ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 60 กังหันน้ำ
ฉินเหยาอยู่ที่บ้านช่างไม้หลิวจนถึงบ่ายสองถึงสามโมง ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดให้แน่ชัด พร้อมร่างแบบภาพที่ย่อขนาดตามสัดส่วนให้ใหม่อีกชุด ก่อนจะกลับบ้านด้วยท้องที่ร้องโครกคราก
ยามเที่ยงแดดกำลังดี ทุ่งข้าวสาลีของหลิวต้าฝูเกี่ยวเสร็จแล้วและเริ่มเผาตอซังข้าว ในหมู่บ้านทั่วทั้งทุ่งเต็มไปด้วยเกษตรกรที่กำลังยุ่งง่วนอยู่
ที่ดินอุดมสมบูรณ์ผืนใหญ่ติดแม่น้ำทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านทั้งหมดเป็นของหลิวต้าฝู ทุกปีเมื่อถึงฤดูเพาะปลูก ชาวบ้านจะนำไก่และเป็ดไปขอเช่าที่ดินจากเขาเพื่อเพาะปลูก
ฉินเหยานึกถึงคำแนะนำของหลิวเหล่าฮั่น ว่าการเช่าที่ดินของหลิวต้าฝูควรรีบทำแต่เนิ่นๆ
แต่เพียงคิดถึงความเหนื่อยล้าจากการทำงานในไร่เมื่อไม่กี่วันก่อน ร่างกายของนางก็ร้องตะโกนว่า รีบหนีไป!
ช่างมัน กว่าจะถึงฤดูเพาะปลูกยังเหลือเวลาอีกหลายวัน ให้นางลองสร้างเครื่องโม่พลังน้ำขึ้นมาก่อน หากสถานการณ์ไม่ดีค่อยไปหาหลิวต้าฝูภายหลัง
เมื่อคิดตกแล้ว ฉินเหยาก็ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับเครื่องโม่พลังน้ำของตน
นางเริ่มจากการจัดการที่ดินริมฝั่งแม่น้ำทางตอนเหนือของบ้านใกล้สะพานให้เป็นพื้นที่ราบ
จากนั้นก็ลงไปยังตอนล่างของแม่น้ำและขนหินก้อนใหญ่หนักหลายร้อยจินกลับมา
ทั้งวันของนาง เว้นการกิน ดื่มน้ำและนอนหลับ เวลาที่เหลือทั้งหมดล้วนทุ่มให้กับการใช้จอบตอกทุบก้อนหิน
หลังจากตอกทุบอยู่ห้าวันเต็ม นางก็สร้างหินโม่สองแผ่นที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางแปดสิบเซนติเมตรและหนายี่สิบเซนติเมตรได้สำเร็จ
จากนั้นจึงเจาะรูที่ศูนย์กลางของหินโม่ ติดตั้งเพลาและด้ามจับไม้ ทำให้ได้หินโม่ขนาดใหญ่หนึ่งแผ่น
ในขณะเดียวกัน ข่าวจากช่างไม้หลิวก็มาถึง บอกว่าส่วนประกอบของกังหันน้ำทำเสร็จหมดแล้วและให้คนมาบอกให้นางไปร่วมประกอบเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด
ฉินเหยากินอาหารเช้าเสร็จก็รีบไปบ้านช่างไม้หลิว ทั้งสองใช้เวลาทั้งวันในลานบ้านของเขาเพื่อประกอบกังหันน้ำที่สูงเท่าตัวคน
เพลาก็ทำเสร็จแล้ว ทั้งสองแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นผลลัพธ์ พอถึงมื้อเย็นก็กินเพียงไม่กี่คำ จากนั้นหามกังหันน้ำและเพลาไปที่ริมแม่น้ำ
ชาวบ้านในหมู่บ้านพอกินมื้อเย็นเสร็จก็มีเวลาว่าง หลายวันมานี้พวกเขาเห็นฉินเหยาเคาะโน่นขุดนี่อยู่ริมแม่น้ำจึงสงสัยว่านางกำลังทำอะไร
พอเห็นฉินเหยากับช่างไม้หลิวแบกสิ่งของพวกนี้ไปที่ริมแม่น้ำ ทุกคนก็พากันตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อฉินเหยากับช่างไม้หลิวมาถึงริมแม่น้ำ ชาวบ้านที่ว่างอยู่ก็มาอยู่ที่นั่นกันหมด
คนจากเรือนเก่าตระกูลหลิวก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ฉินเหยาไม่ต้องเอ่ยปากเรียก พี่ชายและพี่สะใภ้ของนางก็มาช่วยเอง
เพราะอยากรู้เป็นคนแรกว่าฉินเหยากำลังสร้างอะไร
ผู้ใหญ่ไล่เด็กๆ ที่มุงดูออกไปแล้วช่วยกันวางกังหันน้ำลงในร่องน้ำที่ฉินเหยาจัดเตรียมไว้ โดยมีนางคอยกำกับ ฐานของกังหันถูกถ่วงด้วยหินจนแน่นหนา จากนั้นกังหันน้ำก็หมุนในกระแสน้ำอย่างมั่นคง
นี่เป็นเพียงขั้นตอนแรก ถัดไปคือต่อหินโม่เข้ากับเพลาและส่วนประกอบอื่นๆ
ขั้นตอนนี้ไม่มีใครช่วยได้ มีเพียงฉินเหยาและช่างไม้หลิวที่จัดการด้วยตัวเอง
โชคดีที่ฉินเหยามีแรงมาก ไม่เช่นนั้นคงยกเสาไม้หนักๆ เหล่านี้ขึ้นไม่ได้
หลังจากประกอบเสร็จ ฉินเหยาก็ลองเขย่าเพื่อตรวจสอบความมั่นคง จากนั้นยกก้อนหินใหญ่ที่เตรียมไว้มาปิดทางน้ำ ทำให้กังหันน้ำหยุดหมุน ก่อนจะต่อปลายอีกด้านของเสาไม้กับกังหันน้ำแล้วใช้ไม้รองช่องว่างและตอกให้แน่น
เมื่อประกอบเสร็จ ฟ้าก็มืดลง เหลือเพียงแสงอาทิตย์ยามเย็นสีส้มที่ปลายขอบฟ้า
แต่ชาวบ้านบนสะพานกลับไม่ได้ลดลง ตรงกันข้ามยังมากกว่าตอนแรกเสียอีก
ผู้ใหญ่บ้านและหลิวต้าฝูก็ถูกความครึกครื้นนี้ดึงดูดให้มาดูด้วย หลิวจี้จุดคบเพลิงและนำมาจากบ้าน ทำให้ลานโล่งมีแสงสว่างขึ้น
ฉินเหยาลงไปในแม่น้ำแล้วดึงก้อนหินใหญ่ที่ปิดทางน้ำออก ก่อนวิ่งขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว
ซ่า! กระแสน้ำไหลบ่าเข้าสู่ร่องน้ำแคบๆ ก่อให้เกิดแรงกระแทกอย่างรุนแรง กังหันน้ำเริ่มหมุนด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งพลังงานไปยังเพลาที่เชื่อมกับด้ามจับด้านบนของหินโม่ ทำให้หินโม่เริ่มหมุนช้าๆ
“หมุนแล้ว หมุนแล้ว! มันหมุนจริงๆ!” ช่างไม้หลิวร้องด้วยความตื่นเต้น
ฉินเหยารีบวิ่งไปดูหินโม่ เห็นว่าความเร็วของการหมุนค่อนข้างเร็ว อาจเป็นเพราะกระแสน้ำในเวลานี้แรงมาก
“มันหมุนเองได้จริงหรือ” ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาด้วยความสงสัย ชาวบ้านพากันหลีกทางให้เขา
ฉินเหยาพยักหน้าแล้วยิ้ม ก่อนสั่งให้หลิวจี้ไปเอาข้าวสาลีที่ร่อนเสร็จแล้วมาจากบ้าน
หลิวจี้ตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร รีบวิ่งกลับบ้านไปหยิบข้าวสาลี
เขาเห็นกับตาว่าฉินเหยาทำอะไรบางอย่างอยู่ริมแม่น้ำมาตลอดห้าหกวัน และวันนี้กลับสร้างกังหันน้ำขนาดใหญ่ที่ทำให้หินโม่หมุนได้เอง มันช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ คุ้มค่าให้โม้ไปได้อีกครึ่งปี
“มาแล้ว มาแล้ว ข้าวมาแล้ว!”
หลิวจี้วิ่งลงมาพร้อมถังสองใบ ใบหนึ่งว่างเปล่า อีกใบเต็มไปด้วยข้าวสาลี
เขายังรู้ดีว่าต้องนำถังเปล่ามาไว้รองด้วย
ฉินเหยารับข้าวสาลีมา หยิบขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วใส่ลงไปในรูตรงกลางของหินโม่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงบดดังเอี๊ยดๆ
ไม่นาน ข้าวสาลีที่บดแล้วก็ตกลงมา ฉินเหยาใช้มือตะล่อมให้มันไหลลงรางไม้ข้างหินโม่ จากนั้นมันก็ไหลตามความลาดชันลงถังเปล่าโดยอัตโนมัติ
ผู้ใหญ่บ้านรอฉินเหยาที่ทำอย่างเชื่องช้าไม่ไหว เขาจึงตักข้าวสาลีหนึ่งกระบวยเทลงในหินโม่ด้วยตัวเอง
ข้าวสาลีที่โม่รอบแรกไหลออกมาเสียงดังซู่ซ่า เมื่อนำไปโม่ซ้ำอีกสองรอบก็กลายเป็นแป้งเนื้อละเอียด
ค่ำคืนมาเยือน ริมแม่น้ำสว่างไสวด้วยแสงจากคบเพลิง เสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นก็ดังมาเป็นระยะ
“เครื่องโม่นี้บดได้เร็วกว่าคนอีกนะ แถมยังไม่เปลืองแรง ฉินเหนียงจื่อ เจ้าคิดสิ่งประดิษฐ์ดีๆ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
ฉินเหยาตอบว่านางเห็นมาจากในหนังสือพร้อมลองหยั่งเชิงความเต็มใจของทุกคนที่จะจ่ายค่าบริการใช้เครื่องโม่พลังน้ำของนาง
พ่อค้าหาบเร่หลิวกระโดดออกมาจากกลุ่มคนแล้วถามว่า “ฉินเหนียงจื่อ เจ้ายินดีที่จะให้ทุกคนได้ใช้เครื่องโม่พลังน้ำนี้เพื่ออำนวยความสะดวกหรือไม่”
พอถามเสร็จก็กลัวว่าฉินเหยาจะคิดว่าเขาอยากใช้เปล่าจึงรีบเสริมว่า “ข้าไม่ได้จะใช้ของเจ้าเปล่าๆ นะ บอกกฎของเจ้ามาได้เลย คิดว่าทุกคนคงยินดีอย่างแน่นอน”
หลิวจี้รีบดึงชายเสื้อฉินเหยาแล้วกระซิบว่า ของดีแบบนี้ต้องเก็บค่าบริการให้แพงหน่อย
ฉินเหยายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะกำหนดราคาค่าใช้บริการอย่างไรดี แต่เมื่อเห็นว่าหลายคนดูสนใจ นางจึงตอบเสียงดังว่า
“วันนี้ดึกแล้ว ทุกคนกลับบ้านกันไปก่อนนะ เครื่องโม่พลังน้ำของข้ายังไม่เสร็จสมบูรณ์ อีกสองสามวันข้าจะแจ้งกฎระเบียบให้ทุกคนทราบอีกที”
ชาวบ้านคิดดูแล้วก็เห็นว่าตอนนี้โรงโม่ยังดูเรียบง่ายเกินไป ไม่มีแม้แต่หลังคา หากฝนตกขึ้นมาข้าวก็จะเสียหายเอาได้
จึงกำชับฉินเหยาว่าเมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ต้องอย่าลืมติดกฎระเบียบให้ทุกคนทราบ เพราะพวกเขารอใช้เครื่องโม่นี้ของนางกันอยู่
หลิวต้าฝูเป็นคนที่อยากใช้มากที่สุด เพราะบ้านเขามีข้าวจำนวนมาก หากใช้คนคนเดียวโม่ข้าวคงจะเหนื่อยจนตายแน่จึงจ้างคนมาช่วยโม่ถึงห้าคน
หากได้ใช้เครื่องโม่พลังน้ำของฉินเหยา งานก็คงสะดวกขึ้นมาก
แค่ส่งคนมาดูแลและใส่ข้าวลงในหินโม่ คนที่เคยต้องสลับกันผลักโม่ก็สามารถไปทำงานอื่นแทนได้
บางคนคิดจะให้ช่างไม้หลิวสร้างโรงโม่แบบนี้ให้บ้านตัวเองบ้าง
แต่ช่างไม้หลิวบอกว่า “การสร้างเครื่องโม่แบบนี้ ค่าแปรรูปไม้อย่างเดียวก็อย่างน้อยสองตำลึงเงินแล้ว ยังไม่รวมถึงหินโม่สองแผ่นใหญ่ที่ฉินเหนียงจื่อต้องไปหาและขนกลับมาจากแม่น้ำด้วยตัวเองแล้วยังต้องสกัดด้วยมืออีก”
ชาวบ้านจึงล้มเลิกความคิดที่จะสร้างโรงโม่แบบนี้ไว้ที่บ้านตัวเอง
เงินสองตำลึงเอาไปทำอย่างอื่นไม่ได้หรือ ทำเครื่องโม่แบบนี้ เกรงว่าจะบ้าไปแล้วกระมัง?!!