ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 78 เจ้าหนู เจ้าหนู
ครานี้ฉินเหยาได้พักอยู่ที่จวนติงแล้ว
พ่อบ้านจัดห้องข้างเรือนของคุณหนูติงให้นางพักห้องหนึ่ง
ห้องไม่ใหญ่นัก มีเพียงเตียงเล็กหนึ่งเตียงและชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้สีดำสนิท หน้าต่างเปิดไว้เล็กน้อย ห้องจึงค่อนข้างมืด แต่ด้านในก็ได้รับการทำความสะอาดเรียบร้อยดี ที่นอนผ้าห่มก็ถูกซักเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
แม้จะเป็นห้องของคนรับใช้ แต่ก็ยังดีกว่าห้องนอนใหญ่ในบ้านของชาวบ้านทั่วไป ขนาดกำลังพอดีกับการอยู่คนเดียว
ห้องข้างนี้อยู่ติดกับห้องนอนของคุณหนูติง หากตะโกนจากในห้องฝั่งนั้น นางจะได้ยินทันทีเพราะห้องไม่ได้เก็บเสียง
เรือนของคุณหนูติงไม่ใหญ่มาก ในเรือนมีคนรับใช้ทั้งหมดสี่คน
คนหนึ่งคือเฉียวกูกู ผู้ดูแลเรือนที่เป็นเหมือนหัวหน้าของเรือนนี้ เป็นอดีตสาวใช้ข้างกายที่แต่งเข้ามาพร้อมฮูหยินติง ในเรือนนี้หากไม่นับคุณหนูติง นางคือผู้มีอำนาจมากที่สุด
เฉียวกูกูมีสาวใช้สองคน คนหนึ่งชื่อเฉ่าเอ๋อร์ รับผิดชอบงานทำความสะอาดในเรือน
อีกคนชื่อโต้วเอ๋อร์ เป็นสาวใช้ข้างกายของคุณหนูติง คอยดูแลเรื่องอาหารการกินและกิจวัตรประจำวันของนาง
ส่วนอีกคนคือบ่าวรับใช้ชายชื่อจางปา ปกติรับหน้าที่เป็นคนรับใช้ทั่วไป เฝ้าประตูและทำหน้าที่เป็นสารถีเวลาคุณหนูติงออกไปข้างนอก
ฉินเหยาไม่เหมือนพวกนาง เพราะนางเป็นชาวบ้านธรรมดา ในขณะที่คนรับใช้ทั้งสี่คนนี้มีสถานะเป็นชนชั้นต่ำหรือก็คือทาส
ในทางทฤษฎี นายจ้างมีอำนาจควบคุมชีวิตและสิทธิ์การซื้อขายของพวกเขาอย่างสมบูรณ์
แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็กำหนดไว้ว่านายจ้างไม่อาจฆ่าทาสได้ตามอำเภอใจ สิทธิ์ในความปลอดภัยในชีวิตมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่มาก
ครอบครัวติงมีความประพฤติซื่อตรง ไม่เคยมีเรื่องกดขี่ข่มเหงคนรับใช้ การดูแลปฏิบัติต่อพวกเขาถือว่าดีกว่าเกณฑ์ทั่วไป หากทำงานให้ดีก็สามารถอยู่ในจวนอย่างสงบสุขไปจนสิ้นชีวิตได้
ฉินเหยาพอทราบข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับต้นทุนการใช้แรงงานในแคว้นเซิ่ง การซื้อทาสหนึ่งคนต้องใช้เงินประมาณยี่สิบสามสิบตำลึงและเมื่อคนเหล่านั้นมาอยู่ในจวนก็ยังต้องให้ค่าจ้างรายเดือน อีกทั้งค่าอาหาร เสื้อผ้าและที่พักตลอดทั้งปี ซึ่งล้วนเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อย
หากนายจ้างกดขี่ทาสมากเกินไป ทาสก็อาจหลบหนีซึ่งจะทำให้นายจ้างเสียหายทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น จำนวนคนรับใช้ในครอบครัวหนึ่งก็สามารถบ่งบอกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของบ้านหลังนั้นได้คร่าวๆ
ในจวนติงมีคนรับใช้และผู้คุ้มกันราวยี่สิบสามสิบคน การเลี้ยงดูคนจำนวนมากเช่นนี้ ยังต้องรักษาความสมบูรณ์ของจวนพร้อมค่าใช้จ่ายประจำวัน สำหรับฉินเหยาที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ตัวเลขเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากจำนวนเงินมหาศาล
ฉินเหยารู้สึกสงสัยว่า เป็นคนเหมือนกันแท้ๆ แต่เหตุใดคหบดีติงกลับสามารถหาเงินได้มากมายเช่นนี้
ประการแรก บิดา ปู่ และบรรพบุรุษของเขาล้วนเป็นคนร่ำรวย อีกทั้งในตระกูลไม่มีใครเป็นคนใช้เงินฟุ่มเฟือย ความมั่งคั่งที่สั่งสมมาหลายรุ่นได้วางรากฐานที่มั่นคงให้แก่นายท่านติง
ประการที่สอง นายท่านติงเป็นคนที่มีชื่อเสียง เขาสอบเป็นซิ่วไฉได้ตั้งแต่อายุสิบเก้าปี
ซิ่วไฉสามารถได้รับการยกเว้นแรงงานเกณฑ์และภาษี นี่เป็นการช่วยสร้างหลักประกันให้กับการสั่งสมความมั่งคั่ง
เมื่ออายุสามสิบเอ็ดปี เขาสอบได้เป็นจวี่เหริน ญาติสายตรงทั้งหมดจึงได้รับการยกเว้นภาษี ดังนั้นที่ดินของคนในตระกูลติงจึงถูกบันทึกไว้ในชื่อของเขา นอกจากนี้ยังมีคนอีกจำนวนมากที่นำที่ดินมาลงทะเบียนในชื่อของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
คนเหล่านี้ต้องมอบผลผลิตส่วนหนึ่งให้กับนายท่านติงทุกปีซึ่งได้กลายเป็นห่วงโซ่เศรษฐกิจที่มั่นคง
สุดท้าย เนื่องจากเขามีตำแหน่ง นายท่านติงจึงได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ ที่ทางราชสำนักในยุคนี้มอบให้แก่ผู้มีความรู้และเขาก็ใช้สิทธิพิเศษเหล่านี้ผลักดันการพัฒนาของตระกูลจนกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่นี้
พ่อบ้านอวี๋บอกว่า ตระกูลติงไม่ได้มีเพียงนายท่านติงที่เป็นผู้มีความรู้ และไม่ได้มีเพียงเขาที่เป็นจวี่เหริน แต่ยังมีญาติสายเดียวกันที่รับราชการในเมืองหลวงด้วย
แต่นั่นเป็นสายตระกูลหลัก ส่วนพวกเขาเป็นสายตระกูลรองที่ผ่านการสืบทอดมาหลายรุ่นแล้วจึงไม่มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสายหลักอีกต่อไป
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนก็ยังอยู่ในตระกูลเดียวกัน แม้แต่เรื่องการเรียนหนังสือก็ยังสะดวกกว่าคนอื่น
อาจารย์ผู้สอนในสำนักศึกษาของอำเภอไคหยางก็มาจากตระกูลติง
ลูกหลานตระกูลติง ตั้งแต่เกิดมาก็สามารถเข้าถึงการเรียนหนังสือและข้อมูลเกี่ยวกับการสอบเคอจวี่ได้เร็วกว่าผู้อื่น
ครั้งนี้ นายท่านติงจึงลงทุนสร้างสำนักศึกษาของตระกูลเพื่ออำนวยความสะดวกให้เด็กเล็กในตระกูลได้เรียนหนังสือ
เมื่อมองกลับมาที่ครอบครัวของฉินเหยา นางไม่มีแม้แต่หนังสือเริ่มต้น ทุกคนรู้ว่าการเรียนหนังสือเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่รู้เลยว่ามันดีอย่างไร
ทว่า เส้นทางการสอบเคอจวี่ที่เป็นหนทางสู่ความก้าวหน้านี้กลับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉินเหยาเลย
เพราะเส้นทางนี้มีไว้สำหรับบุรุษเท่านั้น สตรีไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะเข้าสำนักศึกษา
มันช่าง…น่าหงุดหงิดนัก!
ฉินเหยาวักน้ำใส่ฝ่ามือขึ้นมาลูบใบหน้า จากนั้นก้มมองใบหน้าที่สะท้อนในอ่างทองแดง
ใบหน้ารูปไข่ตามมาตรฐานสามส่วนห้าองค์ประกอบ แม้จะสวมเสื้อผ้าหยาบกระด้าง ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่านางเป็นคนสวย
เพราะตัวตนข้างในเปลี่ยนไป ดวงตาที่เคยดูอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกกลับเผยให้เห็นประกายคมกริบชวนให้คนที่มองรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น
สายตาเช่นนี้พบได้ยากในสตรีของแคว้นเซิ่ง เพราะพวกนางส่วนใหญ่จะมีท่าทางสงบเสงี่ยมและเก็บตัว
หรือไม่ก็เหมือนคุณหนูตระกูลติงที่ดูสดใสและอยากรู้อยากเห็น ดั่งน้ำพุใสสะอาดที่มองลงไปก็เห็นก้นบ่อ
นายท่านติงสองพ่อลูกออกเดินทางไปยังจังหวัดจื่อจิงตั้งแต่เช้าเมื่อวาน จวนติงที่เคยคึกคักจึงดูเงียบเหงาไปกว่าครึ่ง
สองวันที่ผ่านมา ฉินเหยาก็เริ่มคุ้นชินกับหน้าที่ของตน นอกจากกินข้าว นอนและเข้าห้องน้ำ นางก็แค่ยืนเฝ้าประตูห้องของคุณหนูติงเหมือนเทพเฝ้าประตูเท่านั้น
หากคุณหนูติงออกจากเรือน ฉินเหยาจะรักษาระยะห่างหนึ่งเมตรและคอยตามปกป้องนางก็พอ
งานอื่นนางไม่ต้องทำเลยเพราะมีคนจัดเตรียมอาหารให้นางและเรียกให้นางมากินข้าวตรงเวลา
เนื่องจากผู้คุ้มกันส่วนตัวไม่อาจห่างจากผู้ที่ต้องปกป้องได้ ฉินเหยาจึงมักนั่งยองๆ กินข้าวอยู่หน้าประตูห้องของคุณหนูติง
พอนั่งจนเมื่อยแล้ว นางก็ลุกขึ้นไปยืนพิงเสาที่ระเบียงและกินข้าวต่อ
เวลานางกินข้าวชวนให้คนตกใจมาก เฉียวกูกู โต้วเอ๋อร์และเฉ่าเอ๋อร์เห็นเพียงสองครั้งก็ไม่อยากมองอีก และถึงกับห้ามไม่ให้คุณหนูติงดู เพราะมันดูหยาบคายเกินไป!
หากคุณหนูน้อยไปเห็นเข้า นายท่านคงจะโกรธจนตีพวกนางตายแน่
เมื่อครั้งฉินเหยาฝึกทหารสมัยมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ล้วนกลัวการยืนตรงนานๆ แต่ฉินเหยาไม่เหมือนคนอื่น นางเกลียดการขยับตัวและชอบการยืนตรงมากที่สุด เพราะมันทำให้นางสามารถปล่อยความคิดล่องลอยไปอย่างอิสระได้
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ฉินเหยาก็จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อย สะพายธนูและเดินมายืนประจำหน้าประตูห้องข้างๆ
ฟ้าเพิ่งสาง ภายในห้องยังมีแสงจากเทียนส่องอยู่ คุณหนูติงตื่นเช้าตามปกติเพื่ออ่านหนังสือ ตอนนี้นางกำลังล้างหน้าแต่งตัวโดยมีโต้วเอ๋อร์และเฉียวกูกูคอยปรนนิบัติ
เมื่อนางแต่งกายเรียบร้อยแล้ว นางก็กินข้าวต้มปลาไปครึ่งชาม จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะใกล้หน้าต่าง เปิดตำราซือจิงขึ้นมาอ่านในยามเช้า
“เจ้าหนู เจ้าหนู อย่ากินข้าวฟ่างของข้า!”
“สามปีที่ข้าคอยมอบสิ่งดีๆ ให้เจ้า แต่เจ้ากลับไม่ตอบแทนคุณข้าเลย”
“ข้าจะละทิ้งเจ้าไป สู่ดินแดนอันรื่นรมย์”
“ดินแดนอันรื่นรมย์ ดินแดนอันรื่นรมย์ ที่ที่ข้าพึงปรารถนา”
เสียงอ่านหนังสือของเด็กสาวเต็มไปด้วยจังหวะที่ไพเราะ ฉินเหยาฟังแล้วรู้สึกว่าน่ารักมาก จนอดไม่ได้ที่จะอ่านตามเบาๆ
“เจ้าหนู เจ้าหนู อย่ากินข้าวสาลีของข้า!”
“สามปีที่ข้าคอยมอบสิ่งดีๆ ให้เจ้า แต่เจ้ากลับไม่ตอบแทนคุณข้าเลย”
“ข้าจะละทิ้งเจ้าไป สู่ดินแดนอันรื่นรมย์”
“ดินแดนอันรื่นรมย์ ดินแดนอันรื่นรมย์ ที่ที่ข้าพึงปรารถนา”
เด็กสาวในห้องชะโงกหัวเล็กๆ ออกมาจากหน้าต่างด้วยความสงสัย “เจ้าก็อ่านหนังสือออกด้วยหรือ?!”
เสียงอ่านเบาๆ ที่ระเบียงหยุดลง ฉินเหยาหันไปมอง คุณหนูติงวางมือลงที่ขอบหน้าต่าง โน้มตัวออกมาเผยใบหน้าขาวใสน่ารักและถามอย่างตื่นเต้นว่า “เจ้าก็ชอบบทกวีเจ้าหนูบทนี้เหมือนกันหรือ”
ฉินเหยาส่ายหน้า “ข้าแค่รู้สึกว่าคุณหนูอ่านได้อย่างน่าสนใจ เลยเผลอท่องตามไม่กี่ประโยคเจ้าค่ะ”
เพราะทุกเช้าบทแรกที่คุณหนูอ่านคือ ‘เจ้าหนู’ นางเลยบังเอิญจดจำมันได้