ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 69 กรุณาไปยืนด้านหลัง
ก่อนเข้านอน หลิวจี้ยังคงโกรธที่โอกาสในการออกจากบ้านของเขาถูกฉินเหยาแย่งไป
ในหัวเขาจินตนาการถึงภาพการทรมานฉินเหยาไม่รู้กี่ครั้งเพื่อปลอบใจตัวเองจากความรู้สึกอยุติธรรม
จากนั้น เขาก็รู้สึกดีขึ้นทันที
ช่วงตีสามในห้องนอนของฉินเหยามีเสียงความเคลื่อนไหวดังลอยมา หลิวจี้รู้สึกง่วงจนลืมตาแทบไม่ขึ้น รู้สึกเหมือนร่างกายถูกเตียงตรึงเอาไว้ มีเพียงจิตสำนึกเลือนรางที่นึกโชคดีที่ไม่ใช่เขาที่ต้องตื่นมาตอนนี้และออกเดินทาง
ประตูลานบ้านเปิดและปิดลงเบาๆ
คืนนี้ไร้พระจันทร์ ข้างนอกมืดมิดเสียจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า ฉินเหยาถือคบเพลิงเดินอย่างรวดเร็วท่ามกลางสายลมยามเช้าของต้นฤดูร้อน มุ่งหน้าตรงไปยังหมู่บ้านเซี่ยเหอ
ซุ่นจื่อคำนวณเวลาแล้ว เขาตื่นตอนตีสี่ครึ่ง เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วต้มน้ำแกงแป้งกินรองท้อง ก่อนจะดับไฟตะเกียงและเดินตามแสงเลือนรางไปยังปากทางหมู่บ้าน
ยังไม่ทันเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นเงาคนยืนถือคบเพลิงจากที่ไกลๆ เงาคนสะท้อนไหวไปมาภายใต้แสงจากคบเพลิง เขาเพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูผอมบางไปหน่อย จากนั้นก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า “พี่สาม!”
“ไม่คิดเลยว่าท่านจะตื่นเร็วขนาดนี้ ข้ายังคิดว่าท่านคงมาสายไปสักครึ่งก้านธูปได้ พี่สามท่านคงไม่ได้มารออยู่ตรงนี้นานแล้วกระมัง”
ฉินเหยาหันกลับมา
“พี่…สวรรค์!” ซุ่นจื่อตกใจจนกระโดดถอยหลังไปไกลกว่าสิบเมตรทันที
ดึกดื่นค่อนคืนมาเห็นสตรียืนถือคบเพลิง จะไม่ตกใจได้อย่างไร
ผ่อนลมหายใจอยู่ครึ่งนาทีเต็มถึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคน ซุ่นจื่อจึงถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าเป็นใคร พี่สามของข้าล่ะ”
“เจ้าถามถึงหลิวจี้หรือ”
ซุ่นจื่อพยักหน้าอย่างแรง ในใจคิดว่า เสียงนี้ช่างไพเราะเสียจริง
ในขณะเดียวกันเขาก็ถอนหายใจโล่งอก เพราะการที่อีกฝ่ายสามารถเอ่ยชื่อพี่สามออกมาได้ ดูแล้วน่าจะรู้จักพี่สาม
“ข้าเป็นภรรยาของเขาชื่อฉินเหยา หลิวจี้ป่วยกะทันหัน ข้าเลยจะไปเป็นคนงานระยะสั้นแทนเขา” ฉินเหยาพูดพร้อมยิ้มบาง
ซุ่นจื่อตกใจมาก ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือสตรีที่พี่สามเคยพูดถึงว่าเป็น ‘สตรีอำมหิตที่กินกินเนื้อดิบๆ ดื่มเลือดสดๆ’ น่ะหรือ
แต่ทำไมดูแล้วไม่เห็นเหมือนเลยเล่า พูดจาก็แสนอ่อนโยน ทั้งยังยิ้มให้เขาอีก
“ที่แท้ก็คือภรรยาพี่สามเองหรือ ข้าตกใจเกือบตาย” ซุ่นจื่อเดินเข้ามาพลันรู้สึกสนิทใจกับสตรีตรงหน้ามากขึ้นหลายส่วน ผีเผออะไรกัน ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น
“แต่ที่บ้านคหบดีติงรับแค่คนงานชาย หากพี่สะใภ้จะไปล่ะก็…”
ฉินเหยาตอบ “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า แต่โอกาสนี้ข้าไม่อยากพลาดไป จะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องลองดูก่อน เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“นี่ก็สายแล้ว เราเดินไปคุยกันเถอะ” ฉินเหยายกมือทำท่าขอให้เขานำทาง
ซุ่นจื่อพยักหน้า เขาหันไปมองฉินเหยาหลายครั้ง ทุกครั้งนางจะส่งยิ้มน้อยๆ มาให้เขา แววตาอ่อนโยน
ชายหนุ่มเกาหัวอย่างสับสน ‘พี่สามตาบอดหรืออย่างไร พี่สะใภ้นิสัยดีจะตาย!’
ซุ่นจื่อถามอย่างเป็นห่วง “พี่สะใภ้ เหตุใดพี่สามถึงป่วยได้เล่า”
ฉินเหยาตอบ “เขาป่วยกะทันหันน่ะ”
“อ…อ้อ” ซุ่นจื่อรู้สึกหมดแรง ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรไปชั่วขณะ
แต่คนสองคนเดินไปด้วยกันแต่ไม่พูดคุยกันนั้นชวนให้รู้สึกแปลกยิ่งกว่า ซุ่นจื่อจึงพยายามหาหัวข้อสนทนาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็ถูกตัดบทด้วยคำตอบรับจากฉินเหยา
สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้ เลือกที่จะเงียบ
อย่างไรเสียชายหญิงก็ต่างกัน การรักษาระยะห่างก็ถือเป็นเรื่องดี
แต่สิ่งที่ทำให้ซุ่นจื่อประหลาดใจคือ ฉินเหยาเดินเร็วมาก เขาเผลอเหม่อไปนิดเดียวก็หลุดไปอยู่ด้านหลังนาง นางเดินราวกับเหาะได้อย่างนั้น
เห็นเขาเดินช้าลง นางก็เอ่ยขึ้นอย่างหาได้ยาก “น้องซุ่นจื่อ เราเดินเร็วหน่อยเถอะ จะได้ไปถึงทันรอบแรก”
ซุ่นจื่อพยักหน้าแล้วเดินเร็วขึ้น ยังไม่ทันหกโมงเช้า คนทั้งสองก็วิ่งไปจนถึงเมืองจินสือแล้ว
เมืองนี้ไม่มีกำแพงเมือง ตั้งอยู่ที่เชิงเขา ล้อมรอบด้วยพื้นที่นาและป่าผืนใหญ่
ถนนหินเก่าที่เรียบง่ายตัดทะลุผ่านกลางเมือง มีร้านค้าไม่กี่ร้านที่ตั้งอยู่สองข้างทาง ในวันปกติหากไม่ใช่วันตลาด ร้านเหล่านี้จะไม่เปิด
มีเพียงร้านข้าว ร้านน้ำมัน และร้านขายเนื้อซึ่งตั้งอยู่กลางเมืองเท่านั้นที่เปิดทำการตามปกติ
ตอนนี้ยังค่อนข้างเช้า ถนนว่างเปล่า ได้ยินเพียงเสียงเห่าของสุนัขและเสียงไก่ขันดังมาจากบ้านเรือน
บ้านคหบดีติงตั้งอยู่ที่สุดเขตตะวันออกของเมือง ถูกห้อมล้อมไปด้วยที่นาอันอุดมสมบูรณ์ บ้านหลังนี้มีสามลานใน มีกำแพงขาวและหลังคากระเบื้องสีเขียว ประตูสีแดงเข้มมีห่วงสัตว์รูปกิเลนสองตัวแขวนอยู่และมีสิงโตหินสองตัวตั้งอยู่ที่หน้าประตู ดูสง่างามมาก
ฉินเหยากับซุ่นจื่อมาถึงหน้าประตู พวกนางมาเช้ามาก ก่อนเวลาใครๆ ตอนนี้ยังไม่มีใครเลย
ซุ่นจื่อกระซิบกับฉินเหยาว่า คหบดีติงเป็นนายท่านจวี่เหริน[1] นายอำเภอพบเจอเขายังต้องให้เกียรติเขาเลยจึงเตือนนางว่าต้องระวังมารยาท อย่าทำให้นายท่านจวี่เหรินไม่พอใจ
“ต้องคุกเข่าหรือ?” ฉินเหยาถามหยั่งเชิง
ซุ่นจื่อส่ายหัว “จวี่เหรินไม่ใช่ขุนนาง ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล”
ฉินเหยาตอบรับเสียงเบา ซุ่นจื่อไม่รู้ว่านางเข้าใจหรือไม่ แต่พวกเขาพบกันครั้งแรกยังไม่ค่อยสนิทมากนักเลยไม่ได้พูดต่อ
ประตูนั้นพวกเขาไม่กล้าเคาะ เพียงยืนรออยู่ที่หน้าประตูให้คนข้างในมาเปิด
รอไปสักพัก หลายคนก็เริ่มทยอยมา เมื่อเห็นฉินเหยาที่เป็นสตรี ทุกคนก็รู้สึกแปลกใจมาก
แต่เพราะทุกคนไม่รู้จักกันจึงไม่ได้ถามอะไร ทุกคนยืนอยู่ในที่ของตัวเอง ยืนตามลำดับที่มาถึง
แต่ความเข้าใจเช่นนี้มักถูกบางคนทำลาย
เห็นกลุ่มคนที่มาทีหลังมายืนด้านหน้าเขาและฉินเหยา ซุ่นจื่อจึงตะโกน “นี่! ไปยืนด้านหลังสิ! พวกเรามาก่อน! ไม่เห็นหรือว่าทุกคนล้วนยืนตามลำดับก่อนหลัง”
ทั้งสามหันกลับมา กวาดตามองซุ่นจื่อและฉินเหยาหัวจรดเท้ารอบหนึ่ง รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างที่เขาพาสตรีมาด้วย พวกเขาแค่นเสียงหัวเราะไม่เอ่ยอะไร ยังคงยืนอยู่ด้านหน้าทั้งสอง
ซุ่นจื่อมองไปเห็นคนที่ยืนต่อแถวอยู่ด้านหลังเขาที่ถึงโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร เพราะทั้งสามคนมีรูปร่างสูงใหญ่ พวกเขาไม่กล้ามีเรื่องด้วย
ไฟโทสะในใจของเขาลุกโชนขึ้นทันที แต่ก็ไม่อยากมีปัญหากับทั้งสามคน ขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะอดทนดีหรือไม่ก็เห็นฉินเหยาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งแล้วยื่นมือไปตบๆ ที่ไหล่ของทั้งสามคน
“โปรดไปยืนด้านหลัง”
น้ำเสียงของนางเรียบเฉย แต่ในแววตาปรากฏความน่าเกรงขามสายหนึ่งทำให้คนไม่อาจมองข้ามได้
ทั้งสามคนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลอกตาหันหน้าหนี ไม่สนใจนางอีก ไม่เห็นนางซึ่งเป็นสตรีอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
หนึ่งในนั้นหัวเราะเสียงต่ำ “ยุคนี้มีแต่เรื่องแปลกๆ มากมาย แม้แต่สตรีก็ออกมาเป็นคนงานชั่วคราว ไม่รู้ว่าแขนขาเล็กๆ ของนางจะทำงานอะไรได้”
พูดถึงตรงนี้ ทั้งสามคนก็มองตากันแล้วยิ้มประหลาดอย่างมีเลศนัย
เสียงที่บาดหูเช่นนี้ ต้องบอกเลยว่าฉินเหยาไม่ได้ยินเสียงเช่นนี้มานานมากแล้ว
ในวันสิ้นโลก ทุกคนล้วนต้องอาศัยความสามารถในการเอาตัวรอด แม้แต่เด็กหญิงอายุสิบสามสิบสี่ก็ไม่มีใครกล้ารังแกพวกเธอส่งเดช
เพราะคนที่สามารถมีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเช่นนี้ได้ แม้แต่ยายเฒ่าอายุแปดสิบปีก็ยังมีวิธีการหาเลี้ยงชีพของตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ หรือรู้วิธีการปลูกพืชก็ย่อมมีช่วงเวลาที่คุณต้องการพวกเขา
ตอนนี้ซุ่นจื่อไม่อยากอดทนแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาจะกลับไปบอกพี่สามได้อย่างไร
เขาไม่กลัวการต่อยตีอยู่แล้ว เขาเงื้อหมัดขึ้นมาตั้งใจจะซัดเจ้าคนที่พูดจาหยาบคายให้หมอบก่อน
แต่กลับไม่คิดเลยว่า คนข้างๆ จะลงมือรวดเร็วกว่าเขามาก
[1] จวี่เหริน ผู้สอบผ่านระดับมณฑลหรือจังหวัด เรียกว่า การสอบจงจวี่ จัดสอบ 3 ปีครั้ง