ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 58 ลงสนามกันทั้งบ้าน
ราวๆ ตีสี่ครึ่ง ฉินเหยาและหลิวจี้ก็ตื่นแล้ว
หลังจากนอนหลับไปหนึ่งคืน แขนของหลิวจี้ที่เมื่อวานยังไม่มีอาการใดๆ บัดนี้ปวดเมื่อยเสียจนแทบทนไม่ไหว ขาเองก็หนักอึ้ง ขณะที่ก้าวลงบันได ความเมื่อยล้าก็ทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก
สำหรับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายมานาน การทำงานหนักในทันทีเป็นเรื่องปกติที่ร่างกายจะรับมือไม่ไหว ฉินเหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นก็ส่งเคียวให้เขา “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนกินอะไรง่ายๆ รองท้อง จากนั้นก็เตรียมอาหารกลางวันและน้ำแล้วออกเดินทาง
ฉินเหยาหิ้วคานไม้และเชือก ศีรษะสวมหมวกคลุมหน้าที่ขอยืมมาจากนางเหอซึ่งใช้กันแดดได้ดี อีกทั้งผืนผ้าที่เชื่อมลงมาจากปีกหมวกถึงช่วงอกยังช่วยกันยุงได้ โผล่ออกมาแค่ดวงตาเท่านั้น
นอกจากนี้ยังสวมรองเท้าและถุงเท้าที่คล่องตัว กางเกงถูกมัดปลายเก็บเข้าในถุงเท้าแล้วผูกแน่นด้วยสายรัด ครั้งนี้นางเตรียมตัวมาดีมาก
พวกเขาออกจากหมู่บ้าน เดินทางเกือบหนึ่งชั่วยามถึงจะมาถึงจุดหมาย
พื้นที่นี้เชื่อมต่อกับป่าของหมู่บ้านข้างเคียง ข้างๆ ยังมีที่ดินที่ถูกถางไว้ซึ่งเป็นของชาวบ้านในหมู่บ้านนั้น
เมื่อทั้งสองมาถึง คนจากหมู่บ้านอื่นก็เริ่มทำงานในไร่กันมาสักพักแล้ว
พวกเขาไม่คุ้นเคยกันจึงไม่จำเป็นต้องทักทาย เพียงแค่ลงไร่แล้วทำงานของใครของมัน
เมื่อเห็นสภาพในไร่ ฉินเหยาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดข้าวสาลีที่หลิวจี้แบกกลับไปเมื่อวานถึงมีหญ้าปนอยู่พอๆ กันเช่นนั้น
เพราะในไร่นี้ มองไปทางไหนก็มีแต่หญ้า!
ที่ดินที่ไม่มีคนดูแล แต่ข้าวสาลียังสามารถออกรวงได้ก็ถือว่าน่าประหลาดใจมากแล้ว
แม้จะน้อยนิดเพียงใดแต่ก็ยังเป็นข้าว ที่ดินสองหมู่นี้หากสีข้าวสาลีออกมาได้ก็น่าจะได้ประมาณหนึ่งร้อยจิน
หลิวจี้เกี่ยวไปแล้วหนึ่งหมู่เมื่อวาน วันนี้ฉินเหยารับผิดชอบมัดและขนย้าย เขาจึงลงไปเกี่ยวข้าวสาลีอีกหนึ่งหมู่ที่เหลือทันที
ทุกครั้งที่ฉินเหยามัดฟางได้เต็มคาน นางก็จะใช้คานไม้หาบกลับไปก่อน
นางเดินคนเดียวกลับเดินได้เร็วกว่ามาก ใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่งต่อหนึ่งรอบ เมื่อหาบไปกลับได้สองรอบ ข้าวสาลีฝั่งหลิวจี้ก็เกี่ยวเสร็จพอดี ขณะนั้นเขานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ กินอาหารที่เตรียมมาเมื่อตอนเช้า
ฉินเหยาวางไม้คานลงเช่นกันแล้วนั่งลงกินอาหารพร้อมพักเหนื่อยสักครู่
หลังจากกินเสร็จ หลิวจี้ที่ตั้งใจจะนอนก็ถูกฉินเหยาบังคับให้ลุกขึ้นมาช่วยมัดฟางข้าว
ฉินเหยาพูดว่า “รีบหน่อย ยิ่งเสร็จเร็วเท่าไหร่ก็กลับไปพักได้เร็วเท่านั้น ดีสำหรับทุกคน ไม่อย่างนั้นอย่าโทษที่ข้าตบเจ้านะ!”
หลิวจี้เหนื่อยจนไม่อยากพูดอะไรอีก ได้แต่พยักหน้า มือที่เคยขยับอย่างช้าๆ เริ่มเร่งความเร็วขึ้นทันที
ช่วงพลบค่ำ ฟางสองมัดสุดท้ายก็ถูกมัดจนเสร็จ ทั้งคู่หาบคนละมัดกลับบ้าน สุดท้ายก็จัดการข้าวสาลีสองหมู่ได้สำเร็จ
ตลอดทั้งวัน ต้าหลางและน้องๆ อยู่บ้านฝึกเขียนอักษรจนเสร็จ ไม่ได้ออกไปเล่นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ พวกเขาก็เก็บข้าวสาลีที่พ่อแม่หาบกลับมา เก็บเอาหญ้าออก ใช้ค้อนไม้ทุบเมล็ดข้าวแล้วนำไปตากในลานบ้าน
งานพวกนี้ เด็กทั้งสี่ทำได้คล่องแคล่วกว่าฉินเหยาและหลิวจี้เสียอีก
ใบหน้าเนียนใสที่ซานหลางและซื่อเหนียงฟูมฟักมาตลอดฤดูหนาว ถูกหนามข้าวสาลีและหญ้าข่วนจนแดงก่ำ
แต่ทั้งสองไม่ปริปากบ่นเลยสักนิด พวกเขาตามหลังพี่ใหญ่กับพี่รองช่วยกันค่อยๆ คัดแยกหญ้าออก เมื่อคัดหญ้าเสร็จก็หอบออกไปทิ้งไว้ข้างห้องเก็บฟืน เพราะหญ้าพวกนี้ยังสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้
ยามโพล้เพล้ ยามดวงอาทิตย์ครึ่งดวงลอยอยู่บนยอดเขา ฉินเหยากับหลิวจี้ก็หาบข้าวสาลีที่เหลือกลับมาถึงบ้าน
พอวางคานไม้ลง พวกเขาก็เห็นซานหลางกับซื่อเหนียงกำลังช่วยพี่ๆ ถือกระบุงเก็บข้าวสาลีที่ตากไว้ เพื่อป้องกันน้ำค้างในตอนเช้าทำให้ข้าวเปียก งานตากข้าวของวันนั้นจะได้ไม่สูญเปล่า
รวงข้าวที่คัดหญ้าออกแล้วมีเหลือไม่มาก กระบุงสองใบยังใส่ได้ไม่เต็มเลย
ฉินเหยาตักน้ำเย็นมาหนึ่งกะละมังเพื่อล้างหน้าและล้างมือ เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของเด็กทั้งสี่ก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้
“มานี่ มาเช็ดหน้ากัน” ฉินเหยาเรียกพวกเขาให้วางกระบุงลงแล้วบอกว่าจะยกเข้าไปในเรือนเอง
เด็กทั้งสี่ยิ้มพลางวิ่งเข้ามา ฉินเหยาตักน้ำล้างมือให้พวกเขาก่อนแล้วตักน้ำสะอาดอีกกะละมังมาเพื่อเช็ดหน้าให้
ซานหลางกับซื่อเหนียงหัวเราะคิกคัก มองฉินเหยาด้วยดวงตากลมโต ก่อนเรียกนางเสียงเบาว่า “ท่านแม่~”
ฉินเหยามองซานหลางด้วยความประหลาดใจ เด็กคนนี้ถึงกับเรียกนางตามน้องสาวว่าท่านแม่แล้ว
หัวใจของนางอ่อนยวบลงทันที ก่อนจะก้มลงหอมแก้มเด็กน้อยทั้งสองคนละที
ใบหน้าน้อยๆ ของซานหลางแดงขึ้น รีบหลบไปอยู่ด้านหลังน้องสาว เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่เป็นประกายวิบวับคู่นั้น
ซื่อเหนียงยกมือขึ้นแตะแก้มที่เพิ่งถูกหอม ก่อนอ้าปากหัวเราะออกมาอย่างซื่อๆ
เดิมทีนางก็ติดคนอยู่แล้ว ครั้งนี้ถึงขั้นดึงชายเสื้อฉินเหยาแล้วตามไปทุกที่ที่นางเดินไปราวกับลูกตุ้มอันเล็กที่ขาของฉินเหยา
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางสบตากันก่อนแอบหัวเราะเบาๆ
ส่วนหลิวจี้ พอเข้ามาในเรือนก็ตรงไปที่ครัว หยิบเอาน้ำตาลขาวออกมาผสมเป็นน้ำรสเปรี้ยวหวาน ดื่มอึกเดียวไปครึ่งชาม ก่อนเรอเสียงดังแล้วเอนตัวลงนั่งแผ่หน้ากระทะ ตาปรือเหมือนจะหลับ
ฉินเหยาทนไม่ไหว ต่อยเขาไปหนึ่งหมัด!
เมื่ออยู่ใกล้ฉินเหยานานเข้า หลิวจี้จึงฝึกฝนการหลบหลีกจนเชี่ยวชาญ เมื่อรู้สึกถึงหมัดที่กำลังพุ่งเข้ามา เขาก็เบี่ยงศีรษะหลบในทันที
แต่ไหล่กลับโดนเข้าเต็มๆ หนึ่งหมัดเล่นเอาเขาหงายหลังล้มลงกับพื้น ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด
“ยังไม่ไปทำกับข้าวอีก” ฉินเหยาเอ่ยเร่งด้วยน้ำเสียงรำคาญ
บางทีการทำไร่คงจะทรมานเกินไป พอนางเห็นหลิวจี้ขี้เกียจเลยยิ่งโมโห
แต่หลิวจี้กลับนอนแผ่อยู่บนพื้น ร้องโอดโอยเสียงดังแต่ไม่ยอมลุกขึ้นมา
สุดท้ายต้าหลางกับเอ้อร์หลางที่กลัวพ่อแท้ๆ จะถูกแม่เลี้ยงตีจนตายก็ต้องเข้ามารับผิดชอบแทน
หลิวจี้พูดด้วยความซาบซึ้งใจ “ต้าหลาง เอ้อร์หลาง การมีพวกเจ้าเป็นลูก ถือเป็นโชคดีของพ่อจริงๆ!”
ฤดูหนาวครั้งนี้กินดีอยู่ดีไม่เลว ต้าหลางที่อายุเก้าขวบตัวโตขึ้นไม่น้อย ตอนนี้เขายืนหน้าเตาได้โดยไม่ต้องใช้ม้านั่งรองเท้าแล้ว
ต้าหลางให้เอ้อร์หลางช่วยก่อไฟ เด็กชายตัวน้อยทั้งสองทำกับข้าวด้วยท่าทีจริงจัง
“ท่านแม่ ท่านเหนื่อยไหม” ซื่อเหนียงถามด้วยความเป็นห่วง
ฉินเหยายิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนก่อนตอบว่าไม่เหนื่อยแล้วเดินไปยกหลิวจี้ขึ้นโยนเข้าไปในห้องโถง ไม่อยากเสียแรงไปสนใจเขาอีก
เพราะวันนี้นางก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว ไม่มีแรงพอจะมาต่อกรกับเจ้าคนขี้เกียจนี่
เมื่อมีคนทำกับข้าวให้ ฉินเหยาก็รู้สึกสบายใจที่จะนั่งพักบนเก้าอี้ โดยมีซานหลางและซื่อเหนียงนั่งอยู่ข้างๆ ทั้งซ้ายและขวา ช่วยทุบขาให้นาง
มือเล็กๆ ไม่ได้มีแรงมากนัก แต่การทุบนั้นก็ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในใจ ฉินเหยาหลับตาพลางถอนหายใจด้วยความพึงพอใจว่า
“วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ดีเหลือเกิน!”
หลิวจี้ที่นอนแผ่อยู่บนพื้นโดยไม่มีใครสนใจคิดในใจว่า คำว่าอิจฉา ข้าพูดจนเบื่อแล้ว!
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางทำโจ๊กผักป่า รสเค็มหวานกำลังดี ฉินเหยากินไปห้าชามใหญ่
พอกินอิ่ม นางก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง
นางปล่อยให้เด็กสี่คนเก็บล้างชามแล้วลากหลิวจี้ออกมาที่ลานบ้านเพื่อคัดแยกข้าวสาลีที่เหลือกับหญ้าให้เสร็จ จะได้ตากในวันพรุ่งนี้
หลิวจี้ที่เพิ่งโดนหมัดมาเมื่อครู่เรียบร้อยขึ้นมาก เขาทนเจ็บแล้วทำงานหนักร่วมกับฉินเหยา ทั้งสองจุดโคมไฟทำงานในลานบ้านจนพระจันทร์ลอยเด่นกลางฟ้าจึงเสร็จงานแยกหญ้าทั้งหมดและทุบเอาเมล็ดข้าว ก่อนกลับเข้าห้องนอน
หลังจากทำงานในไร่มาทั้งวัน พอหัวถึงหมอนก็หลับไปในทันที แถมคุณภาพการนอนยังดีขึ้นอีกด้วย
สองวันถัดมาแดดดีมาก พวกเขานำข้าวสาลีทั้งหมดไปตากบนเสื่อเก่าๆ โดยฉินเหยากับหลิวจี้ผลัดกันคนละครึ่งวันช่วยพลิกข้าวเพื่อให้แห้งสม่ำเสมอ
เมื่อเทียบกับการเกี่ยวข้าวก่อนหน้านี้ งานตอนนี้ถือว่าเบามาก
เมื่อข้าวสาลีตากแห้งดีแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายคือการกะเทาะเปลือก
ข่าวดีคือ ข้าวสาลีมีไม่ถึงสองร้อยจินซึ่งพอดีกับกระบุงสองใบ
ข่าวร้ายคือ หินโม่ที่ใช้กะเทาะเปลือกนั้นต้องใช้แรงคน