ทะลุมิติมาเป็นแม่เลี้ยง ข้าพลิกฟื้นทั้งครอบครัว - ตอนที่ 81 แลกเปลี่ยน
ฉินเหยายังกังวลอยู่ว่าในระหว่างหนึ่งเดือนที่นางทำงานจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
เพราะหากนางรับเงินสองตำลึงไปโดยที่ไม่ได้ทำอะไร นายท่านติงคงรู้สึกไม่ดี คิดว่านางรับเงินมากขนาดนี้ไปเปล่าๆ
แต่ตอนนี้ นางไม่ต้องกังวลเรื่องนี้แล้ว
ทุกคนในจวนล้วนหลับสนิท ฉินเหยาอยู่ในห้องข้างยังได้ยินเสียงโต้วเอ๋อร์กรนดังมาจากข้างห้อง
จวนติงทิ้งผู้คุ้มกันไว้เพียงสองคน ในเรือนชั้นในส่วนที่สองมีคลังเก็บของอยู่ ดังนั้นจึงให้คนหนึ่งเฝ้าที่นั่น
ส่วนอีกคนเฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนของคุณหนูติง แต่เหมือนนางจะไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวด้านนอกเรือนเลย
ฉินเหยาหยิบดาบขึ้นมาเปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบาแล้วเดินมาที่ระเบียงอย่างเงียบเชียบพลางหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง
ตอนแรกคิดว่าหัวขโมยผู้นั้นคงจะปีนกำแพงเข้ามาในเรือนหลัง แต่ผิดคาด เงาดำๆ บนกำแพงกลับมุ่งหน้าไปยังเรือนชั้นในส่วนที่สองแทน
จุดประสงค์ชัดเจนมากคือต้องการจะปล้นทรัพย์
ฉินเหยาซ่อนตัวอยู่ในเงามืด คนร้ายไม่สังเกตเห็นนางเลยแม้แต่น้อย สายตาของมันกวาดมองผ่านเรือนด้านในและมองข้ามนางไปอย่างไม่ทันสังเกต
การทำเรื่องแบบนี้มักจะมีคู่หู ฉินเหยาเห็นคนร้ายปีนเข้าไปในเรือนชั้นในส่วนที่สองจึงเดินออกมาจากเงามืดใต้ระเบียง ก้าวเบาๆ มือตะปบชายคาแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคาอย่างเงียบกริบ
เมื่อยืนอยู่บนที่สูง นางก็มองเห็นไม้ท่อนหนึ่งวางพาดอยู่บนกำแพงหลังบ้านได้ทันที
หัวขโมยคนก่อนหน้านี้ปีนขึ้นกำแพงจวนโดยใช้ไม้ท่อนขนาดเท่าแขนของผู้ใหญ่พาดเป็นสะพาน และค่อยๆ คลานไปบนกำแพงราวกับแมว ก่อนมุ่งหน้าเข้าไปยังเรือนชั้นในส่วนที่สอง
ที่ฐานกำแพงด้านล่างยังมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ เขามองรอบด้าน สีหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
ด้วยความมืดจึงมองหน้าไม่ชัด แต่จากรูปร่างที่สูงผอม คาดว่าเขาน่าจะเป็นชายหนุ่มผอมสูงอายุราวยี่สิบต้นๆ
ฉินเหยากระโดดลงมาจากกำแพงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาโดยไม่ให้ตั้งตัว คนผู้นี้จิตใจอ่อนแอเกินไปจึงร้องเสียงต่ำออกมาด้วยความตกใจ เพียงเสียงแผ่วเบานี้ทำให้ผู้คุ้มกันในจวนสะดุ้งตื่นและตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “ใครน่ะ?!”
ชัดเจนว่าเพื่อนขโมยของเขาที่อยู่เรือนด้านในถูกพบตัวเข้าเสียแล้ว
ส่วนชายที่อยู่ตรงหน้าฉินเหยาก็ชักเท้าพยายามวิ่งหนีไป แต่ฉินเหยาใช้สันดาบฟาดออกไปทำให้เขาล้มลงกับพื้นในพริบตา
ฉินเหยาก้าวสองก้าวเข้าไปประชิด ใช้มือฟาดเข้าที่ต้นคอด้านหลังทำให้เขาหมดสติไปในทันที
นางหยิบดาบขึ้นมาแล้วเหวี่ยงดาบไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็วราวกับมีตาอยู่ที่หลัง
“อ๊ากกก!!!”
เสียงร้องโหยหวนดังมาจากบนกำแพง หัวขโมยที่โดนผู้คุ้มกันเจอตัวแล้วพยายามหนีโดนฟันลงไปดาบหนึ่ง บนต้นขามีดาบส่องประกายเล่มหนึ่งปักอยู่ เลือดสดๆ ไหลออกมาเป็นทาง
เมื่อเห็นดาบเล่มนั้น จางปาและผู้คุ้มกันที่เพิ่งตื่นเต็มตาก็เข้าใจทันทีว่าใครกันที่ฟันขโมยลงมาจากกำแพง
“ฉินเหนียงจื่อ!” จางปาตะโกนเรียกนางจากลานด้านใน
ฉินเหยาตอบรับพร้อมลากหัวขโมยที่ยังหมดสติอยู่นอกเรือนเข้าไปด้านใน
โครม! หัวขโมยทั้งสองคนถูกโยนกองไว้รวมกัน
ผู้คุ้มกันดึงดาบที่ปักอยู่บนขาของหัวขโมยออกแล้วส่งคืนให้ฉินเหยาพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของหัวขโมย
ฉินเหยาขมวดคิ้วพลางพูดว่า “เอาผ้ามาอุดปากพวกมันแล้วมัดรวมกันไว้ เช้าพรุ่งนี้ค่อยส่งตัวให้ทางการ”
ผู้คุ้มกันและจางปารีบหาผ้าขี้ริ้วเก่าๆ กับเชือกมามัดมือมัดเท้าหัวขโมยทั้งสองคนพร้อมปิดปากไว้อย่างแน่นหนา ไม่เปิดโอกาสให้คนทั้งสองได้ร้องขอชีวิต จากนั้นก็ลากไปขังไว้ในโรงเก็บฟืน
พ่อบ้านอวี๋รีบร้อนมาถึงที่เกิดเหตุก็เห็นว่าเรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้วจึงพยักหน้าให้ฉินเหยาด้วยความซาบซึ้ง บอกให้นางกลับไปพักผ่อน ส่วนที่เหลือเขาจะจัดการเอง
ฉินเหยาพยักหน้ารับและถอยกลับเข้าไปยังเรือนชั้นใน
ไฟในเรือนใหญ่สว่างขึ้น น้ำเสียงกังวลของคุณหนูติงถามออกมาว่า “จับขโมยได้แล้วหรือยัง”
ฉินเหยาตอบกลับว่า “ก็แค่หัวขโมยตัวเล็กๆ สองคน ข้าเห็นตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ดึกแล้ว คุณหนูพักผ่อนเถิด”
ภายในเรือนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงตอบรับกลับมาเบาๆ จากนั้นไฟในเรือนก็ถูกดับลง เรือนในกลับคืนสู่ความเงียบสงบเช่นเดิม
ฉินเหยาเดินไปที่ครัวเล็ก ตักน้ำมาล้างดาบจนสะอาด ใช้ผ้าเช็ดจนแห้งแล้วจึงกลับห้องไปนอน
นางหลับสบายตลอดทั้งคืนราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถึงแม้ฉินเหยาจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คุณหนูติงและคนรับใช้สามคนกลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ รอจนฉินเหยาตื่นขึ้นมาก็รีบสอบถามถึงเรื่องเมื่อคืนทันที
ฉินเหยาตอบคำถามสั้นๆ ก่อนจะถามกลับไปว่า “วันนี้เราจะอ่านหนังสือกันต่อไหมเจ้าคะ”
ความสนใจของคุณหนูติงถูกดึงดูดไปทันที ทั้งสองเริ่มบทเรียนในบทบาทสมมุติกันอย่างสนุกสนาน
ช่วงเที่ยง พ่อบ้านอวี๋เข้ามาแจ้งความคืบหน้าของเรื่องราวให้คุณหนูทราบ
“หัวขโมยสองคนถูกส่งไปยังที่ว่าการเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ฉินเหนียงจื่อพบเห็นได้ไวทำให้ขโมยทั้งสองไม่สามารถก่อเหตุสำเร็จ ทรัพย์สินในบ้านก็ไม่ได้รับความเสียหาย”
“มีเพียงกระเบื้องบนหลังคาของเรือนในที่เปื้อนเลือดเล็กน้อย แต่ตอนเช้าข้าน้อยสั่งให้จางปาเช็ดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วขอรับ”
คุณหนูติงตอบรับคำหนึ่ง
บ้านนี้เคยโดนหัวขโมยขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ สำหรับคุณหนูติงหากไม่มีอะไรเสียหายก็ถือว่าไม่มีปัญหา เพียงแค่กำชับให้พ่อบ้านจัดเวรยามยามค่ำคืนให้แน่นหนาขึ้น
นางยังคงสนใจเรื่องการสอนหนังสือมากกว่า
“ฉินเหนียงจื่อ เราอ่านหนังสือมาหลายวันแล้ว วันนี้ข้าจะสอนเจ้าวาดภาพดีไหม”
ฉินเหยาถามกลับด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “วาดอะไรหรือเจ้าคะ”
“อืม…มะรืนนี้ก็ถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้วแล้ว วาดบ๊ะจ่างกันเถอะ!”
จะถึงวันไหว้บ๊ะจ่างแล้วหรือ ฉินเหยาคำนวณวันคร่าวๆ ในใจ ดูเหมือนจะใกล้ถึงแล้วจริงๆ
นางเองก็ไม่รู้ว่าพวกหลิวจี้ห้าคนพ่อลูกที่บ้านจะฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างกันอย่างไร
การวาดภาพยากกว่าการอ่านหนังสือมากนัก ฉินเหยาไม่ถนัดการใช้พู่กันเสียเลย สิ้นเปลืองกระดาษวาดภาพไปหลายแผ่นจนนางอดเสียดายไม่ได้ แต่คุณหนูติงกลับไม่หมดความตั้งใจ ยืนกรานจะสอนให้ฉินเหยาวาดบ๊ะจ่างให้เป็นให้ได้
กระดาษที่เสียไปเหล่านั้นถูกใช้เพียงด้านเดียว อีกด้านยังว่างเปล่า ฉินเหยาจึงอดสงสัยไม่ได้และถามว่ากระดาษพวกนี้จะถูกจัดการอย่างไร
คุณหนูติงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกันนะ ปกติพวกที่เสียแล้วกูกูจะเอาไปเก็บไว้ คงเอาไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวกระมัง”
ฉินเหยาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ด้านที่ยังว่างอยู่เอาไว้ใช้ฝึกคัดลายมือได้นะเจ้าคะ เผาทิ้งเสียดายแย่”
“เจ้าอยากได้หรือ” คุณหนูติงถาม
นางรู้ว่าบางครั้งพวกข้ารับใช้จะเก็บกระดาษพวกนี้ไปใช้เป็นกระดาษชำระ แต่เพราะนางไม่ได้ใช้เองจึงปล่อยให้พวกเขาใช้ไป
นางเคยคิดว่าฉินเหยาไม่ใช่คนพื้นๆ เช่นนั้น แต่ไม่คิดเลยว่านางเองก็สนใจของเล็กน้อยพวกนี้เหมือนกัน
ฉินเหยาไม่สนใจว่าคุณหนูติงจะมองนางอย่างไร นางเพียงคิดว่า กระดาษพวกนี้ยังมีพื้นที่ว่าง สามารถตัดมาใช้ทำเป็นสมุดบันทึกได้
นางพยักหน้าแล้วถามคุณหนูว่าขอกระดาษพวกนี้ได้ไหมพร้อมเสนอว่า “ข้าสามารถจับนกสองตัวมาให้คุณหนูเล่นเป็นการแลกเปลี่ยนได้”
“จริงหรือ?” คุณหนูติงถามด้วยความตื่นเต้น “เป็นนกเป็นๆ ใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นฉินเหยาพยักหน้าอย่างมั่นใจ นางพลันรู้สึกว่าฉินเหยาไม่ได้ดูพื้นๆ ถึงเพียงนั้นแล้ว อย่างน้อยนางก็ยังแลกเปลี่ยน ไม่ใช่มาเอาเปรียบ
การจับนกสำหรับฉินเหยานั้นง่ายดายมาก ตอนกลางวันระหว่างที่คุณหนูติงงีบหลับ นางก็ขึ้นไปบนเขาที่เคยไปตัดไม้ เดินวนอยู่รอบหนึ่งแล้วจับนกกระจอกกลับมาสองตัว
เฉ่าเอ๋อร์รีบไปหากรงนกมาใส่นกกระจอกทั้งสองตัวแล้วนำมาวางไว้ตรงหน้าคุณหนูติงด้วยความดีใจ
“เจ้าจับมาได้จริงๆ หรือ!” เด็กสาวดีใจสุดๆ โบกมือน้อยๆ พร้อมบอกว่า “เฉียวกูกู กระดาษเสียในห้องของข้าทั้งเดือนนี้ ให้ฉินเหนียงจื่อทั้งหมดเลย!”
“อ้อ หากเจ้าจับกระรอกให้ข้าได้อีก ข้าจะให้ ‘หนังสือภาพความรู้พื้นฐาน’ ที่เจ้าเคยดูซ้ำหลายรอบกับเจ้า!”
ฉินเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ข้อเสนอดีขนาดนี้เชียว?
นางยิ้มแล้วถามย้ำว่า “คุณหนูต้องการกระรอกใช่หรือไม่”
คุณหนูติงไม่สนภาพลักษณ์ รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น ฉินเหยาจึงไปที่ภูเขาอีกครั้ง วางกับดักแล้วจับกระรอกสีเทามาได้หนึ่งตัวแลกกับ ‘หนังสือภาพความรู้พื้นฐาน’ หนึ่งเล่ม
นางอยากแลกหนังสือเล่มอื่นอีกจึงถามคุณหนูติงว่ามีอะไรอยากได้อีกหรือไม่
น่าเสียดายที่คุณหนูติงมีทั้งกระรอกและนกจึงคิดว่าพอแล้ว แต่อนุญาตให้ฉินเหยาสามารถหยิบหนังสือบนชั้นไปอ่านได้ตามใจชอบ
ฉินเหยายิ้มบางๆ เช่นนี้ก็ไม่เลว