ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 62 แม่ลูกไล่ยิงนก
เด็กๆ ต่างก็ตื่นกันแล้วในเวลานี้
หลังจากกินอาหารเช้าและพักสักครู่ ต้าหลางกับเอ้อร์หลางก็ออกไปวิ่งรอบหมู่บ้านสองรอบอย่างไม่ขาด
ส่วนซานหลางกับซื่อเหนียงเพิ่งอายุห้าขวบ ฉินเหยาไม่แนะนำให้เด็กเล็กเริ่มฝึกวิชายุทธ์ในเวลานี้ เพราะกลัวว่าจะทำลายสุขภาพ
นางจึงจัดให้ทั้งสองอ่านหนังสือในช่วงเช้า โดยเป็นบทกวีถังที่เขียนไว้บนแผ่นไม้
การอ่านซ้ำทุกวันจะช่วยเพิ่มความทรงจำและทำให้จำได้แม่นขึ้น
ต้าหลางวิ่งรอบหมู่บ้านอย่างตั้งใจ ไม่มีการอู้เลยแม้แต่น้อย
ส่วนเอ้อร์หลางไม่เหมือนกัน พอวิ่งจนเหนื่อยก็ไปนั่งเด็ดหญ้าเล่นริมทาง พร้อมกับท่องสูตรคูณที่ฉินเหยาสอน แทนที่จะฝึกวิชายุทธ์จนเหน็ดเหนื่อย เขากลับชอบการอ่านและเรียนคณิตศาสตร์มากกว่า
แต่เขาก็อยากเรียนวิชายุทธ์ของฉินเหยาและเงื่อนไขในการเรียนก็คือต้องผ่านการฝึกพื้นฐานให้ได้ นั่นทำให้เขาลำบากใจมาก
ต้าหลางนั้นมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้วิชาของแม่เลี้ยงเต็มที่ เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้ฉลาดเหมือนเอ้อร์หลางจึงตั้งใจที่จะทำให้ดีที่สุดในสิ่งเดียว
ต้าหลางรู้ว่าฉินเหยาจะไปล่าสัตว์ที่ภูเขาวันนี้ ก่อนออกไปวิ่งเขาได้ขอให้นางรอตนเอง หลังเสร็จจากการฝึกตอนเช้าเขาอยากจะขึ้นเขาไปกับนาง ดังนั้นจึงวิ่งเร็วกว่าปกติ
ต้าหลางวิ่งครบสองรอบแล้ว แต่เอ้อร์หลางยังนั่งอยู่บนคันนาพลางคิดหนักว่าจะเลิกฝึกวิชาดีหรือไม่
ต้าหลางมองน้องชายแล้วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเดินกลับบ้านไปก่อน
หลิวจี้หยิบเคียวไปหาหลิวเหล่าฮั่นและคนอื่นๆ เรียบร้อยแล้ว
ฉินเหยากำลังเตรียมอุปกรณ์ล่าสัตว์ พอเห็นต้าหลางกลับมาก็สั่งให้แฝดชายหญิงอย่าไปที่แม่น้ำกันเอง จากนั้นจึงออกไปพร้อมต้าหลาง
เพียงแค่ต้องการหาเนื้อมาเพิ่มในมื้อเย็น ฉินเหยาจึงไม่ได้ตั้งใจเข้าป่าลึกนัก แต่เลือกอยู่เพียงบริเวณรอบนอก
ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่ทุกสิ่งทุกอย่างฟื้นคืนชีพ พื้นดินปกคลุมด้วยหญ้าเขียวขจีและในป่าก็มีสัตว์เล็กๆ ออกมาหากินมากมาย
ชาวบ้านและเด็กหนุ่มในหมู่บ้านชอบมาวางกับดักง่ายๆ ในป่ารอบนอกนี้ บางครั้งถ้าโชคดีก็อาจจับกระต่ายหรือหนูนาได้เพื่อนำไปเพิ่มในมื้ออาหารได้
แต่เพราะมีคนเข้ามาในพื้นที่บ่อย สัตว์ที่นี่จึงไวต่อความเคลื่อนไหวมาก แค่คนเดินเข้าใกล้ มันก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว การจะจับมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
สำหรับต้าหลางแล้ว การจะจับพวกสัตว์ตัวเล็กที่วิ่งเร็วพวกนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย
แต่สำหรับฉินเหยา นี่เป็นเรื่องง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
ยังไม่ทันเห็นว่านางทำอะไร ต้าหลางกำลังจะบอกว่ามีนกตัวหนึ่งอยู่ตรงนั้น ก็ได้ยินเสียง “จิ๊บ” โหยหวนดังขึ้น และนกตัวนั้นก็ตกลงมาจากต้นไม้
“นี่…” ต้าหลางอึ้งไปเล็กน้อย
“ไปเก็บสิ” ฉินเหยาเห็นเขายืนงงจึงเอ่ยเตือน
“แล้วเก็บลูกเหล็กของข้ามาด้วย น่าจะอยู่แถวนั้น มันเป็นสีเงิน เจ้าโน้มตัวลงแล้วมองไปจะเห็นแสงอาทิตย์สะท้อนออกมา” ฉินเหยาสอนเขา
นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการหักเหของแสง ฉินเหยาคิดไปพลาง และถือโอกาสสอนเทคนิคการใช้แสงอีกสองสามอย่าง เหมือนพานักเรียนมาฝึกภาคสนาม
ต้าหลางฟังไปก็รู้สึกว่า ตนเองยังมีเส้นทางพื้นฐานอีกยาวไกลกว่าจะได้เรียนวิชายุทธ์ที่แท้จริง
แม่เลี้ยงเคยบอกไว้ว่า หากยังไม่เข้าใจพื้นฐานเหล่านี้ นางจะไม่สอนวิชายุทธ์ให้
ต้าหลางจึงได้แต่จดจำคำพูดของนางไว้ในใจ รอจนมีโอกาสค่อยลองดูว่าจริงอย่างที่พูดหรือไม่
ต้าหลางเก็บนกกระจอกและลูกเหล็กกลับมาได้ ฉินเหยาจับนกกระจอกโยนใส่ตะกร้าสะพายใบเล็กที่เขาสะพายอยู่แล้วทั้งสองก็ออกเดินหาเป้าหมายต่อไป
ต้าหลางสะพายตะกร้ามาเพื่อเก็บผลไม้ป่า ซึ่งบ่งบอกว่าป่าแห่งนี้มีต้นไม้ผลอยู่มาก
นกชอบกินผลไม้เป็นพิเศษจึงมารวมตัวกันในบริเวณนี้ พวกมันบินไปบินมากลายเป็นเป้าหมายที่เหมาะเจาะ
ในที่แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ธนูเลย ฉินเหยาใช้แค่หนังสติ๊กก็เพียงพอ
นกที่อยู่ในระยะสายตาของนาง โดยเฉพาะตัวที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยล้วนไม่พ้นถูกลูกเหล็กยิงจนร่วง
ต้าหลางจำได้แค่ว่าวิ่งไปวิ่งมาอยู่ตลอดเวลา แต่พอก้มลงมองในตะกร้า พบว่าไม่ได้เก็บผลไม้สักผล แต่เต็มไปด้วยนกหลากหลายชนิดจนหนักเกือบยี่สิบจิน
เห็นฉินเหยายังเดินหาเป้าหมายอยู่ ต้าหลางจึงเตือนว่า “ท่านน้า พอแล้วขอรับ”
“พอแล้วหรือ” ฉินเหยาถือหนังสติ๊กเดินเข้ามา นางเพิ่งจะได้วอร์มร่างกายเท่านั้นเอง
ต้าหลางพยักหน้าหนักแน่น ยกตะกร้าที่หนักอึ้งขึ้นให้ดูซึ่งเต็มจนล้น
“ก็ได้ งั้นกลับกันเถอะ แวะไปจับปลาแถวแม่น้ำด้วย คืนนี้จะได้ตุ๋นน้ำแกงปลากินกัน”
ต้าหลางรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
ระหว่างทางกลับ เขาอดไม่ได้ที่จะมองหนังสติ๊กที่ฉินเหยาคาดไว้ตรงเอวอยู่เรื่อยๆ ในใจคิดว่า ถ้าเขาใช้มันยิงนกได้ก็คงจะดี
“เจ้าอยากลองไหม” ฉินเหยาหันกลับมาถามด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นความคิดในใจเด็กหนุ่ม
ต้าหลางไม่คิดว่าความคิดของเขาจะถูกมองออก เขาเขินเล็กน้อยแล้วโบกมือ “ไม่ดีกว่า หากพังขึ้นมาจะไม่ดี”
ฉินเหยาไม่ได้เซ้าซี้ เพราะหนังสติ๊กอันนี้ไม่เหมาะกับเด็กจริงๆ เนื่องจากมีพลังทำลายสูงเกินไป
“ไว้ข้ามีเวลาจะทำหนังสติ๊กไม้ให้เจ้าสักอัน” ในบ้านยังมีเอ็นวัวเหลืออยู่ ทำเป็นของเล่นเด็กที่ปลอดภัยกว่าได้
เด็กหนุ่มตาเป็นประกาย รีบวิ่งสองสามก้าวตามไปตรงหน้านาง ก่อนจะถามว่า “จริงหรือ จะทำหนังสติ๊กไม้ให้ข้าหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า “เจ้าลองเก็บก้อนหินเล็กๆ ที่กลมมนมาสะสมไว้เป็นกระสุนก่อน แต่จำไว้ว่าอย่าเล็งใส่คนที่อ่อนแอกว่าเจ้าเด็ดขาด”
“ข้าสอนพวกเจ้าให้ฝึกวิชาเพื่อปกป้องตัวเอง ไม่ใช่เพื่อนำไปรังแกผู้อื่น” ฉินเหยากล่าวเตือนอย่างจริงจัง
ต้าหลางพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ข้ารู้ ข้าจะไม่ทำแบบนั้น”
จากนั้นเขาก็อดยิ้มไม่ได้ เผยให้เห็นเขี้ยวสองข้างเล็กๆ ดูซื่อๆ
“ท่านน้า แล้วเมื่อไหร่ท่านจะว่างล่ะ” เขาถามอย่างอดใจไม่ไหว เพราะเขาตื่นเต้นเกินไป อยากได้หนังสติ๊กเร็วๆ
ทั้งสองเดินมาถึงริมแม่น้ำ ฉินเหยาส่งสัญญาณให้เขารออยู่บนฝั่ง นางเดินเข้าไปในป่าเล็กๆ เลือกกิ่งไม้ที่ยาวและหนาได้พอเหมาะมาทำฉมวก “อีกสักสองสามวัน” จากนั้นนางก็พับขากางเกงขึ้นและลงไปในแม่น้ำ
น้ำในแม่น้ำสูงถึงหน้าแข้ง กระแสน้ำค่อนข้างเชี่ยวกราก แต่นางยังคงยืนได้อย่างมั่นคง ราวกับแรงทั้งหมดของแม่น้ำไม่อาจทำให้นางล้มลงได้
การยืนนิ่งของฉินเหยาทำให้นางดูราวกับเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำทั้งสาย
ต้าหลางกอดตะกร้าพลางนั่งยองๆ โดยไม่กังวลเลยว่านางจะจับปลาไม่ได้ เขามองฟ้า มองพื้น แล้วมองดูตะกร้าที่เต็มไปด้วยนกก่อนจะหัวเราะออกมา เขาจะได้หนังสติ๊กของตัวเองในไม่ช้า เอ้อร์หลางรู้ต้องอิจฉาจนอยากร้องไห้แน่ๆ
ไม่นานก็มีเสียงแปลกๆ ดังมาจากในแม่น้ำ ก่อนปลาตัวหนึ่งจะถูกโยนมาที่ตรงหน้าเขา
หางปลาสะบัดไปมาอย่างแรง มันกว้างเท่าฝ่ามือต้าหลาง มีรูเลือดตรงกลาง ทั้งยังไม่ตาย
ต้าหลางรีบจับมันไว้ ดึงหญ้าหนึ่งเส้นร้อยผ่านเหงือกเพื่อร้อยมันเข้าเป็นพวง
เพิ่งร้อยเสร็จ ปลาตัวใหม่ก็ถูกโยนขึ้นมาอีก ความรู้สึกได้เก็บเกี่ยวแบบนี้ช่างยอดเยี่ยม เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เสียงตื่นเต้นของเขาดังก้องไปทั่วริมฝั่งแม่น้ำ
ปลารวมแล้วห้าตัวถูกร้อยอยู่บนหญ้าเส้นเดียว หนักจนต้าหลางแทบจะยกไม่ขึ้น
เขารีบร้อง “พอแล้ว! พอแล้ว!”
ฉินเหยาจึงโยนไม้ทิ้ง กระโดดขึ้นจากแม่น้ำ พับขากางเกงลง แม่ลูกช่วยกัน คนหนึ่งยกปลา อีกคนอุ้มตะกร้า ได้ของกลับบ้านเต็มกระบุง
ระหว่างทางพวกเขาเห็นผักกูดน้ำจำนวนมากขึ้นอยู่ในลำธาร ทั้งคู่จึงดึงกลับมาเต็มกำมือ