ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 71 ให้เกียรติธรรมชาติ
มีเลื่อยทั้งหมดห้าอันและขวานห้าเล่ม อุปกรณ์นั้นต้องเลือกเองตั้งแต่แรก ต้นไม้เล็กใช้ขวานจะเร็วกว่า แต่ต้นใหญ่ต้องใช้เลื่อยถึงจะมีประสิทธิภาพ ทั้งสองอันต่างก็มีข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับว่าใครถนัดอะไร
แต่โดยรวมแล้ว เลื่อยนั้นใช้ได้ดีกว่าขวาน
ซุ่นจื่อมือไว คว้าเลื่อยไปได้ ส่วนฉินเหยาช้ากว่าหน่อยเลยเหลือแค่ขวาน
ติงอู่รับหน้าที่หลักในการคุมงาน เดินไปมาในป่าเพื่อป้องกันไม่ให้ใครแอบอู้
ก่อนขึ้นเขาผู้ดูแลเคยบอกว่าจำนวนไม้ที่ตัดจะถูกบันทึกเอาไว้ สามอันดับแรกจะได้รับรางวัล ส่วนสามอันดับท้ายหากทำต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมากจะถูกหักค่าจ้าง
ดังนั้น เมื่อถึงจุดหมาย ทุกคนจึงหยิบอุปกรณ์ที่มีมาใช้ทันที ทั้งหวังจะได้รางวัลและกลัวจะรั้งท้ายมากเกินไปแล้วจะถูกหักเงิน
ฉินเหยาคิดในใจว่า คนโบราณแต่ละคนช่างมีไหวพริบจริงๆ ไม่ยอมเสียเปรียบเลยสักนิด
เมื่อรู้สึกถึงสายตาขอความช่วยเหลือของซุ่นจื่อ ฉินเหยาก็เพียงส่งสัญญาณให้เขาเริ่มทำงาน จากนั้นก็แบกขวานขึ้น เลือกต้นสนขนาดกลางหนึ่งต้นและเหวี่ยงขวานลงไป
แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง[1] การตัดไม้นางเคยเห็นมาหลายครั้งแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ทำเองก็เลยถือเสียว่าเป็นการตัดฟืนเสีย เพียงแต่ต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้านี้ใหญ่กว่าฟืนทั่วไปอยู่บ้าง แต่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรมาก
ซุ่นจื่อเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เขาจึงเริ่มทำท่าทำทาง แต่แท้จริงแล้วแอบมองคนงานคนอื่นๆ ว่าทำงานกันอย่างไรแล้วก็ทำตามนั้น ตอนเช้าเลื่อยต้นไม้ไปได้ครึ่งต้น ผลงานกลับไม่รั้งท้ายแต่อย่างใด
คนที่เร็วที่สุดคือชายฉกรรจ์ที่มีหนวดดกหนา มือเขาถือเลื่อยเลือกตัดต้นไม้ใหญ่ ก่อนพักกินข้าว ติงอู่ยังไม่ทันตะโกนเรียกเขาก็เลื่อยต้นไม้เสร็จพอดี เท้าใหญ่ถีบออกไปพลางกลิ้งไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเสื้อเปื้อนเหงื่อทิ้งไว้ตรงที่เดิมพร้อมเสียงดังกึกก้องของต้นไม้ที่ล้มลง
ฉินเหยาเฝ้ามองอย่างจริงจัง เดิมจุดที่ต้นไม้จะล้มคือทิศตรงกันข้ามกับเจ้าหน้าหนวด แต่พอล้มจริงกลับเปลี่ยนทิศทางมาล้มทับคนเสียอย่างนั้น
สุดท้าย เพราะเจ้าหน้าหนวดทิ้งเสื้อชุ่มเหงื่อไว้บนพื้นแล้วรีบกลิ้งไปยังทิศทางตรงข้าม ต้นไม้ใหญ่ถึงล้มทับลงบนเสื้อตัวนั้น
ติงอู่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจสถานการณ์นี้ เขาเดินเข้าไปตรงหน้าแล้วชี้ไปที่เสื้อตัวนั้นอย่างแปลกใจพลางถามว่า
“ทำไมตอนหนีเจ้าถึงทิ้งเสื้อเอาไว้เล่า”
เจ้าหน้าหนวดที่มีชื่อเล่นว่า ‘เจ้าหน้าหนวด’ สะบัดเสื้อเปื้อนเหงื่อแล้วสวมกลับเข้าไปใหม่พลางอธิบายว่า
“ต้นไม้นั้นมีจิตวิญญาณ เมื่อล้มมันจะตามคนไป หากทิ้งสิ่งที่มีกลิ่นอายคล้ายๆ กับตัวเราไว้ ก็จะสามารถหลอกมันได้”
ติงอู่ตกใจ “จริงหรือ”
เจ้าหน้าหนวดแสยะยิ้มแล้วบอกว่าเขาทดลองดูก็จะรู้เอง
ติงอู่มองไปยังต้นไม้ใหญ่ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าต้นขาของเขาหลายเท่าที่ล้มอยู่ตรงหน้าแล้วโบกมืออย่างรวดเร็ว “ข้าไม่ลองหรอก”
พร้อมกันนั้น เขาก็เรียกฉินเหยาและคนอื่นๆ มาแล้วกำชับว่า ก่อนที่ต้นไม้กำลังจะล้มลงให้ระวังให้ดี
ฉินเหยาถือถ้วยน้ำแกงผักและซาลาเปาธัญพืชหยาบสองลูกที่คนดูแลจวนติงแบ่งมาให้ ในใจพลันเกิดความคิดน่าสนุกอย่างหนึ่งขึ้นมานั่นคือการ ‘วิ่งหนีต้นไม้’
หลังจากนั้นนางก็ทำจริงๆ เพื่อทดลองคำพูดของเจ้าหน้าหนวด
ว่าไปแล้วก็แปลก ตอนที่นางจงใจจะทดลอง ต้นไม้ก็ล้มลงไปตามทิศทางที่นางเตะมัน
รอจนนางคิดจะล้มเลิกการทดลองก็เกือบจะโดนต้นไม้ย้อนกลับมาล้มทับเสียอย่างนั้น
โชคดีที่ฉินเหยามีปฏิกิริยาตอบสนองเร็ว ไม่อย่างนั้นหากนางละสายตาไป นางจะต้องบาดเจ็บแน่นอน
นอกจากนี้ พวกเขายังตัดไม้แยกกัน แต่ละคนยืนทำงานในที่ของตัวเองเพื่อไม่ให้รบกวนคนอื่นหรือทำให้เพื่อนร่วมงานได้รับบาดเจ็บ หากโดนทับเข้าจริงๆ จะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่ทันแล้ว
“เช่นนั้นนี่ก็คือจิตวิญญาณต้นไม้ของชโรดิงเงอร์หรือ” ฉินเหยากระซิบเบาๆ พร้อมนึกหวาดหวั่นใจ ตัดสินใจว่าจะต้องเคารพธรรมชาติจึงจะดี
ก่อนห้าโมง ทุกคนหยุดตัดไม้แล้ว พวกเขาใช้ขวานตัดกิ่งที่เกินออกและปรับแต่งลำต้นให้เรียบร้อย
พอถึงห้าโมง งานก็เสร็จสิ้นตามเวลา
วันนี้ฉินเหยาทำผลงานในการตัดไม้ได้สองต้น
ซุ่นจื่อวันนี้เพิ่งจะเรียนรู้วิธีตัดไม้สำเร็จและในตอนบ่ายก็เลื่อยต้นไม้ได้หนึ่งต้น โดยใช้วิธีของเจ้าหน้าหนวดจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ
ส่วนคนที่ตัดได้มากที่สุดก็คือเจ้าหน้าหนวด ต้นหนึ่งในตอนเช้าและสองต้นในตอนบ่าย รวมทั้งหมดสามต้น
น้อยที่สุดคือหนึ่งต้น ซุ่นจื่อและฉินเหยาอยู่ในจุดปลอดภัย ค่าจ้างสิบเหวินสำหรับวันนี้จึงสามารถรักษาไว้ได้
วันถัดไปจะโดนหักเงินหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผลงานในอนาคต
งานตัดไม้นี้ใช้พลังงานมากมาก อาหารกลางวันที่ให้มาต่อคนก็ไม่เพียงพอสำหรับฉินเหยา นางไม่ได้เตรียมน้ำมาเอง ตระกูลติงก็ไม่ได้จัดหาน้ำดื่มให้ ทำให้นางกระหายยิ่งนัก นางและซุ่นจื่อจึงต้องวิ่งลงจากเขาไปดื่มน้ำพุที่ไหลลงมาจากบนภูเขา
การเดินไปกลับครั้งนี้ใช้เวลาไม่น้อย ติงอู่มองทั้งสองด้วยสายตาที่ไม่พอใจเล็กน้อย แต่เพราะเป็นวันแรกเขาจึงไม่พูดอะไร
แต่ตอนที่เลิกงาน เขาจึงเอ่ยเตือนว่า “พรุ่งนี้อย่าลืมนำกระบอกน้ำมาด้วย”
“อืมๆ แน่นอน” ซุ่นจื่อยิ้มรับ
ฉินเหยาลูบท้องที่ร้องจ๊อกๆ คิดเพียงอยากจะวิ่งกลับบ้านไปกินข้าวเดี๋ยวนี้
หมู่บ้านเซี่ยเหออยู่ใกล้มาก ฉินเหยาทนรอซุ่นจื่อที่เดินช้าไม่ได้จึงพูดกับเขาว่า “บ้านข้าไกล หากรอจนดึกจะมืดจนไม่เห็นทาง ข้าไปก่อนนะ”
ซุ่นจื่อเพิ่งจะร้องเอ๋ ฉินเหยาก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไม่ให้โอกาสเขาได้เอ่ยรั้งเลยสักนิด
ฉินเหยาหันกลับมาเอ่ยเสริมว่า “อ้อ ใช่แล้ว พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องรอข้า พวกเราเจอกันที่จวนติงเลย”
พูดจบก็เร่งความเร็วเต็มที่ ทิ้งซุ่นจื่อไว้ข้างหลังไกลๆ
เพราะตัวคนเดียวไม่มีเพื่อนต้องห่วง ฉินเหยาใช้เวลาแค่สองชั่วโมงกว่าก็เดินไปถึงหมู่บ้านตระกูลหลิวแล้ว ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้านางก็เข้าบ้านพอดี
เด็กทั้งสี่คนรีบวิ่งมาหา ฉินเหยายิ้มแบบฝืนๆ แล้วนั่งลงในห้องนั่งเล่น ใจคิดแค่ว่าอยากกินข้าว
หลิวจี้ยกข้าวต้มครึ่งหม้อที่อุ่นอยู่บนเตามาแล้ววางไว้ตรงหน้านางพร้อมวางถ้วยผักบวบปรุงน้ำปรุงรสที่ยังร้อนอยู่ลง
ฉินเหยาหยิบผักใส่ในหม้อข้าวต้มแล้วคนให้เข้ากัน ก่อนจะตักคำโตเข้าปาก
บิดาและบุตรยืนล้อมรอบตัวนาง เห็นท่าทางการกินเหมือนคนอดอยากของนางแล้วก็รู้สึกตกใจมาก
“ท่านแม่ ท่านกินข้าวกลางวันไม่อิ่มหรือ” ซานหลางถามด้วยความเป็นห่วง
ฉินเหยาเพียงพยักหน้าส่งๆ จนกระทั่งกินข้าวต้มครึ่งหม้อจนหมด ถึงรู้สึกว่ากระเพาะที่กู่ร้องสงบลง
ตึง! ฉินเหยาวางหม้อเปล่าลงแล้วเช็ดปาก “ในที่สุดก็รู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!”
“ไปทำงานอะไรมาหรือถึงหิวจนเป็นเช่นนี้ ที่บ้านคหบดีติงไม่ให้ข้าวเจ้ากินสักคำหรือ”
หลิวจี้ยกหม้อไปล้างที่อ่างน้ำ ในขณะเดียวกันก็ถามอย่างเป็นห่วง “ถ้าทำงานหนักเช่นนี้ เปลี่ยนให้ข้าไปทำเถอะ เมียจ๋าเจ้าพักที่บ้านดีกว่า”
“ไม่จำเป็น!” ฉินเหยายกมือทำท่าทางห้าม “วันนี้เป็นวันแรกยังเตรียมตัวไม่พร้อม พรุ่งนี้จะดีขึ้นเอง”
“เตรียมกระบอกน้ำให้ข้าสักกระบอก เติมน้ำต้มสุกให้เต็ม ข้าจะพกติดตัวไปดื่มด้วย”
หลิวจี้ตอบรับ เมื่อล้างหม้อเสร็จเขาก็เดินมาที่ห้องนั่งเล่นแล้วนั่งลงข้างๆ นางพลางถามอย่างสงสัยว่า “เมียจ๋า พวกเจ้าทำงานอะไรบ้างหรือ คิดค่าจ้างอย่างไร”
ฉินเหยาตอบสั้นๆ “สองมื้อต่อวันและค่าจ้างสิบเหวิน ทำงานตัดไม้”
สายตาของหลิวจี้ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังหายไปทันทีเมื่อได้ยินคำว่า ‘ตัดไม้’ เขาตอบรับแล้วลุกขึ้นมายืนด้านหลังนางพลางนวดไหล่ให้
“เมียจ๋า ลำบากเจ้าแล้ว ข้าจะนวดให้เจ้าผ่อนคลาย”
ฉินเหยาพยักหน้าและตอบกลับ หากพูดกันตามหลักวิชานวด ฝีมือของเขาก็ค่อนข้างดีทีเดียว
แต่เจ้าหลิวสามเคยทำตัวขยันและใส่ใจเช่นนี้มาก่อนที่ไหนกัน
หากเรื่องราวผิดไปจากปกติย่อมมีปัญหา!
[1] แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง หมายถึง อาจจะไม่เคยประสบสิ่งนั้นมาด้วยตนเอง แต่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน อย่างไรก็ต้องรู้มาบ้าง