ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 75 เจ้าอยากสั่งสอนข้า?
หลังจากกินข้าวต้มติดต่อกันมาหลายคืน ฉินเหยาทนไม่ไหวแล้วจึงพูดกับหลิวจี้ว่า “วันนี้ข้าจะกินข้าวสวย”
หลิวจี้คิดในใจ สตรีล้างผลาญผู้นี้!
แต่ฉากหน้ากลับรับคำแล้วรีบก่อไฟ ล้างข้าวและหุงข้าวอย่างคล่องแคล่ว
วันนี้นางกลับบ้านช้ากว่าปกติราวๆ สองทุ่มครึ่งโดยประมาณ คนในหมู่บ้านมักกินข้าวกันตั้งแต่หัวค่ำ ตอนนี้หลายบ้านเข้านอนและเข้าสู่ความฝันไปแล้ว
หลิวจี้และเด็กๆ ทั้งสี่คนกินข้าวเย็นไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ตอนนี้พอฉินเหยานำซาลาเปาไส้เนื้อกลับมา เสียงท้องพวกเขาก็ร้องขึ้นมาอีกครั้งอย่างพร้อมเพรียง รอคอยให้หลิวจี้อุ่นซาลาเปาให้ร้อนและแบ่งให้เท่ากัน
ห้าคนแม่ลูกนั่งล้อมโต๊ะอาหารในห้องโถง ฉินเหยาหยิบถั่วปากอ้าห่อหนึ่งออกจากกระเป๋า ใบหน้าของพี่น้องทั้งสี่เปล่งประกาย
ซื่อเหนียงมองฉินเหยาด้วยความยินดี ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ท่านแม่ดียิ่งกว่าพระโพธิสัตว์อีก”
ฉินเหยากวักมือเรียก เด็กหญิงตัวน้อยรีบวิ่งเข้ามาซบ มือเล็กๆ ดึงที่คอเสื้อของนาง ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความสุข
“แม่ดีกว่าพระโพธิสัตว์จริงหรือ” ฉินเหยาถามพลางยิ้ม
ซื่อเหนียงพยักหน้าแรงๆ ตอบรับ “อื้มๆ!”
ฉินเหยามีความสุข ก่อนจงใจชี้ไปที่แก้มตัวเอง ซื่อเหนียงทำหน้าสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจ จากนั้นก็เขย่งเท้าขึ้นมาจุ๊บแก้มนางอย่างเขินอาย
หัวใจของฉินเหยาละลายในทันที นางอุ้มซื่อเหนียงขึ้นนั่งบนตัก ก่อนจะหอมแก้มอีกฝ่ายสองฟอดใหญ่ ทำเอาซื่อเหนียงหัวเราะคิกคักเพราะจั๊กจี้ ทั้งสองหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
ต้าหลาง เอ้อร์หลางและซานหลาง เด็กชายทั้งสามช่วยกันปอกเปลือกถั่วปากอ้าทั้งหมดใส่ในถ้วย จากนั้นก็ดันถ้วยไปตรงหน้าฉินเหยา รอให้นางแบ่งส่วน
เมื่อมีนางอยู่ พี่น้องทั้งสี่ไม่เคยกังวลเลยว่าอาหารอร่อยๆ จะแบ่งมาไม่ถึงพวกเขา
เอ้อร์หลางคิดว่าพี่น้องคนอื่นๆ คงไม่ว่าอะไร ถ้าเขาจะดูดรสชาติจากเปลือกถั่วปากอ้าก่อน ในระหว่างรอแบ่งส่วน เขาก็หยิบเปลือกถั่วที่มีรสชาติใส่ปาก ดูดจนหมดรสแล้วคายออกมาเพื่อหยิบกำมือใหม่
ครั้งก่อนเขาอยากดูดกระดูกนก ครั้งนี้มาดูดเปลือกถั่วปากอ้า ฉินเหยาไม่อยากแม้แต่จะมอง
หลิวเอ้อร์หลาง เจ้าหนูนี่นิสัยประหลาดเกินไปหรือเปล่า!
แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า อย่าไปขัดขวางความชอบของเด็ก ให้เขาได้พัฒนาไปตามธรรมชาติ นางจึงปล่อยเขาไป
แค่ไม่ทำแบบนี้ต่อหน้าแขกก็พอ
ถั่วปากอ้าที่แกะแล้วมีเพียงถ้วยเล็กๆ ‘ฉินเหยาผู้เชี่ยวชาญแห่งการแบ่งสรรอย่างยุติธรรม’ จึงแบ่งถั่วปากอ้าออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กันให้กับพี่น้องทั้งสี่
ส่วนหลิวจี้นั้นไม่กังวลเลยสักนิด แค่หลอกเด็กสักคน ปากเขาก็ไม่มีวันขาดแคลนอาหาร
ฉินเหยาพบว่า เด็กทั้งสี่ในบ้านนี้ฉลาดมาก เมื่อต้องรับมือกับเด็กคนอื่นนอกบ้าน พวกเขาแทบจะไม่ยอมให้ใครมาหลอกเอาอาหารจากมือไปได้ง่ายๆ
แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นหลิวจี้ แม้แต่เอ้อร์หลางก็ยังตกหลุมพราง
หรือว่านี่จะเป็นการกดดันทางสายเลือดตามธรรมชาติ?
ฉินเหยาส่ายหน้า นางไม่เข้าใจและก็ไม่อยากเข้าใจด้วย เอาเป็นว่ากินข้าวก่อนดีกว่า
หลิวจี้หุงข้าวสวยมาสามถ้วย ฟักที่ปลูกไว้ในสวนหน้าบ้านเพิ่งเริ่มโต ยังไม่พร้อมเก็บกิน ตอนนี้ครอบครัวของฉินเหยายังอยู่ในช่วงขาดแคลนผัก อาหารเคียงที่มีก็คือผักดองที่หลิวจี้ซื้อจากพ่อค้าหาบเร่หลิว
แต่หลิวจี้รู้ดีว่าฉินเหยาชอบกินของดีๆ หากนางกินอิ่มและพอใจ อารมณ์ของนางก็จะดี และเมื่ออารมณ์นางดี ชีวิตเขาก็จะราบรื่นขึ้น
ดังนั้นเขาจึงใช้ไข่ไก่หนึ่งฟองมาทำน้ำแกงให้ฉินเหยาหนึ่งถ้วย
มีข้าวสวย ผักดองและน้ำแกง ฉินเหยากินอย่างอิ่มเอม
ซาลาเปาไส้เนื้อสี่ลูกที่มีนางไม่ได้กิน เพราะช่วงนี้กินติดต่อกันหลายวันจนไม่ได้อยากมากนัก
แม้แต่เด็กๆ ในบ้านเองก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับการมีซาลาเปาเหมือนในตอนแรก
ในตอนนี้ หลิวจี้แบ่งซาลาเปาคนละหนึ่งลูกให้ต้าหลาง เอ้อร์หลาง และซานหลาง ส่วนตัวเขาเองกับซื่อเหนียงที่กินได้น้อยแบ่งกันหนึ่งลูกเป็นมื้อดึก นั่งกินพร้อมกับฉินเหยา
ตามวิถีชีวิตในชนบท สามทุ่มค่ำถือว่าเป็นช่วงดึกแล้ว แต่ครอบครัวหกคนนี้กลับนอนไม่หลับเพราะกินอิ่มจนเกินไป
เดิมทีฉินเหยาตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยบอกเรื่องที่นางจะไปเป็นผู้คุ้มกันที่จวนติง แต่พอดีตอนนี้ทุกคนยังไม่นอน นางจึงพูดออกมาเสียเลย
คนที่ดีใจที่สุดไม่พ้นหลิวจี้ สองตำลึงเชียวนะ!
เงินที่โรงโม่น้ำต้องทำถึงหนึ่งปีถึงจะหาได้ แต่นี่ใช้เวลาแค่เดือนเดียว หากฉินเหยาปฏิเสธ เขาคงด่านางจนสุดชีวิตแน่
โชคดีที่สตรีอำมหิตผู้นี้ยังพอรู้ความ ตกลงรับงาน
และยิ่งกว่านั้น เมื่อฉินเหยาไม่อยู่บ้าน กระทั่งหายใจเขาก็รู้สึกเหมือนได้หายใจได้โล่งขึ้น งานดูแลน้ำในนาแค่เดินตรวจวันละสามรอบก็พอ ไม่มีอะไรหนักหนา
ในแปลงผักก็แค่ถอนหญ้าและเมื่อตะวันตกดินก็ไปปลูกผักในพื้นที่รกร้างที่เพิ่งถางใหม่หลังบ้าน ที่เหลือก็มีเพียงงานเบาๆ ที่ทำแค่เล็กน้อยก็เสร็จ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีต้าหลางกับพี่น้องอีกสามคนเป็นแรงงานเปล่า ทั้งฉลาดและเชื่อฟัง ใช้งานได้ดีมาก
ฉินเหยาชำเลืองมองก็เห็นหลิวจี้ทำหน้าดีใจสุดๆ เห็นแล้วขัดตา นางจึงอดไม่ได้เตะเขาไปหนึ่งที
หลิวจี้ร้องโอ๊ยลั่นด้วยความเจ็บ ก่อนจะรีบเก็บสีหน้าท่าทางให้เรียบร้อย นั่งตัวตรงทันที
พี่น้องทั้งสี่คุ้นชินกับเรื่องเช่นนี้เสียแล้ว เมื่อรู้ว่านางจะต้องจากไปหนึ่งเดือน ทุกคนจึงมองนางด้วยสายตาอาลัย
แต่พวกเขาก็เข้าใจว่านางทำเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวจึงเอ่ยอย่างรู้ความว่าจะช่วยกันดูแลท่านพ่อให้ดี ไม่ให้เขาก่อเรื่อง
หลายวันถัดมา เด็กทั้งสี่ติดฉินเหยาชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ห่างตัวเลย
แม้ว่าหลิวจี้จะพยายามเก็บอาการ แต่จังหวะก้าวเท้าที่ลิงโลดนั้นกลับเผยให้เห็นว่าเขาตั้งตารอคอยชีวิตอิสระในหนึ่งเดือนข้างหน้า
คนในหมู่บ้านไม่มีช่วงว่างเว้นจากงาน ช่วงนี้เป็นฤดูที่หนอนไหมปล่อยเส้นใย ทุกบ้านต่างเต็มไปด้วยเสียงทำงานของเครื่องทอผ้า
เมื่อเทียบกับบ้านอื่นๆ บ้านของฉินเหยาถือว่าชีวิตค่อนข้างสบาย
ในช่วงไม่กี่วันที่อยู่บ้าน ฉินเหยาแทบไม่ออกจากลานบ้านเลย ยกเว้นตอนเช้าที่ออกไปฝึกและออกไปตักน้ำ
งานในไร่ หลิวจี้สามารถจัดการเองได้ทั้งหมด ส่วนฉินเหยาก็ใช้เวลาว่างในช่วงนี้สอนบทกวีจีนโบราณให้เด็กๆ เพิ่มอีกหลายบท
นางยังเปิดชั้นเรียนฝึกศิลปะการต่อสู้ให้ต้าหลาง สอนกระบวนท่าสังหารพื้นฐานให้เขาเล็กน้อยเพื่อให้เขามีอะไรไว้ฝึกในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเพื่อเสริมสร้างพื้นฐานให้แข็งแรง
หลิวจี้แอบมองสองแม่ลูกฝึกยุทธ์กัน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าประหลาด
กระบวนท่าที่ฉินเหยาสอนต้าหลาง ดูอย่างไรก็เหมือนเต็มไปด้วยจิตสังหารพวยพุ่งนะ?
ไม่ใช่สอนให้เขาเตะน่องคนก็บิดกระดูกมือ หรือไม่ก็สอนต้าหลางใช้ไม้กระแทกเอวคน ดูแล้วทั้งหมดคือการสอนเด็กว่าจะฆ่าผู้ใหญ่อย่างไร นี่มันคือการฝึกยุทธ์ที่ถูกต้องจริงหรือ
ตอนเย็นขณะที่ทำอาหารเย็น ฉินเหยาอุ้มฟืนที่ผ่าเสร็จแล้วเข้ามาในครัว หลิวจี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่านางกำลังสอนอะไรต้าหลาง
ฉินเหยาตอบอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ก็แค่กระบวนท่าป้องกันตัว”
หลิวจี้เบิกตากว้าง “นั่นมันกระบวนท่าสังหารชัดๆ เอากระบวนท่าสังหารมาเรียกว่าท่าป้องกันตัว เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจบ้างหรือไร”
รู้สึกผิดต่อมโนธรรม? ฉินเหยาหัวเราะเยาะ “มโนธรรมช่วยรักษาชีวิตได้หรือ”
“หากช่วงที่ข้าไม่อยู่ พวกโจรกลับมาปล้นหมู่บ้านอีก เจ้าตั้งใจจะพาทุกคนไปตายด้วยกันหรือ”
หลิวจี้โต้กลับ “ทางการกำลังปราบโจรอยู่ พวกมันคงไม่กลับมาอีก”
แต่ประโยคนี้เขาเองก็เอ่ยได้อย่างไม่มั่นใจ ตั้งแต่วันสิ้นปีจนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบสี่เดือนแล้ว หากทางการปราบโจรจริง ตอนนี้คงเสร็จไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้คนที่เดินทางกลับมาจากข้างนอกมักพูดว่า ถนนทางการที่มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกของอำเภอไคหยางยังมีพวกโจรขี่ม้าออกปล้นกองคาราวานพ่อค้าอยู่เป็นระยะ เพียงแต่ไม่เจิดประเจ้อเท่าก่อนหน้านี้
หลิวจี้พึมพำ “อย่างไรการที่เจ้าสอนเด็กแบบนี้มันก็ไม่ดี”
“เจ้ากำลังสั่งสอนข้าว่าต้องทำอย่างไรหรือ” ฉินเหยาหรี่ตาด้วยท่าทีอันตราย
หลิวจี้รีบโบกมือ “ไม่กล้า ไม่กล้า…”
ฉินเหยาหัวเราะเยาะเขาเบาๆ ก่อนหันไปมองเตาแล้วถามว่า “คืนนี้กินอะไร?”
“บะหมี่แป้งปั้นต้มกับไข่และผักป่า ที่บ้านยังมีแป้งเยอะ กินแป้งก่อนแล้วค่อยกินข้าวฟ่าง ข้าวสารอย่างดีมีน้อยควรประหยัดไว้ดีกว่า” หลิวจี้คิดคำนวณ
ฉินเหยาพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องเก็บของด้านหลังเพื่อดูเสบียงที่เหลือ