ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 68 เพื่อเจ้าทั้งนั้น
คำถามนี้ ตอนนี้ก็ยังไม่อาจให้คำตอบได้
ตอนนี้เป็นเดือนสี่ อีกกว่าสามเดือนข้าวถึงจะสุก
หลังจากผ่านช่วงฤดูเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิไป ในที่สุดก็มีเวลาว่างบ้าง
หลิวจี้ยกกล่องเงินของโรงโม่น้ำกลับมาบ้านแล้วนับได้หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเหรียญ
“รวมกับไข่ไก่และผักที่ได้รับมาก็น่าจะได้ประมาณสองร้อยเหวิน” หลิวจี้รายงานฉินเหยาหลังจากนับเสร็จ
อ้อ ใช่แล้ว ยังมีลูกไก่สี่ตัวที่ยายหวังส่งมาให้อยู่ในเล้า เมื่อเทียบกับเดือนสาม ตอนนี้มีเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะชำระเงินอย่างมีความรับผิดชอบ ยังมีคนที่พยายามหลบเลี่ยง ไม่ยอมจ่ายเงินหลังจากใช้โรงโม่น้ำเสร็จแล้วก็เดินหนีไปซึ่งไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
“หาคนเจอแล้วหรือ” ฉินเหยาถาม
เรื่องนี้ไม่ยากสำหรับหลิวจี้ คนซื่อตรงเกลียดคนประเภทเขาที่สุด แต่พวกเด็กหนุ่มในหมู่บ้านกลับชื่นชมหลิวจี้ที่เคยเห็นโลกภายนอกมาก่อน เขาสอบถามไม่นานก็หาตัวคนที่ไม่ยอมจ่ายเงินได้
“รู้แล้วว่าเป็นใคร แต่ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐาน เดี๋ยวข้าจะให้เอ้อร์หลางไปเฝ้าที่โรงโม่น้ำ ขอแค่จับได้สักครั้ง บัญชีทั้งเก่าทั้งใหม่ก็คิดไปพร้อมกันเลย!”
แต่ก่อนเขามักจะเอาเปรียบคนอื่น มีตอนไหนที่เขาโดนคนอื่นเอาเปรียบบ้าง
หลิวจี้สาบานในใจว่า หากจับได้ เขาจะตีมันให้ตาย ให้อีกฝ่ายชดใช้เงินทั้งหมดคืนมา พร้อมค่าเสียหายทางจิตใจ!
ฉินเหยาเอ่ยเห็นด้วยกับเขาอย่างหาได้ยาก “ครั้งนี้ข้าจะอนุญาตให้จิ้งจอกอย่างเจ้ายืมบารมีเสือไปก่อนแล้วกัน”
สีหน้าหลิวจี้แข็งทื่อ พูดเสียเหมือนเขาไม่มีปัญญาจะจัดการใครได้อย่างนั้นแหละ
แต่หากยืมบารมีจากเสือมาช่วยได้จริงก็ยิ่งดี เพราะบ้านนั้นมีพี่น้องมากมาย เขาคนเดียวคงรับมือไม่ไหวแน่
ขณะที่คู่สามีภรรยากำลังนั่งคำนวณบัญชีอยู่ ข้างนอกลานก็มีเสียงกะต๊ากแผ่วเบาดังมาจากนอกบ้าน
หลิวจี้เลิกคิ้วขึ้นอย่างดีใจ ดวงตาของเขามีความยินดีวาบผ่าน
“เมียจ๋า ข้าจะเอากล่องเงินไปวางที่เดิมแล้วจะไปซื้อผักสดมาสักสองกำ หากมีเสื้อผ้าที่ต้องซักเจ้าก็วางไว้ในกะละมังก่อน เดี๋ยวข้าจะไปซักให้ตอนเย็น”
พูดจบเขาก็อุ้มกล่องเงินแล้วเดินออกไป
เมื่อมาถึงประตู เขาก็โบกมือเร็วๆ ไปยังพุ่มหญ้าที่ไกลออกไป เงาร่างคนคนหนึ่งกระโดดออกมาแล้วตามหลังหลิวจี้ไป พวกเขาวิ่งไปที่ข้างแม่น้ำ ทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนขโมย
ทั้งสองคนมาถึงป่าริมแม่น้ำฝั่งตรงข้าม หลิวจี้หัวเราะฮี่ๆ แล้วตบหน้าอกของอีกฝ่าย “เจ้าเด็กนี่ เหตุใดยังคิดวิธีการเลียนเสียงไก่มาเป็นสัญาณลับได้? ข้าเกือบฟังไม่ออกเลย”
ฝ่ายนั้นหัวเราะเยาะเย้ยหลิวจี้ “พี่สาม จะเรียกท่านออกมาสักรอบนี่ไม่ง่ายเลยนะ ยังต้องใช้สัญญาณลับอีก พี่สะใภ้ก็คุมท่านเข้มงวดเกินไปแล้วไหม”
หลิวจี้ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้ เพราะมันจะทำลายภาพลักษณ์ของเขาต่อหน้าน้องชาย เขาจึงข้ามเรื่องนั้นไปและถามว่า
“มีเรื่องดีอะไรหรือ”
ซุ่นจื่อถามกลับด้วยความประหลาดใจ “พี่สามรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องดี”
หลิวจี้ในใจคิดว่า ก็แค่ทายไปเล่นๆ แต่ใบหน้ากลับยิ้มไม่เอ่ยคำใดแล้วส่งสัญญาณให้ซุ่นจื่อรีบพูดสิ่งที่เขาต้องการบอกออกมา
ซุ่นจื่อเป็นคนจากหมู่บ้านเซี่ยเหอ เขารู้จักหลิวจี้ที่ตัวอำเภอ ทั้งสองคนเป็นที่รู้จักในฐานะคนโง่ประจำหมู่บ้านของตน ทั้งวันเอาแต่วิ่งออกไปหวังหาผลประโยชน์นอกหมู่บ้านแต่กลับไม่ได้นำเงินกลับมาเข้าบ้านแต่อย่างใด
สองคนนี้ไม่เคยได้รับการยอมรับจากที่บ้าน ตอนเจอกันครั้งแรกก็เกิดความเข้าอกเข้าใจกัน เจ้าเรียกข้าว่าพี่ ข้าเรียกเจ้าว่าน้อง ช่างดียิ่งนัก
เมื่อเทียบกับหลิวจี้ ซุ่นจื่อยังพอรู้จักดูแลบ้านบ้าง เมื่อถึงฤดูทำนาเขาจะอยู่ที่บ้านเพื่อปลูกข้าว แต่เมื่อมีเวลาว่างเขาก็จะออกเร่หาช่องทางหาโอกาสในการสร้างตัว
นี่อย่างไร เพิ่งไปสอบถามมาได้ว่าที่บ้านคหบดีติงในเมืองกำลังหาคนงานชั่วคราว เขาก็รีบวิ่งมาหาหลิวจี้ หวังว่าทั้งสองจะได้ร่วมกันออกไปทำการค้าใหญ่
เมื่อได้ยินว่าจะไปทำงานที่บ้านคหบดี หลิวจี้ก็รู้สึกตื่นเต้น “ไปเมื่อไหร่”
ซุ่นจื่อพูดว่า “พรุ่งนี้ตอนยามเหม่า (ตี 5) ข้าจะรอท่านอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านเราแล้วเราค่อยไปด้วยกัน”
พูดจบก็ยังไม่วางใจเรื่องความเร็วของหลิวจี้ ก่อนจากไปเขาจึงกำชับหลิวจี้อีกครั้ง “พี่สาม ต้องตื่นเช้าหน่อยนะ คราวนี้คหบดีติงรับแค่สิบคน หากไปช้าก็จะลงชื่อไม่ทันแล้ว”
จากหมู่บ้านตระกูลหลิวไปถึงเมืองจินสือ เดินเท้าเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยามครึ่ง ขณะที่หมู่บ้านเซี่ยเหอนั้นใกล้มาก ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามก็ถึงตัวเมืองแล้ว
หลิวจี้คำนวณเวลาแล้ว เขาต้องออกเดินทางอย่างน้อยตั้งแต่ยามอิ๋น (ตีสามกว่า) เพื่อให้ทั้งสองไปถึงที่บ้านคหบดีติงประมาณยามเหม่า
เพียงแค่คิดถึงการต้องตื่นเช้าเพียงนี้ ทั้งยังต้องเดินทางตอนมืดค่ำ หลิวจี้ก็เริ่มลังเล
แต่พอคิดกลับกัน หากคหบดีติงเกิดชื่นชมเขาขึ้นมา ในอนาคตไม่ใช่จะเจริญก้าวหน้าบริบูรณ์ไปด้วยความร่ำรวยและเกียรติยศอย่างไม่มีที่สิ้นสุดหรอกหรือ
ที่สำคัญที่สุด หากเขามีคหบดีติงคอยหนุนหลัง เขาจะต้องกลัวฉินเหยาสตรีโหดเหี้ยมผู้นี้อีกหรือ
คิดถึงจุดนี้ หลิวจี้ก็ลอบดีใจ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ขณะที่หลิวจี้กำลังก้าวเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารก็แอบเหลือบมองฉินเหยาที่กำลังใช้จอบพรวนดินในสวนผักอยู่ ในหัวเขาคิดวิธีพูดมากมายหลายอย่าง สุดท้ายก็บอกครึ่งจริงครึ่งเท็จว่า
“เมียจ๋า ข้าคงต้องออกจากบ้านไปหลายวันหน่อย”
ฉินเหยาไม่หันกลับมาด้วยซ้ำเพียงตอบรับเสียงเบาว่า “ไม่ต้องหรอก เจ้าอยู่บ้านคอยดูแลน้ำในนาและถอนวัชพืชในสวนไปเถอะ ขอแค่ดูแลบ้านให้ดีก็พอ ข้าคิดได้แล้ว เรื่องหนี้ที่เจ้าติดค้างข้าเจ้าก็ค่อยๆ คืนไป ไม่ต้องรีบคืนตอนนี้”
หลิวจี้ใจกระตุก นี่หมายความว่าอย่างไร
เขาถามอย่างตกใจ “เจ้ารู้หรือว่าข้าต้องออกจากบ้านไปทำไม”
“บ้านคหบดีติงกำลังหาคนงานชั่วคราวใช่ไหม” ฉินเหยาหันกลับมายิ้มแย้มแล้วพูด “เจ้าหายห่วงได้ พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ต้องตื่นเช้า ข้าจะไปแทนเจ้าเอง”
นางพึมพำกับตัวเองอย่างไม่สนใจสีหน้าตกตะลึงของเขา
“บุรุษหน้าตาเช่นเจ้าควรออกไปเผยหน้าในที่สาธารณะให้น้อยหน่อย โลกนี้อันตราย บุรุษก็ต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเองให้ดี”
นางไม่เคยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ใส่ใจเช่นนี้มาก่อน แต่ยามนี้หลิวจี้กลับรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะไปบ้านคหบดีติง
นางรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะต้องตื่นเช้าไปรวมตัวกับซุ่นจื่อพรุ่งนี้
หลิวจี้ถามด้วยเสียงสั่น “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ฉินเหยาหัวเราะเสียงใสแล้วพูดว่า “ก็เพราะข้ายืนอยู่ข้างหลังพวกเจ้าอย่างไรเล่า”
หลิวจี้โกรธจัดตะคอกว่า “เจ้าเป็นผีหรือไง!”
ฉินเหยาวางจอบเล็กในมือแล้วลุกขึ้น เอาวัชพืชที่ขุดมาโยนทิ้งข้างๆ แล้วเดินไปที่อ่างตักน้ำมาล้างมือ ก่อนจะหลุบตาลงแล้วเอ่ยช้าๆ
“แรงแค่นั้นของเจ้าเกรงว่าแค่ลงชื่อยังไม่ทันเลย ข้าคิดว่าข้าไปจะเหมาะกว่า เพราะอย่างไรเราก็คือครอบครัวเดียวกัน ใครจะทำงานก็เหมือนๆ กัน จะเจ้าหรือข้าไปก็เหมือนกันทั้งนั้น”
หลิวจี้คิดในใจ เช่นนั้นเหตุใดไม่ปล่อยให้บิดาไปเองเล่า!
เขาบังคับตัวเองให้สงบลง ยิ้มออกมาอย่างฝืนๆ ก่อนจะเตือนนางว่า “คนเขาต้องการแค่บุรุษ ไม่มีสตรีไปรับจ้างทำงานชั่วคราวหรอก”
“ไม่มีหรือ” ฉินเหยาหันกลับมาจ้องมองเขาด้วยดวงตาสีดำสนิท “หมู่บ้านตระกูลหลิวไม่มี เมืองจินสือไม่มี อำเภอไคหยางไม่มีแล้วจังหวัดจื่อจิงและเมืองหลวงก็ไม่มีหรือ”
หลิวจี้โกรธจนพูดไม่ออก “ข้าไม่เคยไปจังหวัดจื่อจิงและเมืองหลวง ข้าจะรู้ได้อย่างไร!”
“ใช่น่ะสิ เจ้าเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ก็อาจจะมีหรืออาจจะไม่มีก็ได้” ฉินเหยายักไหล่ผายมือแสดงท่าทีเจ้าหัวหมอต่อไปสิ ออกมาอย่างใจกว้าง
แต่หลิวจี้รู้ว่า หากพูดต่อไปนางก็จะลงมือแล้ว
“ฉินเหยา โลกนี้เหตุใดจึงมีสตรีที่เอาเถียงข้างๆ คูๆ เช่นเจ้านะ!” หลิวจี้ขบขี้ยวเคี้ยวฟันถามขึ้น
ต้องแย่งทุกอย่างไปจากเขา ฮือๆๆ…
ฝ่ามือของฉินเหยาตบลงบนไหล่ของเขา น้ำหนักหนักอึ้งราวพันชั่งกดลงมา หลิวจี้ได้ยินเพียงเสียงเข่าไม่รักดีของตนส่งเสียงดังกร๊อบออกมาแจ่มชัด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที “เมียจ๋า ไว้ชีวิตด้วย!”
จากนั้นก็รีบกำชับทันทีว่า “เมียจ๋า พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมตื่นเช้านะ อย่าช้าเด็ดขาด”
ฉินเหยาเก็บมือที่กดอยู่ที่ไหล่เขาแล้วยิ้มเย็นชา “ข้าทำเพราะหวังดีกับเจ้านะ”
หลิวจี้ : ขอบใจเจ้ามาก!