ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 77 จบการต่อสู้ภายในหนึ่งวินาที
- Home
- ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 77 จบการต่อสู้ภายในหนึ่งวินาที
คุณชายติงอยากเห็นว่าผู้คุ้มกันหญิงที่บิดาจ้างมาให้ดูแลน้องสาวนั้นเป็นอย่างไร หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ เขาไม่ได้กลับไปอ่านหนังสือที่ห้อง แต่เลือกมานั่งรอในห้องโถงสวนดอกไม้กับน้องสาวติงเซียง
คุณหนูตระกูลติงอายุสิบสองในปีนี้ รูปร่างหน้าตาสง่างาม นางสวมชุดกระโปรงแขนแคบทำจากผ้าไหมสีชมพูอ่อน ผมของนางถูกเกล้าเป็นทรงแกละพันไว้สองข้าง ประดับด้วยปิ่นมุกหนึ่งคู่และสวมต่างหูเงิน
ชุดนี้ทำให้นางดูงดงามซุกซน ประกอบกับดวงตารูปผลซิ่งกลมโตเต็มไปด้วยชีวิตชีวาจึงดูเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาที่ได้รับความรักและการเอาใจใส่จากบิดาและพี่ชาย
เพียงครั้งแรกที่เจอ ฉินเหยาก็คิดว่าคหบดีติงช่างกล้าหาญเหลือนเกิน ถึงขนาดปล่อยให้เด็กสาวที่ดูไร้เดียงสาเช่นนี้อยู่บ้านตามลำพัง
“นายท่านติง คุณชายติง คุณหนูติง” ฉินเหยาเดินเข้ามาในห้องโถงสวนดอกไม้ หยุดยืนต่อหน้าสามพ่อลูก ประสานหมัดขึ้นคำนับเล็กน้อย
นายท่านติงรีบยกมือขึ้นบอกให้นางไม่ต้องมากพิธีแล้วกล่าวต้อนรับด้วยรอยยิ้มว่า “ฉินเหนียงจื่อ ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
เขาพูดพลางมองไปทางบุตรสาวติงเซียง “นี่คือฉินเหนียงจื่อ คนที่พ่อบอกกับเจ้าไว้ อีกสองวันพ่อกับพี่ชายของเจ้าจะไปเมืองใหญ่ เจ้าอยู่บ้านคนเดียว มีฉินเหนียงจื่อเป็นผู้คุ้มกัน เราก็วางใจ”
ติงเซียงมองพิจารณาฉินเหยาด้วยความสงสัย ฉินเหยาเองก็เงยหน้าขึ้นมองกลับไปเล็กน้อย การสบตากันอย่างกะทันหันนี้ทำให้ติงเซียงรู้สึกแปลกใหม่
นางเดินขึ้นหน้ามาอีกสองก้าวแล้วหยุดตรงหน้าฉินเหยา ก่อนถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าคือฉินเหนียงจื่อที่ตัดต้นไม้ได้สิบหกต้นในหนึ่งวันใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงมีแรงเยอะเช่นนี้เล่า”
ฉินเหยาตอบด้วยรอยยิ้มสุภาพว่า “ข้าเกิดมามีแรงมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“โอ้~” เด็กสาวพยักหน้าแล้วสังเกตเห็นดาบและธนูของนางอีก “เจ้ายังเล่นดาบและยิงธนูได้ด้วยหรือ”
ฉินเหยาส่ายหน้าแล้วเอ่ยแก้ว่า “ไม่ใช่เล่น เป็นอาวุธสำหรับป้องกันตัวเจ้าค่ะ”
“เจ้าหมายความว่าเจ้าจะใช้อาวุธพวกนี้ป้องกันตัวหรือ” ติงเซียงไม่อยากเชื่อ นางเดินไปที่ด้านหลังของฉินเหยา มองดูอาวุธของนางอย่างละเอียดแล้วยื่นมือออกไปหมายจะสัมผัส
ฉินเหยาเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง เลี่ยงมือที่ยื่นมาอย่างอยากรู้อยากเห็นนั้น
“อาเซียง!”
นายท่านติงตวาดเสียงหนึ่งพลางส่งสัญญาณให้นางกลับมาโดยเร็ว ห้ามไม่ให้เสียมารยาท
ติงเซียงยังไม่ได้กลับมาในทันที แต่กลับถามฉินเหยาว่า “ฉินเหนียงจื่อ เจ้าเคยฆ่าโจรหรือไม่”
ฉินเหยาเพียงยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก มองนายท่านติงแวบหนึ่งโดยไม่ตอบคำถาม
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ติงเซียงจึงสรุปเอาเองว่านางไม่เคยฆ่าโจรมาก่อน นางเบะปากเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับไปหาบิดาและพี่ชาย
คุณชายติงเชิดคางขึ้น ถามฉินเหยาด้วยความหยิ่งยโสว่า “เจ้ามีฝีมืออะไรบ้าง ลองแสดงให้ดูได้หรือไม่”
คนผู้นี้ต้องอยู่คุ้มครองข้างกายน้องสาว หากไม่มีฝีมือก็ควรเปลี่ยนตัวเสียแต่เนิ่นๆ
การตัดต้นไม้ได้สิบหกต้นในหนึ่งวัน สำหรับคุณชายที่ไม่เคยสัมผัสความยากลำบากของการตัดไม้ เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ดูเก่งกาจอะไร
ฉินเหยามองไปทางนายท่านติง “คุณชายน้อยต้องการทดสอบฝีมือของข้าหรือ”
ติงซื่อไม่ได้ปิดบังความคิดของตนเองเลย เขาบอกตรงๆ ว่าเขาสงสัยว่านางไม่มีฝีมือด้านการต่อสู้
แม้นายท่านติงจะตำหนิเขาว่า “อย่าพูดจาเหลวไหล”
แต่เขาเองก็เห็นด้วยกับคำขอของลูกชาย เพราะเขาเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าฉินเหยาจะมีความสามารถน่าตกใจอะไรที่เขายังไม่รู้บ้าง
ฉินเหยาคิดว่าในเมื่อรับสมัครผู้คุ้มกัน อยากดูฝีมือของผู้สมัครก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
นางจึงเอ่ยกับพ่อบ้านว่า “สามารถเรียกผู้คุ้มกันในจวนทั้งหมดมาประลองกับข้าได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ติงเซียงและพี่ชายก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา นางบ้าบิ่นถึงเพียงนี้เลยหรือ
พ่อบ้านเองก็ใจหายวาบ แม้ว่าการเรียกคนมาจะไม่มีปัญหา แต่หากแพ้ล่ะก็นั่นจะต้องขายหน้ามากแน่
พ่อบ้านใช้สายตาเตือนฉินเหยาว่าตอนนี้ยังกลับคำได้ทัน แต่นางกลับทำเหมือนมองไม่เห็น เดินไปยืนรอที่ลานนอกห้องโถงสวนดอกไม้พลางปลดคันธนูและดาบหนักวางไว้ที่ใต้ชายคา
“มือเปล่าหรือ” ติงเซียงถามอย่างตื่นเต้น
ฉินเหยาหันไปยิ้มบางๆ ให้พลางตอบว่า “เพื่อป้องกันการบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ”
เพราะอยู่ในวันสิ้นโลกมานานจนติดนิสัยว่าหากลงมือแล้วก็จะต้องออกกระบวนท่าสังหารในทันที นางจึงกลัวว่าจะพลาดพลั้งทำร้ายผู้อื่น
ได้ พ่อบ้านไม่พูดอะไรอีก เขาเดินไปเรียกผู้คุ้มกันทั้งหมดในจวนมา
ผู้คุ้มกันทั้งหมดมีแปดคน ทุกคนล้วนมีรูปร่างสูงใหญ่ มองแค่แวบแรกก็รู้สึกถึงความน่าเกรงขาม
ในยุคนี้ การเดินทางนอกบ้านไม่ปลอดภัย นายท่านติงจึงจ้างพวกเขามาคุ้มครองตนเองและบุตรชายในการเดินทางโดยเฉพาะ
หลายปีก่อนใต้หล้าวุ่นวาย ผู้คุ้มกันแปดคนนี้รอดพ้นจากยุคโกลาหลมาได้ล้วนมีประสบการณ์การต่อสู้จริงอย่างโชกโชน
ผู้คุ้มกันที่พวกคนรวยเลี้ยงไว้ นอกจากจะกินดีจนมีร่างกายกำยำแล้ว ยังมีอาวุธและเกราะป้องกันติดตัว โจรทั่วไปเมื่อเห็นก็ต้องเลี่ยงทางไป
แต่ในเมื่อฉินเหยาไม่ได้ใช้อาวุธ พวกเขาก็จำเป็นต้องปลดอาวุธและเกราะป้องกันออกเพื่อความยุติธรรม
ผู้ฝึกยุทธ์จะสัมผัสถึงพลังรอบตัวได้ เมื่อเห็นฉินเหยา ผู้คุ้มกันทั้งแปดคนก็ไม่ได้ดูแคลนนางเพียงเพราะนางเป็นสตรี
ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างฉินเหยาทำให้พวกเขารู้สึกตื่นตัวราวกับถูกสัตว์ร้ายจับจ้อง
แม้ว่ามุมปากของนางจะยังมีรอยยิ้มบางๆ ประดับ ดูแล้วอ่อนโยนสงบนิ่งมากก็ตาม
นี่คือคนที่เชี่ยวชาญในการปกปิดตัวตนและเสแสร้งผู้หนึ่ง
ผู้คุ้มกันทั้งแปดสบตากัน ก่อนเลือกคนที่เก่งที่สุดในกลุ่มออกมาท้าสู้กับฉินเหยา
นายท่านติงและบุตรทั้งสองสังเกตเห็นปฏิกิริยาของผู้คุ้มกัน พอเห็นพวกเขาเลือกคนที่เก่งที่สุดมาสู้กับฉินเหยา ทั้งสามพ่อลูกก็หันมามองกันด้วยความประหลาดใจ
พ่อบ้านประกาศเริ่มการต่อสู้ สามพ่อลูกรีบหันไปมองที่ลานทันที
เห็นเพียงทั้งสองยืนอยู่กลางลาน เดินวนรอบลานช้าๆ อย่างเงียบงัน ดวงตาของทั้งคู่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ เตรียมพร้อมรับการโจมตี
ฉินเหยาเป็นประเภทที่ชอบโจมตีก่อน โดยเฉพาะเมื่อประเมินว่าคู่ต่อสู้อ่อนแอกว่าตน นางจะโจมตีเต็มกำลังในจังหวะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว ไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ตอบโต้
ผู้คุ้มกันรู้สึกเย็นวาบขึ้นในใจอย่างไม่มีสาเหตุ ขณะที่ยังไม่ทันเข้าใจว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น หญิงสาวตรงหน้าก็พุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็วราวกับเสือดาว
ตึง! เสียงหมัดกระทบเนื้อดังสะท้อนในลาน จากนั้นเงาร่างของทั้งสองคนก็พุ่งเข้าปะทะกันก่อนจะล้มลงกับพื้นเสียงดัง
การต่อสู้จบลงภายในหนึ่งวินาที ฉินเหยาลุกขึ้นยืนและถอยไปยืนด้านข้าง
ส่วนผู้คุ้มกันร่างสูงใหญ่กำยำกลับนอนอยู่บนพื้น แขนขาเหยียดออก อยู่ในสภาพหมดสติ
ยามนี้ ต่อให้ฟันเขาด้วยดาบ เขาก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
เพราะเมื่อครู่ ฉินเหยาออกกระบวนท่าครั้งแรกก็โจมตีเข้าที่กระดูกสันหลังบริเวณข้างลำคอของเขา
บริเวณนี้เปราะบางมาก อีกทั้งแรงของนางก็เหนือกว่าคนทั่วไป การโจมตีเพียงครั้งเดียว แม้ว่านางจะยั้งแรงแล้วก็ยังทำให้อีกฝ่ายหมดสติไปชั่วคราว
หากเป็นการต่อสู้จริง ตอนนี้อีกฝ่ายคงตายไปนานแล้ว
การฆ่าคนด้วยหมัดเดียว สำหรับฉินเหยาแล้วเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเห็นผู้คุ้มกันยังไม่ลุกขึ้น คนที่เหลืออีกเจ็ดคนจึงรีบเข้าไปตรวจดู อุ้มตัวเขาขึ้น ตบหน้าเบาๆ และกดจุดใต้จมูก จนกระทั่งเขาลืมตาขึ้นมาช้าๆ ในสภาพมึนงง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แค่เพียงว่าบริเวณคอเจ็บ เจ็บมาก
“ซี๊ด!” เขาทนไม่ไหว กุมศีรษะตนเองแล้วขดตัวอยู่กับพื้น ใช้เวลาพักใหญ่ถึงจะฟื้นตัวแล้วลุกขึ้นมองฉินเหยาด้วยสายตาหวาดกลัว
นางเร็วเกินไปแล้ว!
อีกทั้งเรี่ยวแรงของนางก็มีมากกว่าคนทั่วไป แม้รวมแรงของพวกเขาทั้งแปดคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
“จะลองอีกไหม” ฉินเหยาถามพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนนั้นซ่อนเจตจำนงแห่งการต่อสู้อันรุนแรงเอาไว้
มีคนหนึ่งที่อยากลองดู แต่ผู้คุ้มกันที่เพิ่งโดนฉินเหยาล้มเมื่อครู่รีบดึงเขากลับมา
เขาประสานหมัดขึ้นคำนับฉินเหยา “ขอบคุณแม่นางที่ออมมือ พวกเรายอมรับแล้ว แม่นางร้ายกาจจริงๆ!”
ประโยคหลังนี้ เขาพูดเพื่อให้นายท่านติงและบุตรทั้งสองได้ยิน
สามพ่อลูกต่างพากันงุนงง เพราะแทบไม่ได้เห็นกระบวนท่าอะไรเลย การต่อสู้ก็จบลงอย่างรวดเร็วแล้ว
ทำไมถึงต่างจากการประลองกับยอดฝีมือในจินตนาการอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้เล่า
อย่างไรก็ตาม นายท่านติงรู้ถึงฝีมือของหัวหน้าผู้คุ้มกันดี ในบรรดาผู้คุ้มกันทั้งแปดคน เขาเก่งที่สุดทั้งด้านพละกำลังและทักษะการต่อสู้ หากคนเช่นนี้ยอมรับฉินเหยาก็แสดงว่านางเก่งจริง
อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ไม่ต้องกังขาเลยก็คือ เรี่ยวแรงของนางนั้นเยอะมาก
ฉินเหยาหันมามองและถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายน้อยพอใจหรือไม่”
ติงซื่อแค่นเสียงในลำคอ ก่อนหมุนตัวเดินจากไป ถือว่าฝืนใจยอมให้นางเป็นผู้คุ้มกันของน้องสาวตนเองแล้ว