ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 57 แผลงฤทธิ์และดิ้นพล่าน
พอหลิวจี้เห็นประตูบ้านตนเอง เขาก็เดินต่อไม่ไหวแม้เพียงครึ่งก้าว
มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเส้นทางบนภูเขานั้นไกลเพียงใด เขายังต้องแบกข้าวสาลีจำนวนมากเช่นนี้กลับมา ระหว่างทางแทบจะสิ้นเรี่ยวแรง
ระหว่างทางกลับ เขาสบถด่าตนเองไปแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ
“เจ้าหลิวสามเอ๋ย เจ้าหลิวสาม เหตุใดเจ้าถึงไม่ขายที่ดินสองหมู่นั่นไปเสียตั้งแต่แรก ตอนนี้เจ้าทำร้ายตัวเองแท้ๆ”
เมื่อความเหนื่อยล้าพรั่งพรูออกมา ทั้งตัวคนและคานไม้บนบ่าก็ล้มลงกับพื้น เขานอนราบอยู่บนกองฟาง หอบจนตาเหลือก ไม่รู้วันคืนอีกต่อไปแล้ว
ฉินเหยาจุปากเพราะรู้ว่าการทำงานในไร่นั้นเหนื่อยเพียงใด นางจึงเหลือบมองหลิวจี้ด้วยความสงสารอย่างหากได้ยาก
เด็กทั้งสี่คนรีบล้อมเข้ามาด้วยความเป็นห่วง คนหนึ่งถือถังน้ำ คนหนึ่งเช็ดเหงื่อ อีกสองคนถามไถ่อาการ
ได้รับการดูแลแบบนี้ช่างหาได้ยากนัก เจ้าคิดว่ามีบ้านไหนที่คนกลับมาจากไร่พร้อมข้าวสาลีแล้วจะได้รับการเอาใจใส่เช่นนี้อีกหรือ
ผู้อื่นเขาล้วนวางคานไม้ลงแล้วหันไปแบกมัดถัดไปต่อทันทีต่างหากเล่า
ฉินเหยาเดินเข้าไปยกร่างเขาขึ้นจากกองฟางแล้วรับคานไม้มาแทน ก่อนจะยกฟางสองมัดใหญ่เข้าไปในลานบ้าน
หลิวจี้จ้องมองนางตาค้าง เมื่อเห็นว่าฟางที่เกือบทับเขาจนตายถูกนางยกขึ้นด้วยมือข้างเดียว เขาก็อยากจะถามเหลือเกินว่าในเมื่อนางทำได้ เหตุใดต้องทรมานเขาด้วย
แต่เขาไม่กล้าถาม ได้แต่คลานเข้าไปในลานบ้านแล้วตะโกนว่า “หิว! ข้าว!”
ฉินเหยาไม่อยากทำกับข้าวและนางก็ทำไม่เป็นด้วยจึงต้มโจ๊กขาวหม้อหนึ่ง
หลิวจี้มองโจ๊กที่ไม่ชวนกิน ก่อนถามเบาๆ “เมียจ๋า ข้าใส่น้ำตาลหน่อยได้ไหม”
ฉินเหยามองฟางสองมัดในลานบ้านแล้วพยักหน้าให้
เด็กทั้งสี่รีบใส่น้ำตาลคนละครึ่งช้อนตามบิดาทันที เช่นนี้โจ๊กขาวจึงหวานและอร่อยขึ้น
ฉินเหยารู้สึกว่าเด็กสี่คนนี้ดูแลง่ายมาก ไม่เลือกกิน กินอะไรก็ได้ ไม่เคยบ่นและยังช่วยเก็บผักป่าได้อีกด้วย
นางเงยหน้ามองตะกร้าผักป่าที่แขวนอยู่บนคานห้องครัวพลางคิดว่าพรุ่งนี้จะผัดผักกินตอนเที่ยง ลองดูว่ารสชาติจะเป็นอย่างไร
เพราะกินผักน้อยไป ช่วงนี้เวลาเข้าส้วมจึงไม่ใคร่จะสบายตัวนัก
เช้านี้ซื่อเหนียงก็นั่งเบ่งอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนจะกลับมาด้วยน้ำตาคลอเบ้าแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ท้องแน่นแน่น”
ฉินเหยาใช้มือลูบท้องนางดู มั่นใจว่านี่คืออาการท้องผูก
เรื่องแบบนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ คนในหมู่บ้านส่วนมากไม่สนใจ แม้บางครั้งเด็กจะตายเพราะสาเหตุนี้ก็ตาม ด้วยความเร่งรีบจากการทำงานในไร่จึงไม่ได้ใส่ใจ
แต่ฉินเหยาไม่วางใจ นางยื่นเงินยี่สิบเหรียญทองแดงให้ต้าหลางไปเอายาระบายที่บ้านท่านหมอหลิวมา
หลังจากกินโจ๊กขาวตอนเย็นเสร็จ ฉินเหยาก็ต้มยาให้ทุกคนในบ้านกินกันคนละถ้วยเล็ก
“ช่วงนี้ดื่มโจ๊กไปก่อน จะได้ย่อยง่าย” ฉินเหยากล่าวอย่างหนักแน่น
พ่อลูกห้าคนไม่มีความเห็นอะไร ขอเพียงกินอิ่มก็พอ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นโจ๊กข้าวขาวซึ่งอร่อยกว่าข้าวหยาบเป็นร้อยเท่าด้วย
หลังจากกินยา หลิวจี้ก็เอนร่างนั่งพิงเก้าอี้อยู่ในโถงราวกับจิตใจล่องลอยออกไปไกล
ในวันปกติ เขามักพูดเจื้อยแจ้วเสียจนฉินเหยารู้สึกรำคาญ
แต่วันนี้พอเขาเงียบไป บ้านจึงดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาด
นางไปอาบน้ำร้อนในห้องอาบน้ำแล้วตักน้ำร้อนสองถังใส่ไว้ให้พวกต้าหลางกับน้องๆ ไว้ใช้เช็ดตัวและสระผม
ตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมาทุกคนกลัวจะเป็นหวัดเลยไม่มีใครอาบน้ำสระผม ยกเว้นนางที่ทนไม่ไหว สระผมไปสองครั้ง
ตอนอากาศหนาวยังพอไหว แต่ตอนนี้อุณหภูมิสูงขึ้น กลิ่นตัวเริ่มมา หากไม่รีบอาบคงจะเหม็นไปถึงไหนต่อไหน
ฉินเหยาหยิบผ้าแห้งมานั่งเช็ดผมอยู่หน้าโถง พลางถามว่า “ยังเหลือข้าวสาลีที่ยังไม่ได้เกี่ยวอีกเท่าไหร่”
หลิวจี้ได้ยินคำถามของนาง ดวงตาก็พอมีชีวิตชีวากลับมาบ้าง ก่อนตอบอย่างหมดแรงว่า
“วันนี้เกี่ยวไปแล้วหนึ่งหมู่ พรุ่งนี้จะเกี่ยวอีกหนึ่งหมู่ จากนั้นใช้เวลาอีกสองวันขนกลับมา”
เสียงของเขาค่อยๆ แผ่วลง จนกระทั่งเงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็โผล่มาอยู่ข้างหลังฉินเหยาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของนางเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างระแวดระวังว่า “เมียจ๋า เจ้าไว้ชีวิตข้าเถอะนะ หากทำงานเช่นนี้ต่อไป พรุ่งนี้ข้าคงตายอยู่ในไร่แน่ๆ!”
ฉินเหยาสะดุ้งกับคำพูดของเขา ก่อนขมวดคิ้วดึงชายเสื้อกลับแล้วตอบว่า “วันนี้ยังไม่ตาย พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่มีทางตายหรอก”
หลิวจี้เริ่มร้องไห้เสียน่าเวทนา เขาถลกแขนเสื้อและขากางเกงขึ้นพลางพูดว่า “เมียจ๋า สงสารข้าบ้างเถอะ เจ้าดูตัวข้าสิ ไม่มีเนื้อส่วนไหนดีเลย ล้วนถูกหนามข้าวสาลีตำ ไหนจะยุงและแมลงมีพิษกัดจนหัวข้าหมุนไปหมด แค่คิดว่าพรุ่งนี้ต้องไปอีก ข้ายอมให้เจ้าตีข้าจนตายเสียเลยดีกว่า”
ฉินเหยาหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ
“เจ้าตีข้าให้ตายเลยเถอะ พอตายแล้วจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก!”
จู่ๆ หลิวจี้ก็นอนลงไปบนพื้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งใดที่เรียกว่า คนไร้ยางอาย ย่อมไร้เทียมทาน
ต้าหลางและน้องทั้งสามที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำพอดีก็เห็นพ่อแท้ๆ ของพวกเขานอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นห้องโถง เขาหมุนซ้ายสามรอบ ขวาสามรอบ แสดงบทบาทคนขี้เกียจพึ่งพาไม่ได้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชวนให้ทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ฉินเหยาเองก็อึ้งไป นางนิ่งไปห้าวินาทีก่อนจะตั้งสติได้แล้วเตะเขาไปหนึ่งที ตัวหนอนบนพื้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้น
“เจ้าบ้าหรือเปล่า! แค่เกี่ยวข้าวสาลี ต้องขนาดนี้เลยหรือ” ฉินเหยาขมวดคิ้วเอ่ยเสียงดัง
หลิวจี้ถอยไปพิงกรอบประตู ก้มหน้าลง ไหล่ลู่ต่ำ ดวงตาเรียวยาวแดงก่ำ ริมฝีปากบางกัดชายเสื้อเอาไว้แล้วตอบกลับอย่างอ่อนแรง “ต้องขนาดนี้แหละ…”
ฉินเหยา “…”
นางยอมแล้วจริงๆ เมื่อเห็นต้าหลางกับน้องๆ ออกมาแล้วจึงชี้ไปทางห้องอาบน้ำพร้อมเอ่ยเร่งด้วยความรังเกียจว่า
“ไปอาบน้ำ เหม็นจะตายอยู่แล้ว!”
หลิวจี้ขยับตัวเล็กน้อยแต่ยังคงเกาะกรอบประตูไว้ด้วยสองมือ ท่าทางเหมือนกระดูกทั้งตัวแยกออกจากกันก็ไม่ปาน ดวงตาเรียวยาวของเขาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
ฉินเหยาจำต้องยอมรับเลยว่า เขาดูน่าสงสารอยู่เล็กน้อย
แต่นางยังคงตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รีบไป!”
“พรุ่งนี้เจ้ารับผิดชอบเกี่ยว ส่วนข้าจะรับผิดชอบขน พยายามเอาข้าวสาลีที่เหลือกลับมาให้หมดภายในวันเดียว” นางเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยค
ดวงตาที่หม่นหมองของหลิวจี้สว่างวาบขึ้นทันที
เขาตื่นเต้นเสียจนยื่นมือออกไปหวังจะจับมือนาง แต่ฉินเหยาเอนกายหลบอย่างว่องไว เขาจึงดึงมือกลับอย่างเก้อเขินแล้วเผยรอยยิ้มกว้างและเอ่ยด้วยความยินดีว่า “เมียจ๋า ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจิตใจดีเสียยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์เสียอีก!”
ทันใดนั้นเขาก็มีแรงขึ้นมา รีบเข้าไปในครัวเทน้ำร้อนจากหม้อลงในถังไม้แล้วหิ้วเข้าห้องอาบน้ำไปเพื่ออาบน้ำ
ฉินเหยาช่วยซานหลางกับซื่อเหนียงเช็ดผมให้แห้ง เมื่อเห็นว่าพระจันทร์ลอยเด่นขึ้นมาแล้ว นางจึงตบก้นน้อยๆ แล้วพูดว่า “กลับเรือนไปนอนได้แล้ว”
จากนั้นก็หันไปกำชับต้าหลางว่า “พรุ่งนี้เช้าข้าจะต้มโจ๊กหม้อใหญ่ไว้ให้ ข้าวเช้ากับเที่ยงพวกเจ้าก็จัดการกันเองนะ อยู่บ้านก็ฝึกเขียนอักษรให้ดี”
ต้าหลางรู้ว่าพรุ่งนี้พวกผู้ใหญ่จะลงไปไร่จึงตอบอย่างรู้ประสาว่า “ท่านน้า วางใจเถอะ ข้าจะดูแลเอ้อร์หลางกับพวกน้องๆ ให้ดี ไม่ปล่อยให้พวกเขาวิ่งเล่นไปทั่วแน่นอน”
ฉินเหยาตบบ่าเด็กหนุ่มด้วยความพึงพอใจ ต้าหลางมองนางอย่างเขินอาย ก่อนจะพาน้องชายและน้องสาวกลับเรือนนอนไป
เมื่อเห็นไฟในห้องเด็กๆ ดับลง ฉินเหยาก็หันกายกลับ แล้วทันใดนั้นก็เห็นหลิวจี้ในชุดตัวในสีขาวบางเบา ผมดำเงางามยาวสยายราวกับน้ำตก ก้าวยาวๆ ออกมาจากห้องอาบน้ำ
เขาเทน้ำสกปรกที่เหลือลงในร่องน้ำ วางถังไว้หน้าประตูห้องอาบน้ำ ขณะที่เงยหน้าขึ้น แสงจันทร์ก็ตกกระทบลงบนใบหน้าหล่อเหลาสง่างามของเขาพอดี
ฉินเหยาเบิกตากว้าง ความขุ่นเคืองพุ่งขึ้นในใจ
เหตุใดสวรรค์ถึงได้มอบใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติให้คนไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนี้นะ
“หลิวจี้ ชาติก่อนเจ้าช่วยชีวิตเทพเซียนองค์ไหนไว้กันแน่นะ” ฉินเหยากัดฟันถามด้วยความสงสัย
หลิวจี้รู้สึกว่าคำถามนี้ฟังแล้วคุ้นหูอยู่บ้าง เหมือนมีคนเคยถามเขาแบบนี้มาก่อน
แต่เป็นใครนั้น เขาจำไม่ได้แล้ว
เขาหันกลับมาด้วยความงุนงง ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นของเขาแม้มองสุนัขยังสามารถมองอย่างเปี่ยมไปด้วยความรักได้ หากฉินเหยาไม่ได้เห็นเขากลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นมาก่อนหน้านี้ บางทีนางอาจจะเผลอหวั่นไหวไปแล้ว
นางเอ่ยเพียง “พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อย” จากนั้นก็หันหลังกลับเรือนเพื่อเข้านอน
หลิวจี้คิดว่าพรุ่งนี้ในที่สุดเขาจะไม่ต้องทนทุกข์เพียงลำพังแล้ว นั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจมากขึ้น ขณะหลับมุมปากของเขาก็ยังยกยิ้ม