิดว่าจะหาเงินอย่างไรดี
ฉินเหยาเริ่มรำลึกถึงนิยายออนไลน์แนวทะลุมิติที่นางเคยอ่านตอนเรียนเหล่านั้น
ตัวเอกหญิงที่ทะลุมิติมามักหาเงินกันอย่างไรนะ
ที่เห็นบ่อยสุดก็คือการทำอาหารเลิศรสขาย
โดยเฉพาะเครื่องในหมู ด้วยต้นทุนที่ต่ำ แค่ทำอะไรง่ายๆ ก็ขายทำเงินก้อนโตได้และมักปรากฏในนิยายบ่อยครั้ง
ฉินเหยาเองก็รู้สึกอยากลองบ้าง
แต่ความเป็นจริงกลับตบหน้านางอย่างแรง!
ก่อนอื่นเลย นางหาซื้อเครื่องเทศสำหรับทำเครื่องในหมูไม่ได้
เครื่องเทศที่นี่แพงเหลือเกิน ทั้งโป๊ยกั๊ก พริกหอม และอื่นๆ ทั้งอำเภอไคหยางไม่มีขาย
มีเพียงขุนนางและพ่อค้าที่ร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ และยังต้องสั่งผ่านเส้นทางขนส่งส่วนตัว
อีกอย่าง หมู่บ้านในระยะสิบลี้รอบๆ รวมกันยังไม่ถึงพันคน แถมกระจายตัวกันอยู่ หมู่บ้านใกล้ที่สุดยังต้องเดินทางถึงสามชั่วโมง ตลาดที่พัฒนาเต็มที่จึงไม่มีทางเกิดขึ้น
เริ่มต้นในหมู่บ้านเล็กๆ บนเขา ช่างเหมือนเดินบนทางตัน
ข้อสุดท้าย อยากจะขำตาย!
ทั้งหมู่บ้านไม่มีใครเลี้ยงหมูได้เลย เพราะฉะนั้นไม่มีวัตถุดิบตั้งต้น!
เครื่องในหมูก็ยังถือว่าเป็นเนื้อ ชาวบ้านที่ประหยัดมัธยัสถ์ถึงขั้นนำตั๊กแตนหรือปลิงมาทอดกินแล้ว นับประสาอะไรกับเครื่องในหมูธรรมดาๆ
เส้นทางเครื่องในหมู ล้มเลิก!
ฉินเหยาขีดฆ่าตัวเลือก ‘ทำเครื่องในหมูขายให้ร่ำรวย’ บนกระดานเล็กๆ อย่างแรง
นางยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับอาหารอย่างอื่น
เต้าหู้ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย
แต่ตามสุภาษิตที่ว่า ‘ในชีวิตมีความยากลำบากอยู่สามอย่าง ได้แก่ พายเรือ ตีเหล็ก และโม่ถั่วทำเต้าหู้!’
นางไม่แน่ใจว่าตัวเองจะอดทนทำได้หรือไม่
เดี๋ยวนะ นางเห็นว่ามีคนเพาะถั่วงอกขายในอำเภอ หรือพวกเขาจะทำเต้าหู้เป็นด้วย
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินเหยาจึงตัดสินใจทดสอบเด็กๆ ในบ้าน
“มีใครรู้บ้างว่า ถั่วเหลืองเอามาทำอะไรกินได้บ้าง”
ฉินเหยาดึงหลิวจี้ออกจากตำแหน่งครูสอนแล้วนั่งลงแทนพร้อมถามด้วยรอยยิ้ม
เอ้อร์หลางรีบยกมือแย่งตอบว่า “ข้ารู้!”
ฉินเหยาพยักหน้าให้กำลังใจพร้อมส่งสัญญาณให้เขาพูด
เอ้อร์หลางตอบว่า “ถั่วเหลืองเอามาเพาะถั่วงอก ทำเต้าฮวย หรือเต้าหู้ก็ได้ ท่านป้าใหญ่ของเราจะทำเต้าหู้ขายตอนฤดูหนาว คนในหมู่บ้านมักจะเอาถั่วเหลืองไปแลกกลับมาทำกับข้าววันตรุษจีน”
ต้าหลางเสริมว่า “เอาไปใส่หม้อไฟ เต้าหู้ใส่ในหม้อไฟหรือเอามาตุ๋นกับเนื้อ อร่อยมากเลย”
ต้าหลางเล่าว่าตอนมารดาแท้ๆ ของเขายังมีชีวิตอยู่เขาเคยได้กินสองครั้ง รสชาติหอมอร่อยนั้นยังจดจำมาถึงทุกวันนี้
ฉินเหยานวดขมับที่เต้นตุบๆ อย่างเหนื่อยใจ เส้นทางทำเต้าหู้ก็พังไม่เป็นท่า แถมที่นี่ดันมีหม้อไฟอยู่แล้วอีก
อีกทั้งในหมู่บ้านส่วนใหญ่ยังนิยมแลกเปลี่ยนสินค้ากันอยู่ การนำถั่วเหลืองส่วนเกินไปแลกเต้าหู้กลับมาเป็นเรื่องปกติ
คิดๆ ดูแล้ว การถักรองเท้าฟางขายต่อไปอาจจะคุ้มค่ากว่า
ต้าหลางและเอ้อร์หลางมองแม่เลี้ยงด้วยความไม่มั่นใจ พวกเขาตอบผิดหรือเปล่า ทำไมนางถึงดูไม่พอใจเลย
ฉินเหยาฝืนยิ้ม พร้อมชูนิ้วโป้งให้ทั้งสอง “ยินดีด้วย พวกเจ้าตอบถูกแล้ว แต่มีรางวัลเป็นกำลังใจเท่านั้น”
พี่น้องทั้งสองถามอย่างคาดหวังว่า “รางวัลเป็นกำลังใจคืออะไรหรือ”
ฉินเหยาชูนิ้วโป้งอีกครั้ง “ก็คือแบบนี้ ดีเยี่ยม”
พี่น้องทั้งสองยืนนิ่งอย่างลำบากใจ ไม่รู้ว่าควรยิ้มหรือไม่ แต่ก็ยิ้มไม่ออกจริงๆ
ฉินเหยากวักมือเรียกหลิวจี้ “เจ้าสอนต่อเลย”
หลิวจี้สูดลมหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ เขาสอนอยู่ดีๆ นางกลับเข้ามาทำให้วุ่นวาย
ฉินเหยากลับไปยังมุมที่นั่งของตน ก้มหน้าขบคิดอย่างเงียบๆ
แต่ยังไม่ทันคิดอะไรออก ปีใหม่ก็มาถึงเสียก่อน
หิมะตกอยู่หลายวัน แต่ในวันส่งท้ายปีเก่าท้องฟ้าก็แจ่มใสขึ้น หิมะบนหลังคาละลายหยดติ๋งๆ ลงมา และกลายเป็นน้ำแข็งห้อยย้อยใต้ชายคา
เมื่อหิมะหยุดตก เด็กๆ ที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านก็ได้อิสระอีกครั้ง พวกเขาพากันวิ่งออกมาจากบ้าน มีทั้งเล่นปาหิมะ ทุบแท่งน้ำแข็งและปั้นตุ๊กตาหิมะ
ในบ้านอากาศหนาว การออกมาวิ่งเล่นทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น บรรดาพ่อแม่จึงไม่ห้ามเด็กๆ ออกไปข้างนอก
ผู้ใหญ่บ้านพาชายหนุ่มร่างกำยำในหมู่บ้านเดินตรวจตราและนับจำนวนคนตามบ้านเรือน
หลังจากเดินตรวจทั้งวันก็หามผู้เฒ่าสองคนที่แข็งตายออกมาจากกระท่อมเตี้ยทรุดโทรมซึ่งกันลมหนาวไม่ได้
ร่างของพวกเขาถูกห่อด้วยเสื่อหญ้า ก่อนที่ชายหนุ่มในหมู่บ้านจะช่วยกันหามไปยังภูเขาเปลี่ยว กลบฝังด้วยดินเหลือง เป็นอันจบสิ้นชีวิตนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับปีก่อน ปีนี้มีเพียงผู้เฒ่าสองคนที่หนาวตาย ไม่มีเด็กหรือคนหนุ่มสาวเสียชีวิต ถือว่าดีมากแล้ว
ในความทรงจำของฉินเหยา เทศกาลตรุษจีนเป็นวันที่ครึกครื้นเต็มไปด้วยเสียงกลองและบรรยากาศแห่งความสุข
แต่ด้วยความขาดแคลน หมู่บ้านตระกูลหลิวจึงมีวิธีเฉลิมฉลองที่แสนเรียบง่าย
แต่ละบ้านจะพยายามทำอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้
จากนั้นสมาชิกในครอบครัวจะนั่งล้อมวงกินอาหารร่วมกัน ถือว่าเป็นการฉลองปีใหม่แล้ว
การชมโคมไฟหรือการแสดงเชิดสิงโตเชิดมังกรไม่มีให้เห็นเลย
การได้กินอิ่มสักมื้อและมีปีหน้าที่อุดมสมบูรณ์ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
ถึงขนาดที่ว่าเมื่อเด็กๆ ในบ้านเห็นฉินเหยานำตัวอักษร ‘福’ (ฝู) สองแผ่นที่ตัดไว้ไปติดที่ประตูหน้า พวกเขาก็ทำราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างนั้น
พวกเขาถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว ปีใหม่เป็นแบบนี้นี่เอง