ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 79 นิยายจักรพรรดินี
“เช่นนั้นข้าสอนเจ้าอ่านหนังสือดีหรือไม่”
เด็กสาวที่อยู่บนขอบหน้าต่างเหมือนพบเจอเรื่องสนุกใหม่จึงมองฉินเหยาด้วยความคาดหวัง
โต้วเอ๋อร์ที่กำลังรับใช้อยู่ในห้องมองมาด้วยความตกใจ
เมื่อเห็นฉินเหยาเดินเข้ามาจริงๆ เฉียวกูกูจึงขมวดคิ้วแน่น รู้สึกว่าไม่เหมาะสม “คุณหนู เช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะเจ้าคะ”
คุณหนูติงดูเหมือนจะไร้เดียงสา แต่ที่จริงไม่ได้โง่ นางเป็นนาย เฉียวกูกูไม่มีสิทธิ์ขัดการตัดสินใจของนาง
นางเบะปากเหมือนเด็กพร้อมพูดกับเฉียวกูกูว่า “ข้าอ่านหนังสือคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ปกติเรียกเจ้าและโต้วเอ๋อร์ให้มาอ่านทีไรก็เป็นต้องร้องขอชีวิต วันนี้ข้าอยากเป็นอาจารย์บ้าง มีคนอยากเป็นนักเรียนทั้งที อย่ามายุ่งกับข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธแล้วนะ!”
เฉียวกูกูก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม “บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ”
“หากไม่กล้าก็ถอยออกไปสิ” คุณหนูติงแค่นเสียงพลางทำท่าทางเอาแต่ใจอย่างเด็กน้อย
เฉียวกูกูกำชับโต้วเอ๋อร์ให้ดูแลคุณหนูให้ดี ก่อนเดินออกไป
คุณหนูติงชี้ไปที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะหนังสือด้วยความกระตือรือร้น บอกให้ฉินเหยานั่งลงแล้วหยิบหนังสือขึ้นมา ถามว่านางอยากอ่านไปพร้อมกันไหม
“ได้เจ้าค่ะ” ฉินเหยาพูดพร้อมรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปรับ
บนชั้นหนังสือด้านหลังคุณหนูติงมีหนังสือเต็มไปหมด ตั้งแต่หนังสือภาพสำหรับปูพื้นฐานไปจนถึงสี่ตำราห้าคัมภีร์ ประวัติศาสตร์ บันทึกและหนังสือท่องเที่ยว มีครบทุกประเภท
หากคุณหนูติงไม่เรียกให้นางเข้ามา ฉินเหยาคงไม่รู้ว่าในห้องมีหนังสือมากมายเช่นนี้
หากอยากเรียนรู้โลกใหม่ หนังสือคือช่องทางที่สะดวกที่สุด ฉินเหยารู้ว่าการได้รับโอกาสเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเป็นนักเรียนสักครั้งจะเป็นไรไป
ในยุคที่ความรู้ถูกผูกขาดเช่นนี้ หากนางไม่ได้มาทำงานเป็นผู้คุ้มกันที่บ้านตระกูลติง เกรงว่านางคงไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับหนังสือด้วยซ้ำ
ในเมืองอำเภอไคหยางมีร้านหนังสือ แต่มีเพียงนักเรียนที่เข้าเรียนในสำนักศึกษาหรือผู้ที่มีตำแหน่งทางวิชาการเท่านั้นถึงสามารถเข้าไปได้
ดังนั้น เพียงแค่รับจ้างคัดลอกหนังสือก็สามารถทำให้นักเรียนยากจนคนหนึ่งหาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว
แต่ถึงแม้จะเป็นหนังสือที่คัดลอกมา คนธรรมดาก็ยังไม่อาจหาซื้อได้
ก่อนหน้านี้ ฉินเหยาเคยไปตัวเมืองสองครั้ง แต่นางทำได้แค่มองร้านหนังสือจากหน้าประตู หนังสือ สามอักษรสำหรับปูพื้นฐานเพียงเล่มเดียวก็ขายถึงแปดเฉียน ใครเล่าจะกล้าซื้อ?
บางทีเด็กๆ อาจจะชอบเล่นบทบาทสมมุติกัน
เพราะฉินเหยาเป็นนักเรียนที่สอนแล้วคนสอนรู้สึกประสบความสำเร็จ คุณหนูติงจึงหลงรักการเป็นอาจารย์เข้าแล้ว
เดิมทีฉินเหยาก็มีพื้นฐานจากเจ้าของร่างเดิมอยู่แล้ว ตัวอักษรที่ใช้บ่อยนางก็รู้จัก รวมกับความรู้ที่มีอยู่แล้วของตัวเอง คัมภีร์ซือจิงที่คุณหนูติงหยิบมาให้จึงไม่มีความยากสำหรับนางเลย
หลังจากเรียนเพียงสองวัน พวกนางก็อ่านบทกวีทั้งสามร้อยบทในคัมภัร์ซือจิงจนจบแล้ว
คุณหนูติงตื่นเต้นมาก คิดว่าตนเองได้สร้างอัจฉริยะผู้หนึ่งขึ้นมา
วันนี้ คนหนึ่งนั่งในห้องรับประทานอาหารกลางวันอย่างสง่างาม อีกคนหนึ่งนั่งที่ม้านั่งเล็กๆ หน้าประตู กินข้าวจากชามใหญ่คำโต
คุณหนูติงได้ยินเสียงเคลื่อนไหวหน้าประตูก็พลันรู้สึกสนใจ
เพราะคิดว่าบิดาและพี่ชายไม่อยู่บ้าน ต่อให้เสียมารยาทบ้างก็ไม่เป็นไร นางไม่สนใจสีหน้าไม่พอใจของเฉียวกูกู ถือชามข้าวลายครามออกมาข้างนอก
โต้วเอ๋อร์วางม้านั่งปักลายลงข้างๆ ฉินเหยา คุณหนูติงจึงนั่งลง
หนึ่งคนตัวโต หนึ่งคนตัวเล็กมองหน้ากันพลางส่งยิ้มให้กัน นั่งมองฟ้าสีครามด้านบนระหว่างกินข้าว
หลังจากกินข้าวเสร็จ คุณหนูติงก็ถามด้วยความคาดหวังว่า “ฉินเหนียงจื่อ วันนี้เจ้าอยากอ่านหนังสืออะไร”
ฉินเหยาชี้ไปที่ชั้นหนังสือในห้อง คุณหนูติงจึงพานางเข้าไปข้างในอย่างใจกว้างและให้นางเลือกหนังสือตามใจชอบ
ฉินเหยายืนสำรวจรอบชั้นหนังสือ นอกจากสี่ตำราห้าคัมภีร์ที่นางรู้จักแล้ว หนังสือประเภทบันทึกและเรื่องเล่าการเดินทางอื่นๆ ล้วนน่าสนใจทั้งหมด
แต่ก็ไม่รีบร้อน เพราะยังมีเวลา ฉินเหยาจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูเหมือนนิยายประวัติศาสตร์ลับแบบแต่งขึ้นเอง ชื่อว่า ‘ประวัติศาสตร์ลับแห่งวังหลัง’ ขึ้นมา
หนังสือยังดูใหม่เอี่ยม ปกไม่มีรอยยับเลยและวางอยู่ที่มุมของชั้นหนังสือ
ทันทีที่เห็นฉินเหยาหยิบหนังสือเล่มนี้ออกมา คุณหนูติงก็ร้อง “อ๊า!” ด้วยความตกใจแล้วรีบมองไปทางห้องโถงใหญ่เพื่อดูว่าเฉียวกูกูอยู่หรือไม่
เมื่อไม่เห็นใคร นางจึงโล่งใจ และไม่ต้องกังวลเรื่องโต้วเอ๋อร์ เพราะนางอ่านหนังสือไม่ออก
“เหตุใดเจ้าถึงเลือกเล่มนี้”
คุณหนูติงโบกมือเรียกฉินเหยาให้มายืนที่ข้างหน้าต่างและคอยจับตาดูประตูใหญ่ตลอดเวลา นางมีท่าทางลับๆ ล่อๆ คล้ายขโมยทั้งยังมองฉินเหยาอย่างเขินอาย
ฉินเหยามองชื่อหนังสือแล้วถามเบาๆ “หนังสือต้องห้ามหรือเจ้าคะ”
คุณหนูติงทำหน้าประมาณว่ารู้อยู่แล้วนี่ แต่กลับไม่ได้บอกให้ฉินเหยาวางคืน เพราะนางเองก็อยากอ่านเช่นกัน
“ข้าให้พี่ชายแอบซื้อมาให้ ข้าชอบอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ลับ แต่ไม่อาจให้ท่านพ่อรู้ได้เด็ดขาด หากท่านพ่อรู้เข้าต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่!”
ท่านพ่ออาจจะพูดว่า เด็กสาวจะอ่านของสกปรกเช่นนี้ได้อย่างไร มันทำลายชื่อเสียงของตระกูลและพูดอะไรที่รุนแรงกว่านั้น
ฉินเหยาร้อง “ชู่ว์” พร้อมหลอกล่อเด็กน้อย “เรื่องนี้มีแค่ท่านรู้ ข้ารู้ ฟ้ารู้ ดินรู้ จะไม่มีคนที่สามล่วงรู้แน่นอน”
“ไม่ใช่ ต้องเป็นคนที่สี่” คุณหนูติงแก้เบาๆ “พี่ชายข้าก็รู้นะ”
ทั้งสองมองหน้ากัน แววตาของคุณหนูติงเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นจนเก็บไม่อยู่ เมื่อเห็นฉินเหยายังไม่เปิดอ่านจึงอดไม่ได้ที่จะเร่ง “เจ้าลองอ่านก่อนแล้วบอกข้าด้วยว่ามันเป็นอย่างไร”
หากมีอะไรที่ไม่ควรอ่านก็อย่าพูดออกมาเด็ดขาด
ฉินเหยามองคุณหนูติงที่มีท่าทางอยากอ่านแต่ก็กลัว นางรู้สึกขำเล็กน้อย ใจนึกสงสัย หรือว่าหนังสือเล่มนี้จะมีเนื้อหาที่จัดจ้านหรือ
จุ๊ๆ แค่คิดก็อดตื่นเต้นเล็กๆ ไม่ได้
ฉินเหยาเปิดหนังสือด้วยท่าทีสงบนิ่ง เพิ่งจะอ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด คุณหนูติงก็ถามขึ้นว่า
“เขียนเป็นอย่างไรบ้าง สนุกหรือเปล่า”
“คุณหนู ข้าเพิ่งเริ่มอ่านเองเจ้าค่ะ” ฉินเหยาพูดด้วยความจนใจพร้อมส่งสัญญาณให้นางรอก่อน
“ก็ได้ งั้นข้าไปคอยดูต้นทางให้ เจ้าลองอ่านก่อน หากอ่านจบแล้วก็มาบอกข้าด้วย” คุณหนูติงสั่ง
ฉินเหยาพยักหน้า แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่จะขี้กลัวเกินไปหน่อยไหม แค่หนังสือเล่มเดียวเอง จะมีอะไร…
มีอะไรจริงๆ ด้วย!
แต่กลับไม่ใช่เรื่องราวความรักโลดโผนของพระสนมหรือฮ่องเต้ หากแต่เป็นเรื่องที่มีเนื้อหาจริงจังและสมบูรณ์แบบ
เนื้อเรื่องในหนังสือใช้ชื่อปลอม แต่คนที่สายตาเฉียบแหลมแค่อ่านก็รู้ได้ทันทีว่าเนื้อเรื่องกล่าวถึงประวัติศาสตร์การสร้างแคว้นขององค์จักรพรรดิและจักรพรรดินี
ต่างจากเรื่องราวทั่วไปที่มักเล่าว่าสามีนำภรรยาตาม ในหนังสือเล่มนี้ ฮองเฮากลับเป็นสตรีมหัศจรรย์ที่กล้าหาญและมากปัญญา
ระหว่างเส้นทางการสร้างแคว้นของทั้งคู่ ทุกช่วงเวลาสำคัญล้วนมีบทบาทของฮองเฮา
ในช่วงแรกที่เริ่มต้นสร้างแคว้น เหล่าขุนนางในแต่ละพื้นที่ก่อกบฏกันอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางยุคแห่งความวุ่นวาย ฮองเฮาซึ่งยังเป็นบุตรีจากตระกูลขุนนางผู้มั่งคั่งได้ช่วยชีวิตฮ่องเต้ซึ่งในขณะนั้นเป็นเพียงบุตรชายอนุจากตระกูลที่ล่มสลาย นางมอบเงิน เสบียง และม้าให้แก่เขา ช่วยให้เขาแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลมาได้สำเร็จ
ต่อมาทั้งสองตระกูลสมรสกัน ผนึกกำลังจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งภูมิภาค
ในขณะที่ฮ่องเต้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลในตอนนั้นพึงพอใจกับความสำเร็จนี้ เขาเริ่มใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อในฐานะชนชั้นสูง
เป็นฮองเฮาที่ออกหน้านำแผนภาพกลุ่มอิทธิพลของขุนนางในแต่ละพื้นที่มาวางต่อหน้าฮ่องเต้ และวิเคราะห์สถานการณ์ของแผ่นดินในตอนนั้นให้เขาฟังตลอดสามวันสามคืน ทำให้เขาเห็นภาพใหญ่และเป้าหมายจนเป็นจุดเริ่มต้นของการรวบรวมแผ่นดินเพื่อคืนความสงบสุขให้แก่ประชาชน
หลังจากนั้น ฮองเฮาได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพ นำกองทัพห้าหมื่นนาย บุกจากดินแดนทางเหนือไปยังเขตมณฑลในภาคกลาง กวาดล้างนครหลวงเก่าและสร้างแผ่นดินครึ่งหนึ่งให้ฮ่องเต้ นี่กลายเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับชัยชนะของแคว้นเซิ่งในภายหลัง
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ฉินเหยารู้สึกเหมือนฮองเฮากำลังจะประกาศตั้งตนเป็นกษัตรีย์เอง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป ฮองเฮาซึ่งยึดนครหลวงเก่าได้แล้วกลับไม่ได้ฉวยโอกาสเดินหน้าต่อ
เพราะอคติที่มีต่อสตรีฝังรากลึกและเหล่าที่ปรึกษาของฮ่องเต้ก็กลัวว่าฮองเฮาจะยึดอำนาจ พวกเขาจึงทั้งกดดันและยุยงให้ฮ่องเต้ประกาศตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก่อน
ผู้เขียนในหนังสือแสดงความเสียดายต่อเรื่องนี้ แต่โชคดีที่ทั้งสองเป็นคู่รักที่มีความผูกพันลึกซึ้งตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งสองยังคงรักใคร่กันดี หลังจากฮ่องเต้ขึ้นเป็นกษัตริย์ก็ไม่ได้เรียกคืนอำนาจทางทหารของฮองเฮากลับคืน รักษาความสมดุลที่ละเอียดอ่อนนี้เอาไว้
หลังจากนั้น ทั้งสองสามีภรรยาก็ร่วมมือกันกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียไปจนสามารถสถาปนาแคว้นเซิ่งได้สำเร็จ ถือเป็นบทสรุปที่สมบูรณ์
ตอนท้ายของหนังสือ กล่าวถึงการแบ่งอำนาจของฮองเฮาและองค์หญิงที่ต้องการเป็นองค์หญิงรัชทายาท การแข่งขันชิงอำนาจกับพี่ชายน้องชาย แต่ไม่ได้เปิดเผยว่าใครจะได้เป็นองค์รัชทายาทในท้ายสุด ปล่อยให้เป็นปริศนาน่าติดตาม