ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 50 โจรม้าโจมตี
“ท่านแม่ คนในเมืองก็แปะสิ่งนี้ตอนปีใหม่หรือ” ซื่อเหนียงถามด้วยความสงสัย
วันนี้เด็กๆ ทุกคนสวมเสื้อผ้าใหม่สีแดงสด ดูรื่นเริงเต็มไปด้วยความสุข
ซื่อเหนียงเองก็สวมชุดแดงทั้งร่าง แก้มกลมอวบของนางที่มีเนื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตัดกับสีแดงแล้วดูเหมือนแอปเปิ้ลสองลูกที่ชวนให้กัดสักคำ
ฉินเหยาอธิบายว่า “นี่คือตัวอักษรฝู (ความสุข) ต้องแปะกลับหัว หมายถึงความสุขมาถึงแล้ว”
“ในเมืองจะมีปีใหม่เช่นนี้หรือไม่ข้าเองก็ไม่รู้ แต่จากนี้ไป บ้านเราจะมีปีใหม่เช่นนี้แหละ”
บุตรชายของหัวหน้าหมู่บ้านที่เคยเรียนหนังสือที่สำนักศึกษาประจำอำเภอมาสามปี ตอนเช้าวันนี้เขาตั้งโต๊ะยาวในลานบ้านของตัวเองเพื่อเขียนคำอวยพรปีใหม่ให้ชาวบ้าน
ชาวบ้านจะนำไข่สองฟองหรือข้าวหนึ่งชาม พร้อมกระดาษสีแดงที่เตรียมมาจากบ้านไปให้บุตรชายหัวหน้าหมู่บ้านช่วยเขียนคำอวยพรเพื่อเอาเคล็ด
เช้าตรู่ฉินเหยาให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลางนำข้าวสารครึ่งชามไปแลกคำอวยพรปีใหม่หนึ่งชุดกลับมา ตอนนี้นางแปะคู่กับตัวฝูและแขวนโคมแดงหนึ่งคู่ที่ซื้อมาไว้ใต้ชายคาห้องโถง บรรยากาศจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของปีใหม่
หลิวจี้ยืนอยู่ที่หน้าประตู มองดูคำอวยพรที่แปะอยู่สองข้างประตูแล้วแค่นเสียงเอ่ยว่า “ตัวอักษรนี่ก็ไม่ได้ดีกว่าที่ข้าเขียนสักเท่าไหร่”
นางเหอทำเต้าหู้มาจริงๆ ตอนเช้าฉินเหยาให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลางไปรับคำอวยพรปีใหม่และถือแป้งขาวสองจินไปฝากเรือนเก่าของครอบครัวถือเป็นการอวยพรปีใหม่แก่ผู้เฒ่าทั้งสอง
ตอนเที่ยง จินเป่าและจินฮวาก็นำเต้าหู้สดใหม่หนึ่งชามมาส่งให้ถึงบ้าน
ฉินเหยาพยายามจะให้ถั่วเหลืองตอบแทน แต่พวกเขาไม่ยอมรับ นางจึงให้เหรียญทองแดงสองเหรียญเป็นเงินอั่งเป่าพร้อมมองดูสองพี่น้องวิ่งกลับบ้านไปอย่างมีความสุข
บนถนนยังมีหิมะปกคลุม ทั้งสองลื่นล้มกลางทางอยู่หลายครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เจ็บอะไร เสียงหัวเราะร่าเริงของพวกเขาดังไปไกล
“กินข้าวได้แล้ว!” หลิวจี้ตะโกนเรียกจากห้องโถง
ฉินเหยาปิดประตูลาน ผลักประตูห้องโถงที่ปิดสนิทแล้วเดินเข้าไป ภายในห้องมีเตาถ่านลุกโชนให้ความอบอุ่น ด้านบนวางหม้อเหล็กที่กำลังตุ๋นเนื้อ ใส่เต้าหู้ และถั่วงอกที่ฉินเหยาเพาะเองทั้งยังมีกะหล่ำปลีหัวสุดท้ายของบ้าน
หม้อที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบต่างๆ ถูกตุ๋นจนเดือดพล่าน เพียงมองก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งบ้าน
เด็กทั้งสี่คนอดใจรอไม่ไหว เมื่อเห็นฉินเหยานั่งลง หลิวจี้ก็ถามอย่างเฝ้ารอว่า “กินได้หรือยัง”
ฉินเหยาพยักหน้า “กินได้แล้ว”
เด็กๆ ดีใจจนรีบหยิบตะเกียบและถ้วยขึ้นมา คีบเองในส่วนที่ถึง ส่วนที่คีบไม่ถึง ซานหลางกับซื่อเหนียงก็ผลัดกันขอให้พ่อหรือแม่ช่วยคีบให้
มีคำกล่าวว่า ‘ใจร้อนกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้’ ต้าหลางและเอ้อร์หลางกินเต้าหู้เข้าไปก็ร้อนเสียจนเป่าลมออกจากปากไม่หยุด
ฉินเหยาสั่งให้ทั้งสองคายออกมา แต่ต้าหลางและเอ้อร์หลางกลับส่ายหน้าน้ำตาคลอ ไม่อยากสิ้นเปลืองอาหาร
อีกทั้งเต้าหู้เหล่านี้ถูกตุ๋นเอาไว้นานจนน้ำแกงซึมเข้าเนื้อ รสชาติจึงอร่อยมาก
ฉินเหยาได้แต่ลุกไปยกกาน้ำต้มสุกเย็นจากครัวเข้ามา หากร้อนลวกปากจะได้ดื่มบรรเทาความร้อน
นางกำลังพูดถึงเด็กๆ อยู่แท้ๆ แต่พอถึงตาตนเองก็ดันโดนลวกจนต้องเป่าปากเช่นกัน เสียงหัวเราะคิกคักดังไปทั่วห้อง
ขณะที่บรรยากาศกำลังดีนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงตกใจดังขึ้นว่า “มีโจร!”
แววตาของฉินเหยาพลันมืดครึ้ม นางวางตะเกียบในมือลงทันที
นางรู้ทันทีว่า มื้อนี้คงไม่ได้กินกันอย่างสงบสุขแล้ว!
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลิวจี้ยังไม่ทันวางถ้วยชามในมือลงก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนกทันที “เหตุใดถึงมีเสียงกีบเท้าม้า?”
เขารีบวิ่งพุ่งออกไปดู ไม่ถึงครึ่งนาทีก็วิ่งกลับมาด้วยความตื่นตระหนก วางชามและตะเกียบลงแล้วเดินไปหยิบเก้าอี้ปีนขึ้นไปถอดโคมแดงที่แขวนเอาไว้ลงมา
ขณะถอดโคมก็พยายามควบคุมน้ำเสียงเอ่ยว่า “โจรม้าบุกเข้าหมู่บ้านมาปล้นสิ่งของ! รีบซ่อนตัวเร็ว!”
เด็กทั้งสี่คนได้ยินก็กลัวจนตัวแข็ง
หลิวจี้โยนโคมลงบนโต๊ะในห้องโถงแล้วรีบหาที่ซ่อนตัว แต่เพิ่งสังเกตเห็นว่าฉินเหยาไม่ได้อยู่ในห้องโถงด้วย เขาจึงรีบวิ่งไปที่ห้องนอนพบว่านางอยู่ในนั้นจริงๆ
“โจรม้ามาแล้ว!” เขาตะโกนเสียงดังกลัวนางไม่รู้
ฉินเหยายัดถุงเงินไว้ในอก รีบเปลี่ยนเป็นรองเท้าหนังที่คล่องตัว ยัดกริชและหนังสติ๊กไว้ที่เอว สะพายกระบอกลูกธนูขึ้นไหล่ มือหนึ่งหยิบดาบยาวออกมาจากโต๊ะ อีกมือหยิบคันธนูที่แขวนอยู่บนผนังแล้วก้าวยาวๆ ออกมา
พอเจอหลิวจี้ นางก็ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง จะร้องเสียงดังทำไม นางได้ยินนานแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะโมโห นางกำชับอย่างเยือกเย็นว่า “บ้านเราไม่มีหลุมหลบภัย ต้องอาศัยกำแพงใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาเป็นปราการป้องกัน ไม่ให้พวกมันเข้ามาได้”
“เจ้าพาเด็กๆ กลับเข้าไปในบ้านก่อน ข้าจะไปหาอะไรมายันประตูไว้ บ้านเราอยู่ห่างไกล พวกมันอาจจะยังไม่มาทางนี้”
พูดจบ นางก็สะพายคันธนูขึ้นไหล่ วางดาบยาวไว้ที่ขอบอ่างน้ำแล้วเดินไปที่กองฟืนเพื่อหาท่อนไม้ใหญ่ๆ มาปิดตายประตูด้านหน้าและหลังบ้าน
หลิวจี้อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้ พอเห็นความนิ่งสงบของนาง ใจเขาก็พลอยมั่นคงขึ้นไม่น้อย เขารีบพาเด็กทั้งสี่ที่กำลังตกใจกลับเข้าไปในบ้าน กำชับให้พวกเขาปิดประตูหน้าต่างให้แน่นหนาและหลบอยู่ในนั้น อย่าออกมา
ไม่มีใครคาดคิดว่าโจรจะเลือกบุกมาในเวลานี้ ทุกคนต่างคิดว่าหิมะตกหนักจะขัดขวางพวกมันเอาไว้ได้
แต่เมื่อนึกถึงศพแข็งตายที่ผู้ใหญ่บ้านกับพวกนำไปฝังตอนเช้าก็เดาได้ไม่ยากว่าสถานการณ์ของพวกโจรตอนนี้ก็คงถึงจุดสิ้นหวังแล้วเช่นกัน
พวกมันรอจนถึงหิมะละลายไม่ไหว พอท้องฟ้าแจ่มใสก็รีบร้อนลงจากเขามาปล้นทันที
เจอสภาพการณ์เลวร้ายเช่นนี้เข้าไป ไม่มีทางรับประกันได้ว่าพวกมันจะไม่ฆ่าคน
“เหอะ” ฉินเหยาหัวเราะเยาะตนเองเบาๆ อะไรคือคงไม่ฆ่าคนกัน พวกมันจะต้องฆ่าอย่างแน่นอน!
ในวันสิ้นโลก ผู้คนที่หิวโซเหล่านั้น ทุกสิ่งที่มองเห็นล้วนเป็นอาหาร
ฉินเหยาเห็นหลิวจี้ลงกลอนประตูบ้านและพาเด็กๆ เข้าบ้านเรียบร้อยแล้วเดินมาทางนาง นางจึงสั่งให้เขานำบันไดมาตั้งเพื่อตรวจดูสถานการณ์ที่เชิงเขา
บริเวณที่นางอยู่นั้นมีพื้นที่สูง ไม่มีสิ่งกีดขวางหน้าประตูทำให้มองเห็นกลุ่มโจรขี่ม้าจำนวนมากส่งเสียงร้องโหวกเหวกขณะบุกเข้าหมู่บ้านมายังบริเวณบ่อน้ำ ก่อนจะแยกออกเป็นสี่กลุ่มกระจายไปในทิศทางต่างๆ
เสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกของชาวบ้านดังไปทั่วหมู่บ้าน บ้านที่มีกำแพงเตี้ยหน่อย โจรก็พากันกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปค้นหาทรัพย์สินมีค่าในลานบ้าน
หากหาไม่เจอ พวกโจรสองสามคนก็พากันพังประตูเข้าไปในบ้าน หยิบอาหารมื้อปีใหม่ของชาวบ้านยัดเข้าปากด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือถือดาบข่มขู่ให้เจ้าของบ้านให้นำของมีค่ามาให้
มีบางคนที่พยายามขัดขืน สุดท้ายก็จบลงด้วยการถูกโจรแทงด้วยดาบ
เสียงกรีดร้องของสตรีดังขึ้น เด็กๆ ที่ขวัญเสียร้องไห้โฮด้วยความสิ้นหวัง
ฉินเหยาขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นโจรสองคนขี่ม้ามาทางบ้านของนางด้วยความตื่นเต้น นางจึงหยิบลูกธนูลงมาจากกระบอกธนูบนหลังแล้วขึ้นสาย
“พวกมันมาทางเราหรือ” หลิวจี้ยืนอยู่ด้านล่างบันได ถามด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
ประตูถูกฉินเหยาปิดตาย ไม่มีช่องว่างใดๆ ทั้งสิ้น หลิวจี้มองไม่เห็นทำได้เพียงฟังเสียงวุ่นวายที่ดังมาจากในหมู่บ้านแล้วจินตนาการถึงภาพน่ากลัวต่างๆ จนตัวเองหวาดกลัวถึงขีดสุด
ฉินเหยาตอบรับ “มีสองคนขี่ม้ามาทางบ้านเรา ในมือพวกมันมีทั้งธนูและดาบ” ฉินเหยากล่าว
หลิวจี้ขนลุกไปทั้งตัว รีบถามอย่างร้อนรน “เจ้า…เจ้าไหวหรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้า
ในขณะนั้น หลิวจี้พลันรู้สึกว่าท่าทางสงบนิ่งของฉินเหยาขณะยืนบนกำแพงและน้าวธนูนั้นช่างงดงามเหลือเกิน
“อย่างนั้น…ข้าควรทำอะไร” เขาถามพร้อมกับกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า
หนีหรือ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย!
ในบ้านยังมีฉินเหยาสตรีน่าหวาดผวาผู้นี้ ไม่มีที่ใดในหมู่บ้านที่ปลอดภัยเท่าการอยู่กับนางแล้ว
ฉินเหยาเอ่ยเสียงเบาว่า “หากต้องการข้าจะเรียกเจ้าเอง หากเจ้ากลัวก็หยิบดาบที่วางบนอ่างน้ำขึ้นมาถือไว้”
หลิวจี้รับคำ รีบไปหาดาบของฉินเหยา พอหาเจอก็คว้ามันขึ้นมาทันที
กลางฝ่ามือหนักอึ้ง ดาบหนักที่สั่งทำพิเศษสำหรับฉินเหยาเขาต้องใช้ถึงสองมือจึงจะสามารถเหวี่ยงดาบได้
แต่ความหนักนั้นกลับทำให้เขารู้สึกมั่นคงและปลอดภัย
หลิวจี้สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วไปยืนประจำที่ข้างประตู
เสียงกีบเท้าม้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา เสียงกุบกับดังชัดขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดพวกมันก็หยุดลงเพราะความลื่นของพื้นหิมะ
หลิวจี้ตื่นกลัวเสียจนลืมหายใจ ใบหน้าเขาแดงก่ำ เมื่อได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ของฉินเหยาที่กล่าวว่า “เข้ามาในระยะยิงแล้ว” หัวใจของเขาก็เต้นรัวจนราวกับจะหลุดออกมาจากอก