ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 76 ตำแหน่งในบ้าน
ในบ้านยังมีข้าวฟ่างสามสิบจิน ถั่วเหลืองห้าสิบจิน แป้งขาวหนึ่งร้อยสิบจินและข้าวสารอย่างดียี่สิบจิน
นางจะไม่อยู่บ้านหนึ่งเดือน เสบียงเหล่านี้เพียงพอให้พ่อลูกทั้งห้ากินจนกว่านางจะกลับมาและยังมีเหลือ
โรงโม่น้ำตอนนี้มีรายได้คงที่เดือนละสองร้อยเหวิน ฉินเหยาจึงไม่ได้ทิ้งเงินไว้ให้หลิวจี้
ในชนบทไม่มีที่ให้ใช้จ่ายมากมาย รายได้จากโรงโม่น้ำก็เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวันของพ่อลูกแล้ว
แต่ในคืนก่อนออกเดินทาง ฉินเหยาเรียกเอ้อร์หลางออกมาคุยตามลำพังและให้เงินเขาไว้สองเฉียนเผื่อฉุกเฉิน
“ห้ามบอกใครเด็ดขาด โดยเฉพาะพ่อเจ้า เงินก้อนนี้ห้ามใช้หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ตอนนี้ข้ามอบให้เจ้าดูแล เจ้าดูแลได้หรือไม่”
ฉินเหยามองเด็กชายวัยเจ็ดขวบที่ตัวสูงยังไม่ถึงอกนางด้วยสายตาคาดหวัง
เอ้อร์หลางมองเศษเงินตำลึงเล็กๆ ในฝ่ามือของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับเงินมากขนาดนี้ เด็กชายรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย มือเล็กๆ สั่นแต่มั่นคง เขากำเงินไว้แน่นและให้สัญญากับฉินเหยาว่า
“เงินสองเฉียนนี้ ข้าจะดูแลอย่างดี รอจนท่านน้ากลับมาแล้วจะคืนให้ท่าน”
ฉินเหยาตบไหล่เล็กๆ ของเขาและสอนเขาว่าควรเก็บเงินไว้ที่ใดจึงจะปลอดภัย จากนั้นก็ทดสอบความรู้ด้านคณิตศาสตร์ของเขาอีกครั้ง
ตั้งแต่หนึ่งถึงหนึ่งร้อย เอ้อร์หลางท่องได้คล่องแคล่วมานานแล้ว ในบรรดาพี่น้องทั้งสี่ เขาเป็นคนที่เรียนคณิตศาสตร์ได้ดีที่สุด
การบวกลบเลขไม่เกินร้อยนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเจ้าหนูน้อย เขายังรู้ด้วยว่าควรแบ่งเงินสองเฉียนเป็นสองส่วน ส่วนละหนึ่งร้อยอีแปะ แบบนี้เขาจึงจะจัดการเงินสองเฉียนนี้ได้ดี
ฉินเหยาพอใจ โบกมือให้อีกฝ่ายกลับเข้าห้องไปแล้วบอกให้ช่วยเรียกต้าหลางมาให้ด้วย
ฉินเหยามอบกริชที่นางสั่งทำจากร้านตีเหล็กก่อนหน้านี้ให้ต้าหลาง “เก็บไว้ที่บ้านเผื่อได้ใช้ หากต้องใช้ก็ใช้ตามกระบวนท่าที่ข้าสอนเจ้าในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่หากไม่มีโอกาสได้ใช้จะดีที่สุด”
ส่วนเรื่องว่าจะโดนมีดบาดหรือไม่นั้น ฉินเหยาไม่ได้ใส่ใจเพราะเรื่องแบบนี้การเตือนไม่มีประโยชน์ ต้องผ่านประสบการณ์ด้วยตนเองถึงจะรู้จักระวัง
กริชเล่มนั้นไม่ได้คมมาก แม้จะโดนบาดก็เป็นแค่แผลเล็กๆ ไม่เป็นปัญหา
หลิวจี้ยืนอยู่ด้านหลังสองแม่ลูก มองพวกนางส่งมอบกริชกันเสร็จแล้วก็อดกังวลไม่ได้ว่าลูกชายคนโตที่เชื่อฟังที่สุดของเขาจะกลายเป็นฉินเหยาคนที่สอง
เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พออ้าปากแล้วก็คิดได้ว่า คำพูดของเขาในบ้านหลังนี้ดูเหมือนจะไม่มีน้ำหนักอะไรจึงยอมแพ้
ฉินเหยายังไม่วางใจนักจึงเรียกเด็กทั้งสี่มาที่ห้องโถงแล้วกำชับว่า ห้ามลงแม่น้ำ ห้ามเข้าป่าและอย่าอยากรู้อยากเห็นจนวิ่งตามเด็กคนอื่นออกไปนอกเขตหมู่บ้าน
แม้ว่านางจะมาอยู่ที่นี่นานพอสมควรและยังไม่เคยเจอพวกค้ามุนษย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี เพียงแค่โชคดีที่พวกคนใจร้ายเหล่านี้ยังไม่มาถึงเท่านั้น
ในเขตหมู่บ้าน มักจะมีคนทำงานอยู่ในไร่นาเสมอ ทำให้พวกที่มีจิตคิดร้ายต้องระแวดระวัง เด็กๆ จึงปลอดภัยขึ้นมาก
เมื่อก่อนที่บ้านไม่มีผู้ใหญ่สักคน ต้าหลางก็ยังสามารถดูแลน้องชายและน้องสาวจนอยู่รอดมาได้อย่างยากลำบาก ตอนนี้เรื่องที่ฉินเหยากำชับเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว
แต่เขาก็ยังเงียบฟังไปเรื่อยๆ เพียงรู้สึกอบอุ่นในใจ เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่เลี้ยงเขาถึงรู้สึกว่าตนเองก็เป็นเด็กคนหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่าโลกจะถล่มลงมาก็ยังมีผู้ใหญ่คอยค้ำไว้ เขาเพียงแค่ทำหน้าที่ของเด็กคนหนึ่งให้ดีที่สุดก็พอ
“พอแล้ว พูดไปมากกว่านี้พวกเจ้าก็จำไม่ได้หรอก เอาแค่นี้ล่ะ ไปล้างหน้าล้างตาแล้วเข้านอนได้” ฉินเหยาโบกมือ “แยกย้าย!”
พี่น้องทั้งสี่หัวเราะคิกคักแล้วกรูกันเข้าไปในห้องอาบน้ำ
“ซื่อเหนียง เดี๋ยวอาบพร้อมแม่นะ” ฉินเหยาเรียกตัวลูกสาวคนเล็กที่กำลังจะเข้าไปด้วย พลางกวักมือให้นางออกมา
ไม่ใช่ว่าเพราะต้องแยกชายหญิงหรอก เด็กน้อยวัยห้าขวบยังไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้น ก่อนที่นางจะมา พี่น้องทั้งสี่ก็นอนรวมกันในผ้าห่มผืนเดียวกันอยู่แล้ว ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องระวังเรื่องนั้น
เหตุผลหลักก็เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการอาบน้ำ
ต้าหลางและเอ้อร์หลางต้องช่วยซานหลางเพียงคนเดียว ความเร็วในการอาบน้ำก็เพิ่มขึ้นมาก
ซื่อเหนียงไม่ได้อาบน้ำพร้อมกับพี่ชาย นางไม่ได้รู้สึกเสียใจเลยสักนิดเพราะนางได้อาบน้ำพร้อมกับท่านแม่
ซื่อเหนียงเดินเตาะแตะกลับมาเองจนถึงข้างตัวฉินเหยา มือเล็กๆ จับชายเสื้อของนางเอาไว้ รออย่างเชื่อฟัง
หลิวจี้ที่แทบจะกลายเป็นเงาอยู่แล้วพูดขึ้นเบาๆ “เมียจ๋า เจ้าไม่มีอะไรจะกำชับข้าบ้างหรือ”
ฉินเหยาหันไปมองเขาหนึ่งครั้ง ก่อนตอบสั้นๆ อย่างชัดเจนว่า “ไม่มี”
ผู้ชายตัวโตคนหนึ่ง ไม่ใช่เด็ก มีอะไรให้ต้องกำชับกัน
ฉินเหยาดึงซื่อเหนียงให้นั่งลงที่ธรณีประตูของห้องโถงแล้วเริ่มแก้เชือกผูกผมที่ยุ่งเหยิงบนหัวของนาง พลางถามอย่างสงสัยว่า “ต้าหลางเป็นคนมัดผมให้เจ้าหรือ”
ซื่อเหนียงส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนยกมือน้อยๆ ชี้ไปในบ้าน “ท่านพ่อเป็นคนมัด ทุกเช้าตื่นขึ้นมา พี่ใหญ่กับพี่รองก็ไม่อยู่แล้ว”
นางตื่นสาย ดังนั้นจึงเป็นท่านพ่อที่มัดผมให้ทุกวัน
ฉินเหยาพูดขึ้นทันทีว่า “มิน่าถึงแก้ยากขนาดนี้ แทบจะเป็นเงื่อนตายแล้ว”
หลิวจี้จะพูดอะไรได้อีก ไม่ทำก็โดนด่า ทำแล้วก็ยังโดนด่า เขาจึงหันหลังเดินไปที่ครัวเพื่อต้มน้ำ ไม่คิดจะโต้แย้งอะไรอีก
เขาไม่พูดอะไรเลย ทำให้ฉินเหยารู้สึกไม่ชินอยู่บ้าง นางจิ้มแก้มนุ่มๆ ของซื่อเหนียงก่อนจะเก็บเชือกผูกผมที่แก้ออกมาได้แล้วเริ่มแก้ผมตัวเอง
ทรงผมของนางนั้นเรียบง่ายมาก รวบเป็นหางม้ามัดหนึ่งทีแล้วใช้ผ้าคลุมผมอีกผืนห่อไว้ แก้ออกได้เร็วมาก
ผมของร่างเดิมนั้นดำสนิท แต่แห้งหยาบ ในยุคโบราณไม่มีแชมพูหรือครีมนวด ฉินเหยาใช้สบู่ชาที่พี่สะใภ้รองนางชิวให้มาสระผม ว่ากันว่าถ้าใช้สระผมไปสักระยะหนึ่งผมจะกลับมานุ่มลื่นและเป็นเงางาม แต่นางเองก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือไม่
แต่ในบ้านนั้นยังสะดวกอยู่ พอไปถึงจวนติงแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เกรงว่าแม้แต่การอาบน้ำก็อาจจะลำบาก
ทั้งหมู่บ้านมีเพียงบ้านของนางที่อาบน้ำสระผมบ่อยที่สุด ส่วนเรือนเก่านั้นครึ่งเดือนถึงจะอาบน้ำทีหนึ่ง และนั่นก็เฉพาะช่วงหน้าร้อน
หากเป็นหน้าหนาวจะไม่อาบน้ำตลอดทั้งฤดู หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวแทน
การสระผมเองก็ไม่ได้สระบ่อยเช่นกัน นางเหอและนางชิวมักเกล้าผมและม้วนไว้ในผ้าคลุมผมตลอดปี ผ้าคลุมนั้นมันจนขึ้นเงาเพราะน้ำมันจากเส้นผม
ทุกบ้านจะมีหวีเสนียดติดบ้านไว้อันหนึ่ง ใช้สำหรับหวีเหา
เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ฉินเหยาจึงกลับเข้าห้อง เก็บสบู่ชาก้อนหนึ่งและผ้าขนหนูสำหรับอาบน้ำใส่ในห่อสัมภาระของตน
พอดีกับที่ต้าหลางและน้องชายทั้งสองอาบน้ำเสร็จออกมา ฉินเหยาจึงพาซื่อเหนียงเข้าไปในห้องน้ำ แม่ลูกช่วยกันทำความสะอาดร่างกาย
ส่วนหลิวจี้ที่เป็นคนต้มน้ำ ต้องรอจนเป็นคนสุดท้าย แสดงให้เห็นถึงสถานะในบ้านได้ชัดเจน
ปลายเดือนสี่ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ฉินเหยาหิ้วสัมภาระที่เก็บเรียบร้อย กล่าวอำลาครอบครัวที่ยังอาลัยอาวรณ์และเดินเท้าเป็นเวลาสองชั่วโมงครึ่งมาถึงจวนติง
เมื่อมาถึงก็เป็นเวลาราวสิบเอ็ดโมงเช้า นายท่านติงและครอบครัวกำลังกินอาหารเที่ยง
สำหรับบ้านที่พิถีพิถันหน่อย จะมีทั้งอาหารเช้าและอาหารกลางวัน แต่จะไม่ใช่มื้อหนัก ส่วนมากจะเป็นกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ อย่างข้าวต้มหรือของว่าง และมื้อค่ำจึงจะเป็นมื้อใหญ่ที่อาหารอุดมสมบูรณ์หน่อย
พ่อบ้านพาฉินเหยาไปยังที่พักชั่วคราวของนางสำหรับเดือนนี้ก่อน เมื่อเก็บสัมภาระให้เรียบร้อยแล้วค่อยมายังห้องโถงสวนดอกไม้เพื่อพบนายท่านติง
อาวุธของนางนั้นฉินเหยานำมาด้วยทั้งหมด มีดาบหนักหนึ่งเล่ม ธนูหนึ่งชุดและหนังสติ๊กพร้อมลูกกระสุนเหล็ก
ตอนที่พ่อบ้านเห็นอาวุธของนางที่ประตูใหญ่เป็นครั้งแรก เขาก็ลอบตกใจไม่น้อย
เดิมทีคิดว่านางเป็นเพียงหญิงชาวนาที่มีทักษะเล็กน้อยเท่านั้น แต่คาดไม่ถึงว่านางจะเป็นมืออาชีพขนาดนี้
มองดูดาบหนักเล่มใหญ่ไร้ฝักเล่มนั้น มีเพียงผ้าพันเอาไว้ ดูเพียงแค่นี้ก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันท่วมท้นแล้ว
ธนูที่สะพายอยู่บนไหล่เองก็ดูทรงพลังมาก ท่าทางนางจะเชี่ยวชาญการยิงธนู เพราะในกระบอกธนูมีลูกธนูมากกว่ายี่สิบดอก