ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 55 นั่งมองเมฆพลิ้วไหว
หิมะละลายหมดแล้ว อากาศอบอุ่นขึ้นทุกวัน ระดับน้ำในแม่น้ำก็สูงขึ้น ฉินเหยาจึงไม่อนุญาตให้เด็กๆ ในบ้านไปเล่นที่ริมแม่น้ำ
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางกลับมาวิ่งตอนเช้าอีกครั้งหลังจากหยุดไปเพราะหิมะ
สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนการไถพรวนฤดูใบไม้ผลิคือเก็บเกี่ยวข้าวสาลีที่ปลูกไว้ปลายฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับปลูกข้าว
ในเรื่องนี้ ฉินเหยาและหลิวจี้กลับรู้ใจกันและกันอย่างแปลกประหลาด
เดือนสองผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว ในไร่นามีแต่ชาวนาที่กำลังยุ่งง่วน เรือนเก่าตระกูลหลิวเองก็เช่นกัน ทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะชายหญิงหรือเด็กผู้ใหญ่ล้วนออกมาช่วยงาน
แม้แต่จินฮวาที่เพิ่งอายุหกขวบก็ต้องออกไปพร้อมกันด้วย นางสะพายตะกร้าใบเล็กบนหลัง ในขณะที่ผู้ใหญ่ยุ่งอยู่ในไร่นา นางและจินเป่าก็จะช่วยกันเก็บผักป่าบนคันนาเพื่อนำกลับบ้านไปเลี้ยงไก่
ในบรรยากาศวุ่นวายของหมู่บ้านตระกูลหลิว ครอบครัวฉินเหยาที่อยู่ลำพังบนเนินเขาทางเหนือกลับดูแปลกแยก
เช้าตรู่ ขณะที่คนอื่นแบกจอบและไม้หาบลงไปเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ครอบครัวของนางกลับปรากฏภาพแม่เลี้ยงพาลูกเลี้ยงทั้งสี่วิ่งไปทั่วหมู่บ้าน
หลังวิ่งเสร็จ บางครั้งก็จะเห็นฉินเหยาหิ้วถังน้ำขนาดใหญ่ที่สั่งทำจากช่างไม้หลิวไปตักน้ำที่บ่อน้ำในหมู่บ้าน
คนอื่นต้องวิ่งสองรอบกว่าจะเติมน้ำในโอ่งหนึ่งใบจนเต็ม แต่นางวิ่งแค่รอบเดียวก็เติมน้ำในโอ่งสองใบที่บ้านจนเต็มแล้ว
จากนั้นควันไฟก็ลอยขึ้น บนเนินเขาที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่ามีกลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้ง
ในขณะที่ชาวบ้านกลับไปกินข้าวเช้า ที่บ้านของนางจะมีเสียงเด็กๆ อ่านหนังสือดังแว่วออกมา
ตอนเที่ยง ชาวนากลับไปทำงานในไร่ ส่วนบ้านของนางกลับเงียบสนิทจนผิดสังเกต หากมีใครผ่านไปแถวแม่น้ำและลองแอบฟังดูก็จะได้ยินเสียงกรนเบาๆ
พอตกบ่าย ในลานบ้านก็มีเสียงฝึกยุทธ์ดังขึ้น
ควันไฟจากเนินเขาลูกนั้นลอยขึ้นมาเร็วที่สุด ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันตกดิน ควันบางเบาก็ลอยขึ้นจนถึงหลังคาแล้ว
ตอนที่เหล่าชาวนาแบกเครื่องมือการเกษตรกลับบ้านใต้แสงจันทร์นั้น บ้านเล็กๆ บนเนินเขากลับเงียบสงัด เพราะทั้งครอบครัวเข้านอนหมดแล้ว
นี่มันชีวิตแบบไหนกัน?
กินดื่มตามใจ นั่งมองฟ้ากว้างยามเมฆเคลื่อนคล้อยไปมา ชีวิตแบบนี้แม้แต่เทพเซียนก็ยังไม่กล้าฝันถึง!
ในที่สุด หลิวเหล่าฮั่นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในบ้านหมดแล้ว เขาจึงส่งสะใภ้รองที่เพิ่งตั้งครรภ์และอยู่ว่างๆ ไปสอบถามสถานการณ์
“เจ้าไปถามเจ้าสามซิว่ายังจะใช้ชีวิตต่อไปหรือเปล่า! ข้าวสาลีไม่เก็บ ไร่นาก็ไม่ทำ คิดจะนั่งรอจนไม่มีอะไรกินหรือไร!”
หลิวจ้งมองส่งภรรยาและบุตรสาวออกไปแล้วหันไปมองหลิวเหล่าฮั่นที่กำลังร้อนใจ และเพิ่มเชื้อไฟเข้าไปอีก
“ท่านพ่อ ท่านก็ไม่ดูเสียบ้างว่าที่สองหมู่นั้นมีหญ้าขึ้นมากกว่าข้าวสาลีหรือเปล่า ทั้งฤดูหนาวบ้านเจ้าสามไม่เคยไปดูแลเลย ข้าว่าคงเก็บข้าวได้ไม่กี่จินหรอก”
ที่นาที่แพ้วถางขึ้นมาจากที่รกร้างนั้น เดิมก็เป็นที่ดินที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว หากไม่ดูแลอย่างใส่ใจ ยิ่งไม่ต้องคาดหวังผลผลิตเลย
พอหลิวเหล่าฮั่นได้ฟังก็ลุกพรวดขึ้นทันที “ข้าจะออกไปดูสักหน่อย”
แม้เขาจะไม่ได้บอกว่าจะไปไหน ทุกคนก็รู้ว่าเขาจะไปหาเจ้าสาม
สำหรับชาวนาแล้ว ที่ดินและธัญชืชคือรากฐานของการดำรงชีพ หากไม่มีธัญพืชในมือก็ยังพอทนได้ แต่หากไม่มีที่นาแม้แต่ความหวังที่จะอยู่รอดก็ไม่มีแล้ว
นางชิวเดินพาจินฮวาเดินไปช้าๆ พอถึงริมแม่น้ำหลิวเหล่าฮั่นก็ตามมาทัน เขาบอกให้พวกนางกลับบ้านไปก่อน เขาจะไปคุยด้วยตัวเอง
นางชิวมองบ้านเล็กๆ ตรงข้ามแม่น้ำแล้วยิ้มออกมาอย่างจนใจ ก่อนจะจูงมือบุตรสาวกลับไป
ฉินเหยาคาดไว้แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วหลิวเหล่าฮั่นต้องมาหานาง
นี่อย่างไรเล่า ผู้เฒ่าเดินมาถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ฉินเหยาที่กำลังนั่งตากแดดบนเก้าอี้ไม้ไผ่ในลานบ้านรีบเตะหลิวจี้ที่กำลังพิงขอบอ่างน้ำให้ตื่นขึ้นทันที
“ท่านพ่อเจ้ามา”
“อะไรนะ?” หลิวจี้เช็ดน้ำลายที่มุมปากแล้วเงยหน้าขึ้นมองอย่างงุนงง ไหนเลยยังเหลือเค้าสง่างามอีก “ท่านพ่อเจ้าอะไร พ่ออะไรของเจ้า”
หลิวเหล่าฮั่นก้าวเข้าประตูใหญ่มาพอดี เมื่อได้ยินคำนี้เข้าและเห็นสภาพง่วงซึมเหมือนคนขี้เกียจของหลิวจี้ก็คำรามเสียงดังลั่น “พ่อเจ้ามาแล้วอย่างไรเล่า!”
คราวนี้หลิวจี้ถือว่าตื่นเต็มตาแล้ว เขามองหลิวเหล่าฮั่นที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราดอย่างตกใจ ขณะถอยหลังไปก็ถามอย่างระแวดระวังว่า
“ท่านพ่อ ท่านมีเรื่องอะไรหรือ กินอะไรมาหรือยัง เข้าไปพักในบ้านก่อนดีไหม”
“พักรึ” หลิวเหล่าฮั่นยกมือตบศีรษะหลิวจี้ไปทีหนึ่ง “ข้าวสาลีที่บ้านข้าเก็บเกี่ยวจนเสร็จแล้ว แต่เจ้ากลับยังมานอนหลับอยู่ที่นี่ ข้าวสาลีในที่นาของเจ้าจะไม่คิดจะเก็บเกี่ยวแล้วหรือ ฤดูใบไม้ผลินี้เจ้ามีแผนอะไร เจ้าคิดจะทำอย่างไร”
หลิวจี้ยกมือกุมหัว วิ่งไปหลบอยู่ข้างฉินเหยา เอ่ยด้วยใบหน้าขลาดกลัวว่า “ท่านพ่อ บ้านเรานั้นเมียจ๋าดูแลเรื่องนอกบ้าน ส่วนข้าดูแลเรื่องในบ้าน ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก ท่านจะมาตีข้าทำไม ท่านก็ไปถามนางสิ!”
ฉินเหยาลุกขึ้นอย่างอึดอัดเล็กน้อย นางกระแอมเบาๆ รู้ดีว่าเรื่องที่ต้องเผชิญหน้านี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ”
ไม่มีผู้ใดลงไม้ลงมือกับคนที่ยิ้มให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอีกฝ่ายคือสะใภ้ของตนเองด้วยแล้ว
หลิวเหล่าฮั่นสูดลมหายใจเข้าลึก ฝืนเปลี่ยนท่าทางเป็นเมตตาปรานี แต่คิ้วที่กระตุกนั้นดูอย่างไรก็เห็นว่าเขากำลังหงุดหงิดงุ่นง่านเหลือทน
“ท่านเชิญเข้าไปนั่งในบ้านก่อน” ฉินเหยาชี้ไปยังห้องโถง
พอหลิวเหล่าฮั่นเข้าบ้านไปแล้ว ฉินเหยาจึงเตะหลิวจี้ที่อยู่ข้างๆ แล้วสั่งว่า “ไป ไปเอาน้ำร้อนมาให้ท่านพ่อชามหนึ่ง ไม่รู้จักดูสถานการณ์เอาเสียเลย!”
หลิวจี้กลอกตาอย่างแรง ก่อนจะทำท่าเหวี่ยงหมัดไปทางแผ่นหลังของฉินเหยาอย่างขัดใจ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นศีรษะน้อยๆ ทั้งสี่ซ้อนกันอยู่ที่ขอบหน้าต่าง เขาก็หัวเราะแยกเขี้ยว
“มองอะไรกัน! เขียนอักษรเสร็จหรือยัง” หลิวจี้ตะโกนดุเสียงดัง
เด็กทั้งสี่รีบหดศีรษะกลับไปนั่งลงหน้าโต๊ะใหญ่เช่นเดิม ใช้กิ่งไม้แทนพู่กันขีดเขียนลงไปในกระบะที่เต็มไปด้วยทรายละเอียด
หลิวเหล่าฮั่นมองไปทางห้องของเด็กๆ อย่างแปลกใจแวบหนึ่ง “ยังฝึกเขียนอักษรกันอีกหรือ”
ฉินเหยานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “หลิวจี้เคยไปเรียนหนังสือที่อำเภอตั้งปีครึ่งนี่เจ้าคะ เรียนมาแล้วก็ไม่ควรเสียเปล่า เลยให้เขาสอนอักษรให้เด็กๆ หน่อย ตอนนี้พวกเขายังเล็ก ความจำดี ให้เรียนรู้ไว้เยอะๆ จะดีกว่า”
หลิวเหล่าฮั่นประหลาดใจกว่าเก่า “เขาเป็นอาจารย์ได้ด้วยหรือ”
หลิวจี้ถือถ้วยน้ำร้อนเข้ามา วางลงข้างมือหลิวเหล่าฮั่นแล้วยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ “ง่ายมาก แค่สอนพวกเขาอ่านเขียน ฝึกไปสักพักเดี๋ยวก็เป็นแล้ว”
พูดเหมือนง่าย แต่มีเพียงฉินเหยาที่รู้ว่าหลิวจี้ถูกเด็กทั้งสี่ทำให้โมโหจนแทบอยากผูกคอตายแล้ว
แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นครอบครัวเดียวกัน เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องพูดออกไป
เมื่อได้ยินว่าหลิวจี้ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง เพลิงโทสะของหลิวเหล่าฮั่นก็สงบลงไปไม่น้อย แต่เขายังไม่ลืมจุดประสงค์ที่มาจึงถามฉินเหยาว่ามีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับการไถพรวนในฤดูใบไม้ผลิหรือไม่
ฉินเหยามองปราดเดียวก็รู้ว่าผู้เฒ่ามีเรื่องอยากพูดจึงคล้อยตามและขอคำชี้แนะจากเขา
หลิวเหล่าฮั่นจิบน้ำร้อนไปครึ่งถ้วย ก่อนจะเหลือบมองไปยังที่นาผืนงามทางตะวันออกของหมู่บ้านที่เชื่อมต่อกันเป็นผืนเดียวแล้วเอ่ยอย่างชาญฉลาดว่า
“ข้ามองว่าการซื้อที่ดินคงเป็นไปไม่ได้ มิสู้เจ้าถือโอกาสที่มีบุญคุณต่อหลิวต้าฝู ขอเช่าที่นาดีๆ สักยี่สิบหมู่จากเขาดีกว่า”
เขาคำนวณไว้แล้ว ผลผลิตจากไร่นาดีๆ ยี่สิบหมู่ หักค่าเช่าและภาษีธัญพืชหนึ่งในสิบห้า หากปลูกปีละสองครั้ง จะเหลือธัญพืชปีละประมาณสี่พันกว่าจิน
หากคำนวณทั้งหมดเป็นเงิน จะมีรายได้ยี่สิบห้าตำลึงและเมื่อหักค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องมือการเกษตร จะเหลือออมประมาณยี่สิบตำลึง
ครอบครัวที่มีผู้ใหญ่สองคนและเด็กสี่คน แม้ไม่ถึงขั้นอยู่ดีกินดี แต่ก็พอจะดำเนินชีวิตต่อไปได้
นอกจากนี้ ที่นายี่สิบหมู่ให้คนสองคนดูแลจัดการก็ไม่ถือว่าหนักหนาเกินไป ฉินเหยายังมีพละกำลังมากอาจจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายเสียด้วยซ้ำ
ฉินเหยาฟังแผนการของหลิวเหล่าฮั่นจบก็คิดในใจว่า ท่านพ่อ การทำนากับการฟันคนนั้นมันคนละเรื่องกัน ท่านประเมินข้าสูงเกินไปแล้ว
ปีที่แล้ว นางยังปลูกข้าวสาลีบนที่ดินสองหมู่ไม่สำเร็จเลย นับประสาอะไรกับยี่สิบหมู่เล่า