ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 65 เช่าที่
หลังจากลดราคาต่อเนื่อง สุดท้ายต้องเหนื่อยแทบตายสามวันครึ่งแต่ได้รายรับมาเพียงห้าสิบเหวินและไม่มีออเดอร์เข้ามาอีกเลย
ฉินเหยาตัดสินใจปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรม
การพยายามเปลี่ยนความคิดดั้งเดิมของผู้คนช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาอย่างยิ่ง
ดังนั้น นางจึงเลือกที่จะปล่อยวางตนเองแทน
ฉินเหยาให้หลิวจี้หากล่องสำหรับใส่เงินเหวินมาจากบ้านแล้วเอาไปวางไว้ที่โรงโม่น้ำ
นางแขวนคู่มือการใช้โรงโม่น้ำที่มีรูปภาพประกอบไว้หน้าประตู กำหนดอัตราค่าบริการหนึ่งเหวินต่อหนึ่งชั่วยามและเปิดให้บริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ส่วนบริการช่วยโม่หรือส่งกลับถึงบ้านนั้น ขอพูดสามครั้งให้ชัดเจน ไม่มี! ไม่มี! ไม่มี!
หลังจากนั้น ทุกอย่างก็ปล่อยไปตามโชคชะตา
พวกเจ้าจะใช้ก็ใช้ ไม่ใช้นางก็ใช้เอง!
พอตัดสินใจปล่อยทุกอย่างไปตามยถากรรม ใจนางก็สงบลงได้จริงๆ
แต่การที่ธุรกิจเพิ่งเริ่มต้นและล้มเหลวกลางทางก็ยังทำให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง
เพราะมันหมายความว่า นางยังต้องเช่าที่ดินอยู่ดี
ฉินเหยากุมหัว ปลูกพืชนี่มันเหนื่อยจริงๆ นะ ขนาดนางออกไปล่าซอมบี้กลายพันธุ์ในเมืองยังไม่เหนื่อยขนาดนี้เลย
หลิวจี้รู้ดีว่าโชคชะตาของเขาผูกอยู่กับนาง หากนางต้องลงไปทำไร่ เขาเองก็เลี่ยงไม่ได้จึงได้แต่ปลอบตัวเองว่าชีวิตยังอีกยาวไกล ต้องเข้มแข็งเอาไว้!
“ข้าจะไปบ้านหลิวต้าฝูหน่อย” ฉินเหยากล่าว
หลิวจี้ตื่นตัวขึ้นมาทันที ถามเสียงเบาๆ “ไปเช่าที่ดินหรือ”
ฉินเหยาพยักหน้า หากไม่รีบเช่าตอนนี้ การเตรียมปลูกพืชฤดูใบไม้ผลิก็คงไม่ทันแล้ว
ขณะออกจากบ้าน ฉินเหยาเห็นยายหวังพาหลานชายตัวเล็กไปใช้โรงโม่น้ำ รู้สึกตื่นเต้นยินดีที่โม่หมุนได้เองโดยไม่ต้องใช้แรงคน แถมยังโม่ข้าวสาลีได้ละเอียดมาก
เสียงถอนหายใจเบาๆ ของยายหวังดังลอยมา “ดีที่ได้โรงโม่น้ำนี้ของฉินเหนียงจื่อ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงต้องหาคนมาช่วยหมุนโม่ให้อีกแล้ว”
หลานชายตัวน้อยพูดด้วยความดีใจว่า “ท่านอาสามไม่ใช่คนดี แต่ท่านอาสะใภ้สามเป็นคนดีนะขอรับ พอแม่ไก่ออกลูก เราเอาลูกไก่สองตัวไปให้ท่านอาสะใภ้สามเถอะนะขอรับ ท่านย่า?”
ยายหวังยิ้มแล้วพยักหน้า แต่พอหันไปเห็นกล่องเงินที่วางอยู่มุมศาลาก็แสดงสีหน้าละอายใจ
กล่องเงินนั้นเอาไว้เก็บเงิน แต่นางวางไว้เพียงไข่ไก่หนึ่งฟอง
ถึงไข่ไก่หนึ่งฟองจะขายได้หนึ่งเหวิน แต่ในหมู่บ้านมันก็ไม่ได้มีมูลค่ามากขนาดนั้น
หลานชายมองไปที่กล่องเงินด้วยเช่นกัน พลางพึมพำว่า “เอาลูกไก่อีกสองตัวไปให้ท่านอาสะใภ้สามเถอะขอรับ นางจิตใจดีขนาดนี้ คงไม่ถือสาหาความพวกเราหรอก…”
ฉินเหยาเดินข้ามสะพานผ่านไป ยายหลานที่กำลังตั้งใจใช้โรงโม่น้ำไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มบางเบาที่แสดงถึงความโล่งใจของนาง
เมื่อมาถึงบ้านหลิวต้าฝู เขาไม่อยู่บ้าน เพราะไปส่งธัญพืชที่ร้านขายธัญพืชในเมืองด้วยตนเอง
ในบ้านมีเพียงภรรยาและบุตรสาวของเขา กำลังดูแลบุตรชายสามคนที่ป่วยและนอนอยู่บนเตียง
สะใภ้ของบุตรชายคนโตและคนรองกินข้าวเช้าเสร็จก็ไปเก็บใบหม่อนชุดแรกหลังน้ำค้างยามเช้ามาเพื่อเลี้ยงไหม
ลานบ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยชั้นเลี้ยงไหม สะใภ้สองคนเป็นคนมีชื่อเสียงฝีมือยอดเยี่ยมในรัศมีสิบลี้ที่สามารถทอผ้าไหมลายงดงามได้
แค่เครื่องทอผ้าก็ใหญ่กว่าห้องหนึ่งห้องของคนทั่วไปแล้ว อุปกรณ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเข้าถึงได้
บุตรชายสามคนของหลิวต้าฝูถูกโจรทำร้ายจนขาหัก โชคดีที่หมอหลิวต่อกระดูกเป็น ตอนนี้ต้องใช้แผ่นไม้ยึดขาและพักฟื้นอีกสามเดือนถึงจะลงจากเตียงได้
เมื่อเห็นฉินเหยามา แม่ลูกคู่นี้ดีใจมาก รีบเชิญนางเข้าไปนั่งพักในบ้านพร้อมยกน้ำชามาให้และยังวางขนมกองหนึ่งที่ไม่รู้เรียกว่าอะไรไว้ตรงหน้า บอกให้ฉินเหยาอย่าเกรงใจ อยากกินก็หยิบได้เลย
ฉินเหยาหยิบขนมสี่ชิ้นมาห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าแล้ววางไว้ข้างๆ ที่เหลือไม่ได้แตะอีก ตั้งใจจะเอากลับบ้านไปให้พวกซื่อเหนียงไว้กินเล่น
พอเห็นแม่ลูกคู่นี้แค่จะพลิกตัวให้บุตรชายทั้งสามคนก็ลำบากมาก ฉินเหยาก็ไม่สนใจเรื่องข้อจำกัดชายหญิง ลงมือช่วยพยุงบุตรชายคนโตและคนรองให้ไปนั่งเก้าอี้ในห้องโถง
แต่ก่อนเวลาหลิวต้าฝูออกไปข้างนอก ทุกเรื่องในบ้านจะเป็นหลิวกงซึ่งเป็นบุตรชายคนโตจัดการ ครั้งนี้ฉินเหยาต้องการเช่าที่ดินจึงคุยกับเขาแทนได้
“ปีนี้ยังมีที่นาอุดมสมบูรณ์ทางทิศตะวันออกเหลืออยู่อีกหนึ่งร้อยหมู่พอดี ยังไม่มีใครเช่าด้วย สะใภ้สาม เจ้าอยากเช่ากี่หมู่หรือ” หลิวกงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ใบหน้ายังคงมีความกระดากเล็กน้อย
แต่พอเห็นฉินเหยาซึ่งเป็นสตรีกลับดูใจกว้างและไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ ความกระดากใจจากการที่เขาแทบจะถูกนางอุ้มออกมาก็จางหายไปเกือบหมด
ฉินเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยี่สิบหมู่ถือว่าปลอดภัยที่สุด แต่นางรู้ดีถึงความสามารถในการทำไร่ของตัวเองและหลิวจี้ คงไม่อาจทำได้
โรงโม่น้ำก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีรายได้เลย ในอนาคตน่าจะมีรายได้เดือนละสองร้อยเหวิน ซึ่งพอจะใช้เป็นเงินซื้อกับข้าวได้
ถ้าเช่นนั้นก็เช่าที่ดินให้น้อยลงแล้วใช้เวลาว่างไปหางานทำภายนอก น่าจะพอเลี้ยงชีพได้
“สิบหมู่” ฉินเหยาพูดจบก็อดกังวลไม่ได้ว่าฝ่ายตรงข้ามอาจจะปฏิเสธเพราะนางเช่าน้อยเกินไป
แต่นางกลับประเมินความรู้สึกขอบคุณของครอบครัวหลิวกงที่มีต่อนางต่ำเกินไป หากวันนั้นนางมาไม่ทันเวลา แม่ลูกสองคนคงถูกล่วงเกินและเหล่าพี่น้องคงต้องตายแน่นอน
หลิวกงยังคิดว่าฉินเหยาอาจจะเกรงใจที่จะเอ่ยปากจึงถามย้ำอีกครั้งว่า “สะใภ้สามจะเช่าแค่สิบหมู่จริงๆ หรือ”
ฉินเหยาพยักหน้าอย่างมั่นใจ
“อีกอย่างนะ หลังจากพวกท่านไถที่ของตัวเองเสร็จแล้ว พอจะให้เรายืมวัวไปใช้สักสองวันได้หรือไม่” ฉินเหยาลองถามดู
หลิวฮูหยินรีบตอบว่า “เรื่องเล็กน้อย บ้านเรามีโรงเก็บเครื่องมือเกษตร คนเช่าสามารถยืมไปใช้ได้ ขอแค่อย่าให้พังและนำกลับมาคืนให้ตรงเวลาก็พอ”
“บ้านเรามีวัวสองตัว ลาอีกตัวหนึ่ง ตอนนี้ลาถูกพ่อของพวกเขาเอาไปขนธัญพืชแล้ว ส่วนวัวสองตัว ตัวหนึ่งเราเก็บไว้ใช้ไถนาเอง อีกตัวหนึ่งถ้าผู้เช่าอยากใช้ก็แค่จ่ายค่าเช่าบ้างเล็กน้อย”
“แต่ว่าหากเป็นฉินเหนียงจื่อจะใช้ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าหรอก แค่เจ้าใจดีช่วยให้มันกินหญ้าสักสองกำมือ อย่าให้มันหิวก็พอ”
พวกเขายังบอกอีกว่า หากฉินเหยาจะใช้ก็จะให้นางยืมก่อน
ที่จริงเรื่องนี้ก็เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เพราะหากในนามีผลผลิตเพิ่มขึ้น บ้านหลิวต้าฝูก็จะได้แบ่งข้าวมากขึ้นอีกส่วนเช่นกัน
ถึงแม้ว่าหนึ่งหมู่จะได้ผลผลิตเพิ่มแค่ยี่สิบสามสิบจิน แต่หากเป็นที่ร้อยหมู่หรือสองร้อยหมู่รวมกันเข้าไปก็เป็นเงินจำนวนไม่น้อยแล้ว
พูดแล้วก็ตลก ครั้งก่อนหลิวจี้ขายที่ดินในบ้านทั้งหมดไป คนที่ซื้อไว้ก็คือหลิวต้าฝู ส่วนที่ดินสิบหมู่ที่แบ่งให้ฉินเหยาในครั้งนี้ซึ่งเป็นที่ดินดีริมแม่น้ำก็คือที่ดินเดิมของบ้านหลิวจี้นั่นเอง
หลิวกงพูดว่า “อย่างไรเสียที่ดินนั้นพี่สามก็คุ้นเคยอยู่แล้ว ขาของข้าก็ไม่ค่อยสะดวก เช่นนั้นข้าจะไม่ไปเลือกที่กับสะใภ้สาม พวกเจ้าไปดูให้เรียบร้อยแล้วมาบอกข้า ข้าจะจดไว้ จะได้ไม่ปล่อยเช่าให้คนอื่นผิดไป”
ในช่วงฤดูเพาะปลูกที่สำคัญนี้ เขาและน้องชายอีกสองคนได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจลงไปทำไร่ได้จึงต้องปล่อยเช่าที่ดินเกือบครึ่งหนึ่งและชาวบ้านในหมู่บ้านก็กำลังรอเช่าที่ดินกันอยู่ โดยเฉพาะที่ดินดีๆ ยิ่งต้องแย่งกัน
ฉินเหยาตอบตกลงว่าจะไปเลือกที่ดินแล้วจะแจ้งให้เขาทราบ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายด้วยดี ฉินเหยาก็ลุกขึ้นขอตัวกลับ
แต่ก่อนจะไป พอเห็นพี่น้องหลิวกงเคลื่อนไหวด้วยความยากลำบาก นางก็กล่าวเตือนว่า
“ช่างไม้หลิวมีฝีมือดีและราคายุติธรรม พวกท่านลองให้เขาทำรถเข็นหนึ่งคันและไม้เท้าคู่หนึ่งสำหรับประคอง จะได้สะดวกเวลาขยับตัว”
ผลคือแม่ลูกทั้งหลายต่างมองนางด้วยความงุนงงแล้วถามว่า รถเข็นคืออะไร? ไม้เท้าคืออะไร?
พวกนางรู้จักเพียงไม้เท้าสำหรับคนชราซึ่งก็ช่วยพยุงตัวไม่ได้มากนัก
ฉินเหยาเลิกคิ้วขึ้น “พวกท่านไม่รู้จักหรือ”
แม่ลูกทั้งห้าคนต่างพากันส่ายหน้า
“มีพู่กันกับกระดาษไหม เดี๋ยวข้าจะวาดให้ดูแล้วพวกท่านนำไปให้ช่างไม้หลิว เขาดูภาพที่ข้าวาดก็เข้าใจได้” ฉินเหยากล่าว