ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 5 ตักน้ำ
หลิวเหล่าฮั่นรู้ดีว่าบ้านเขามีบุตรชายมาก หากไม่อบรมสั่งสอนให้ดี บ้านนี้สักวันไม่ช้าก็ต้องแตกแยก ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับการอบรมเป็นที่หนึ่ง ใจเองก็แข็งมากเช่นกัน
แต่เจ้าสามนี่สิ เจ้าตีเขา เขาก็หนี เจ้าด่าเขา เขาก็ชี้นิ้วใส่หน้าเจ้าแล้วด่ากราดกลับ ใจแข็งนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไรแม้แต่น้อย
ทำให้หลิวเหล่าฮั่นโกรธจนผมหงอกขาวในชั่วข้ามคืน
คนวัยสี่สิบกว่า แต่กลับมีผมหงอกขาวทั้งศีรษะ มองไปแล้วเหมือนคนอายุหกสิบอย่างนั้น
เมื่อเห็นว่าเจ้าหลิวสามอายุก็เกินสิบห้าปีแล้ว อบรมสั่งสอนไปก็ไม่ไม่เกิดผล นางจางจึงไปสอบถามได้เคล็ดลับจากผู้อื่นมาบอกว่าสตรีดุร้ายเท่านั้นจึงจะสามารถกำราบพวกดื้อด้านเช่นนี้ได้
ดังนั้นหลิวเหล่าฮั่นจึงคิดจะแต่งสะใภ้ที่เก่งกาจสักคนให้กับหลิวจี้เพื่อใช้ควบคุมเขา หลังแต่งงานก็จะให้ทั้งสองแยกออกไปอยู่ต่างหาก บ้านจะได้สงบ ตาไม่เห็นใจก็จะได้สงบ เขาเองก็ถือว่าได้ทำหน้าที่พ่ออย่างเต็มที่แล้ว
พ่อแม่ของเขาทุ่มเทสุดตัวเพื่อหาภรรยาให้หลิวจี้ สุดท้ายก็เลือกหญิงสาวที่ทั้งดุดันและมีความสามารถจากสกุลม่อ
ไม่คิดเลยว่าหลิวจี้เจ้าคนไม่เอาไหนผู้นี้จะสงบเสงี่ยมลงไปไม่น้อยจริงๆ
แต่ทุกคนล้วนคิดไม่ถึงว่า สตรีดีๆ เช่นนี้กลับต้องมาตายเพราะคลอดลูกยาก
หลิวเหล่าฮั่นเสียใจหนักยิ่งกว่าหลิวจี้เสียอีก ในวันที่ย้ายโลงของสะใภ้สามไปฝังนั้น เขายังร้องไห้ไปตลอดทาง
ชีวิตหนอ นี่แหละคือชะตาของข้าหลิวเหล่าฮั่น! ชาติที่แล้วข้าไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรกับเจ้าหลิวจี้เอาไว้ ถึงได้ให้เขามาทวงหนี้เลือดกับข้าในชาตินี้!
ยามนี้ เมื่อหลิวเหล่าฮั่นนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นก็ได้แต่กลัวว่าฉินเหยาจะทิ้งเจ้าสามและครอบครัวเอาไว้แล้วหนีไป
“เมียเจ้าสาม หากมีปัญหาอะไรก็ให้มาที่เรือนเก่า ครอบครัวจะได้ช่วยกันปรึกษาออกความเห็น อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวเป็นอันขาด”
หลิวเหล่าฮั่นเอ่ยกำชับอย่างจริงจัง
ฉินเหยาคิดว่าหลิวเหล่าฮั่นจะตำหนินาง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดเช่นนี้ นางจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว” นางพยักหน้าตอบ
หลิวเหล่าฮั่นคิดว่านางเข้าใจความหมายของเขาและจะมาขอยืมเงินไปไถ่ตัวหลิวจี้จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อย
พี่น้องหลิวไป่ทั้งสามไม่พอใจในตัวหลิวจี้เป็นอย่างมาก เมื่อเห็นฉินเหยาตอบรับ พวกเขาก็คิดว่าอย่างไรเสียคนแรกที่ต้องเป็นกังวลก็ไม่ใช่พวกตน ในเมื่อภรรยาคนเขาก็ยังอยู่ พวกเขาจึงเร่งให้หลิวเหล่าฮั่นกลับไปกินข้าวก่อน
หลิวเหล่าฮั่นมองดูแม่ลูกทั้งห้าตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาว ด่าหลิวจี้ว่าเป็นเจ้าสารเลว ก่อนเรียกบุตรชายแล้วพากันจากไป
ก่อนจะไป บิดาและบุตรชายทั้งสี่ส่งสายตาให้กับต้าหลางกับเอ้อร์หลาง บอกให้พวกเขาคอยดูแม่เลี้ยงให้ดี
แม้ตอนนี้ฉินเหยาจะดูผอมแห้งไม่น่าจะหนีไปไหนได้ไกล แต่เมื่อคิดถึงสภาพของบ้านเจ้าสามในตอนนี้ ใครๆ ก็คงอยากหนีไปให้พ้น ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ฉินเหยามองส่งพวกเขาเดินจากไปจนลับตาแล้วหันกลับมามองพี่น้องทั้งสี่ที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้าน “หิวไหม”
พี่น้องทั้งสี่คนพยักหน้าตอบอย่างซื่อสัตย์
หลังจากวุ่นวายมาตลอดเช้า ฉินเหยาที่กินเผือกแปดหัวในตอนเช้าก็ย่อยหมดแล้วและเริ่มจะหิวขึ้นมาเหมือนกัน
ฉินเหยาหยิบเผือกสี่หัวที่ยังอุ่นอยู่ในกระเป๋าเสื้อออกมา ส่งให้พี่น้องทั้งสี่คน “คนละหัว กินรองท้องก่อน”
เมื่อครู่ฉินเหยาได้สำรวจบ้านทรุดโทรมนี้ไปแล้ว ในห้องสองห้องมีเพียงเตียงไม้เก่าๆ พร้อมผ้าห่มที่ดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไร ไม่ต้องพูดถึงการซ่อนเงิน เพราะแม้แต่หนูยังไม่มีที่ให้หลบ
ยังดีที่มีเตาและหม้อเหล็กอยู่หนึ่งใบ แม้ว่าโอ่งน้ำจะว่างเปล่า ไม่มีอาหารจริงจังให้กิน นางจึงทำได้เพียงย่างเผือกกินต่อไป
ฉินเหยาเห็นกองฟืนเล็กๆ ข้างเตา เป็นกิ่งไม้หักๆ น่าจะเป็นต้าหลางหรือเอ้อร์หลางที่เก็บมาจากเชิงเขา
ฉินเหยาหยิบหินจุดไฟขึ้นมา ทำความสะอาดเตาอย่างรวดเร็วแล้วจุดไฟขึ้น
พี่น้องทั้งสี่คนยืนอยู่ข้างหลังนาง มองดูเผือกหอมกรุ่นในมือแล้วกลืนน้ำลายอย่างแรง ต่อหน้าอาหารเช่นนี้ พวกเขาแทบลืมไปแล้วว่าพ่อสารเลวของพวกเขาถูกพวกทวงหนี้แบกตัวไป
พวกเขายังมีความรู้สึกผูกพันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากนัก
ซานหลางกับซื่อเหนียงยังเด็กเกินกว่าจะควบคุมสัญชาตญาณของตนเองได้ พวกเขายกเผือกขึ้นมาดมที่ปลายจมูกแล้วเลียริมฝีปากพลางมองไปยังพี่ชายทั้งสอง
ต้าหลางมองดูฉินเหยาเอาของดำๆ ในถุงที่ทำจากเถาวัลย์ฝังลงไปในกองไฟ รอจนสุกแล้วจึงแซะออกมา ปอกเปลือกและเอาเข้าปากกินจึงค่อยพยักหน้าให้กับน้องชายและน้องสาวที่อดใจไว้แทบไม่ไหว
“อร่อยจัง~” ซานหลางเพิ่งกัดเข้าไปคำเดียว ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที
“นี่คือเผือก เดิมก็อร่อยมากอยู่แล้ว”
เสียงของฉินเหยาพลันดังขึ้น ทำเอาพี่น้องทั้งสี่ที่กำลังกินเผือกอย่างเอร็ดอร่อยถึงกับตัวแข็งทื่อ
เอ้อร์หลางสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเคยได้ยินชาวบ้านพูดว่าเผือกมีพิษ กินเข้าไปแล้วจะเป็นโรคประหลาด ทั้งตัวจะคันยิบๆ สุดท้ายก็จะตายเพราะเกาจนผิวหนังเปื่อยยุ่ย
เมื่อครู่ฉินเหยาเห็นพวกเขาสังเกตการกระทำของนางอย่างระแวดระวัง ยังนึกว่าพวกเขารู้ว่านี่คือเผือกถึงได้ระวังกันขนาดนี้
ที่แท้พวกเขาก็ไม่รู้อะไรเลยนี่เอง
ฉินเหยาหัวเราะเบาๆ แล้วกินเผือกในมือจนหมด ลุกขึ้นเดินไปยังพี่น้องทั้งสี่ หยิบเผือกสองหัวขึ้นมาพลางอธิบายว่า
“ยางของเผือกดิบหากโดนผิวหนังจะทำให้คัน ล้างน้ำก็หาย แต่เผือกสุกไม่มีปัญหานี้ กินอย่างวางใจเถอะ”
พูดจบ นางก็เอาเผือกในมือฝังลงไปในขี้เถ้าเพื่อย่างต่อ จากนั้นหยิบเผือกที่ย่างไว้ก่อนหน้านี้ออกมากองไว้ข้างกองไฟ ก่อนจะพยักหน้าเรียกต้าหลาง “ถังน้ำอยู่ไหน ข้าจะไปตักน้ำกลับมา พวกเราจะได้ทำความสะอาดบ้านกัน”
ชีวิตได้จุมพิตนางด้วยความเจ็บปวด แต่นางยังคงตอบแทนชีวิตด้วยบทเพลง
บ้านสกปรกแบบนี้ ฉินเหยาอยู่ไม่ได้แม้แต่คืนเดียว!
ต้าหลางที่ไม่ได้กินอาหารดีๆ มานานอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะรู้สึกตัว กินเผือกในมือจนหมดแล้วเดินเข้าไปในบ้าน หยิบถังไม้อันหนักอึ้งออกมาจากมุมมืด
เด็กในชนบทแม้จะดูผอม แต่พวกเขาช่วยงานบ้านมาตั้งแต่เด็ก พละกำลังก็ไม่น้อยเลย
ต้าหลางถือถังน้ำแล้วบอกกับเอ้อร์หลางว่า “ข้ากับแม่เลี้ยงจะไปตักน้ำ”
เอ้อร์หลางพยักหน้า แม้ว่าบ้านจะทรุดโทรม แต่ไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านจะมีจิตใจดี บางคนยิ่งเห็นว่าพวกเขาลำบาก ยิ่งหาโอกาสรังแก
เดิมทีบ้านมีถังไม้อยู่สองใบกับคานหาบหนึ่งอัน แต่ตอนพวกเขาพี่น้องพากันขึ้นเขาไปเก็บผลไม้ป่าแล้วลืมเอาของไปซ่อนไว้ในบ้าน พอกลับมาถึงบ้าน คานหาบก็หายไป ถังไม้ก็เหลือเพียงใบเดียวแล้ว
พี่ใหญ่ไปตามหาจนทั่วหมู่บ้าน แต่ทุกบ้านบอกว่าไม่เห็น สุดท้ายก็ต้องปล่อยไป
ฉินเหยาเดินตามต้าหลางไปยังบ่อน้ำในหมู่บ้าน เอ้อร์หลางเห็นนางเดินห่างออกไปก็รีบวิ่งไปที่กองไฟ หยิบเผือกที่ฉินเหยาย่างทิ้งไว้แล้วแบ่งให้น้องชายและน้องสาว ส่วนตัวเองก็หยิบมากินหนึ่งหัว พลางกำชับทั้งสองว่า “กินช้าๆ อย่าสำลักเล่า”
ซานหลางกับซื่อเหนียงแก้มป่องเหมือนหนูแฮมสเตอร์ ปากขยับเคี้ยวอาหารพลางพยักหน้า “อืม อืม!”
ไม่นาน เผือกกองเล็กๆ ก็ถูกพี่น้องทั้งสามคนกินจนหมด
เอ้อร์หลางให้ซานหลางเฝ้ากองไฟดูเผือกที่ฝังอยู่ไม่ให้ไหม้ ส่วนตัวเองนั่งลงบนธรณีประตู พิงหัวกับกรอบประตู มือข้างหนึ่งลูบท้องตัวเอง อีกข้างหนึ่งลูบท้องป่องๆ ของซื่อเหนียง
พี่น้องสองคนมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา ความรู้สึกอิ่มท้องช่างดีเหลือเกิน
ทางด้านฉินเหยา นางถือถังน้ำเดินตามหลังลูกเลี้ยงคนโต ทั้งสองเดินไปในหมู่บ้านอย่างเงียบๆ
ฉินเหยาเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ต้าหลางเองก็ไม่คุ้นเคยกับแม่เลี้ยงจึงไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่เงียบ
ในหมู่บ้านมีบ่อน้ำ น้ำในบ่อนั้นใสสะอาดและหวานชื่นใจ ชาวบ้านจึงมาตักน้ำที่นี่
แต่หากเป็นการซักผ้าหรือใช้น้ำอย่างอื่น ต้องไปที่ปากหมู่บ้านซึ่งมีการกั้นน้ำจากแม่น้ำรวมไว้ในบ่อเล็กๆ ใช้ร่วมกันทั้งล้างผัก ซักผ้า รวมถึงเลี้ยงสัตว์เลี้ยงอย่างวัว ม้า หมู และแกะ
เนื่องจากเป็นน้ำไหลจึงไม่สกปรก แต่ครอบครัวที่อยู่ไม่ไกลจากบ่อน้ำในหมู่บ้านก็มักไม่นิยมใช้น้ำจากบ่อเล็กเพื่อดื่ม
หลิวจี้มักถูกคนในหมู่บ้านกีดกัน หลังจากแยกออกจากเรือนเก่าของตระกูลหลิว เขาก็สร้างบ้านบนเนินเตี้ยๆ ทางทิศเหนือของหมู่บ้านซึ่งอยู่ต้นน้ำ ทำให้ไปตักน้ำจากแม่น้ำสะดวกกว่า
แต่ต้าหลางพานางมาที่บ่อน้ำในหมู่บ้าน นางเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกไม่ค่อยเข้าใจเรื่องในหมู่บ้านนักจึงคิดว่าควรตามเขาไปก่อน