ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 1 เริ่มต้นก็แต่งงานแล้ว
ตอนที่ 1 เริ่มต้นก็แต่งงานแล้ว
ตอนที่ 1 เริ่มต้นก็แต่งงานแล้ว
“อื้อ……..”
ท่ามกลางความมึนงง ฉินมู่หลานรู้สึกราวกับร่างทั้งร่างลอยละล่องอยู่ท่ามกลางผืนน้ำ ทั่วทั้งร่างกายสั่นสะเทือนอย่างไม่อาจควบคุม เจ็บปวดไปทั่วเนื้อตัวเกินจะทานทน ทันทีที่ตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เธอก็พยายามลืมตาขึ้นมา แต่มันก็เปล่าประโยชน์ ทำได้เพียงล่องไปตามกระแสธารจมลงสู่มหาสมุทรอันไพศาล
เมื่อฉินมู่หลานลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มที่ ท้องฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว
ขณะยื่นมือออกไปบังแสงแดดที่ส่องมา ฉินมู่หลานเป็นต้องตะลึงงัน
เธอมองมือขาวอวบอ้วนตรงหน้าแล้วสะบัดมือไปมาอย่างไม่เชื่อสายตา หลังจากยืนยันจนแน่ใจแล้วว่ากำลังสะบัดมือตนเอง คนทั้งคนก็ถึงกับตะลึงพรึงเพริด
นี่…ไม่ใช่มือของเธอ
มือของเธอเห็นได้ชัดว่าเรียวเสลา มีน้ำมีนวลขาวผ่อง ไม่ใช่มืออวบเจ้าเนื้อตรงหน้าแม้แต่น้อย
ในตอนนี้เอง ฉินมู่หลานจึงนึกถึงความผิดพลาดเมื่อคืนขึ้นมา เธอรีบหันหน้ากลับไปมอง จากนั้นความประหลาดใจก็พลันแวบผ่านดวงตาของเธอ
เธอเห็นเพียงโครงหน้าหล่อเหลาคมเข้มปรากฎต่อลานสายตาท่ามกลางแสงแดดตอนเช้าตรู่ คิ้วรูปคมดาบพาดเฉียงขึ้นทางขมับ สันจมูกโด่ง ริมฝีปากอวบอิ่ม แม้ดวงตาคู่นั้นจะปิดสนิท ก็ไม่สามารถปกปิดความหล่อเหลาของเขาได้เลย
เมื่อเคลื่อนสายตาลงจากใบหน้า ฉินมู่หลานพลันพบว่าชายคนนั้นไม่ได้ห่มผ้าเรียบร้อยนัก ทำให้มองเห็นกล้ามท้องแปดลอนของเขาอยู่วับแวม
อืม…..รูปร่างดีจริง ๆ
ฉินมู่หลานจ้องมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาด้วยสีหน้าว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อย ๆ ยกมุมผ้าห่มขึ้น จ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของตนเอง แต่……
ร่างกายขาวผ่องอวบอ้วนนี่ ไม่จำเป็นต้องมองแล้ว
ขณะที่ฉินมู่หลานกำลังจะลุกขึ้นแต่งตัวนั้นเอง ความเจ็บปวดพลันเข้าจู่โจมหัวของเธอราวกับมีบางสิ่งกำลังทะลุทะลวงเข้ามาในสมอง เศษชิ้นส่วนภาพฉากนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาภาพแล้วภาพเล่า ทำให้เธอมองเห็นเรื่องราวชีวิตโดยสังเขปของคนแปลกหน้าคนหนึ่งได้อย่างชัดเจน
ท้ายที่สุดอาการปวดศีรษะก็ทุเลาลง ฉินมู่หลานค่อย ๆ รู้สึกตัวในที่สุด ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงเรื่องตลกที่เกิดขึ้นกับเธอ
ตนอยู่โยงทั้งคืนเพื่อวิจัยวิธีการรักษาโรคที่รักษาได้ยาก สุดท้ายเมื่อเธอค้นพบวิธีรักษา ดวงตาของเธอกลับดับมืดลงฉับพลัน จากนั้นก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกครั้งก็กลับกลายมาเป็นฉินมู่หลานร่างกายอวบขาวคนปัจจุบัน อยู่ในร่างของสาวชนบทยุค 1970 ที่มีชื่อและแซ่เดียวกันกับเธอ
ช่วงเวลาในตอนนี้เป็นปีที่การเคลื่อนไหวพึ่งสิ้นสุดลง
คิดถึงตรงนี้ ฉินมู่หลานก็แสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา
เมื่อคืนวานเธอทำอะไร ๆ กับอีกฝ่ายจนแล้วเสร็จทั้งคืน และผู้ร้ายไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฉินมู่หลานเจ้าของร่างเดิม
เจ้าของร่างเดิมชื่อฉินมู่หลานเหมือนกันกับเธอไม่มีผิดเพี้ยน โดยมาจากคำว่ามู่หลานที่เป็นตัวยาสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง สิ่งเดียวที่แตกต่างคือที่มาชื่อของเธอมาจากผอ.สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่จากไปตั้งให้ ขณะที่ชื่อของเจ้าของร่างเดิมคุณปู่ฉินอวิ๋นเฮ่อเป็นคนตั้งให้หล่อน
ฉินอวิ๋นเฮ่อเป็นผู้ชำนาญด้านสมุนไพรจีน เจ้าของร่างเดิมในฐานะที่เป็นเด็กหญิงคนเดียวในครอบครัวฉินจึงเป็นหลานคนโปรดตั้งแต่ยังเด็ก คุณปู่ฉินอวิ๋นเฮ่อถึงขั้นสอนให้หล่อนรู้จักแยกแยะตัวยาสมุนไพร และยังสอนความรู้ทางเภสัชศาสตร์บางอย่างให้หล่อน
อย่างไรก็ตามเจ้าของร่างเดิมกลับไม่ได้เรียนรู้อะไรทั้งสิ้น เรียนรู้เพียงการทำยาดองสมุนไพรเท่านั้น
นับตั้งแต่เห็นหล่อนจงใจกระโดดแม่น้ำ เซี่ยเจ๋อหลี่ผู้ถูกหล่อนวางแผนจับมาเป็นสามีก็ยังคงแสดงสีหน้าท่าทางเย็นชาในวันแต่งงาน ทำให้หล่อนต้องวางแผนกับเขาไม่หยุด ฉกฉวยโอกาสที่ไม่มีใครสนใจ สับเปลี่ยนสุราคารวะของเขากับยาดองสมุนไพรของหล่อน เมื่อถึงเวลาที่เซี่ยเจ๋อหลี่ถูกส่งตัวเข้ามาในห้อง ใบหน้าเขาก็แดงก่ำด้วยความเมามายแล้ว
ทันทีที่เห็นว่าความปรารถนากำลังจะกลายเป็นความจริง เจ้าของร่างเดิมก็ดื่มอย่างเบิกบานใจเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่หล่อนไม่ได้ควบคุมฤทธิ์ของยาดองสมุนไพรให้ดี มันจึงกลายเป็นการวางยาพิษตัวเอง ทำให้หล่อนได้สุขสมอารมณ์หมายเพียงคืนเดียวเท่านั้น
ขณะที่รู้สึกถึงความปวดร้าวระบมที่แล่นผ่านไปทั่วทั้งตัว ฉินมู่หลานพลันมีสีหน้าว่างเปล่า ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
เธอหันหน้าไปมองรอบ ๆ พบว่าห้องนี้ดูเรียบง่ายมาก มีเตียงไม้หลังหนึ่ง ตู้เก่าใบหนึ่ง บนตู้ใบนั้นมีกล่องเก็บของวางซ้อนกันอยู่ มีโต๊ะสี่เหลี่ยมล้าสมัยและเก้าอี้สองตัววางอยู่มุมหนึ่ง บนผนังยังมีปฏิทินแบบเก่าแขวนเอาไว้
ขณะที่ฉินมู่หลานกำลังมองไปรอบ ๆ นั้น จู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมอง จึงรีบหันหน้ากลับไปดูทันที
เซี่ยเจ๋อหลี่มองหญิงสาวข้าง ๆ เขาด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ตั้งแต่กลับมาบ้านในวันหยุดแล้วใจดีช่วยฉินมู่หลานเอาไว้ เขาก็ถูกหล่อนตามเกาะติดไม่หยุดหย่อน ทั้งจะให้เขารับผิดชอบหล่อนให้ได้ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมออกปากก็เทียวมาสร้างปัญหาที่บ้านเขา เกิดเป็นภาพอลหม่านวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม
ทุกคนในหมู่บ้านชิงซานรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
การเคลื่อนไหวพึ่งสิ้นสุดลง บางเรื่องยังคงเป็นคลื่นลมโหมกระหน่ำ ถ้าไม่ระวังให้ดีอาจตกที่นั่งลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนในกองทัพที่ไม่อาจมีเรื่องเสื่อมเสียได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีหนทางอื่นนอกจากแต่งงานกับหล่อน และหลังจากดื่มสุรามงคลจนเมามายเมื่อคืนนี้ เขาก็ได้กลายเป็นสามีของหล่อนอย่างงงๆ
คิดถึงตรงนี้แล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็พยายามแยกแยะอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง
ในเมื่อแต่งงานไปแล้ว อย่างนั้นก็ใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้ดีแล้วกัน
“ในเมื่อคุณตื่นแล้ว พวกเราก็ลุกกันเถอะ”
ได้ยินดังนี้ ฉินมู่หลานจึงพยักหน้าทื่อ ๆ
เธอเป็นโสดมานานหลายปี นึกไม่ถึงว่าทันทีที่มาถึงที่นี่ก็เริ่มต้นด้วยการแต่งงานแล้ว เมื่อเห็นสามีที่พึ่งแต่งงานด้วยหมาด ๆ อยู่ตรงหน้าเธอ ความคิดของฉินมู่หลานก็สับสนยุ่งเหยิงเล็กน้อย
เซี่ยเจ๋อหลี่ลุกขึ้นแต่งตัว ครั้นเห็นฉินมู่หลานยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน คิ้วพลันขมวดมุ่นนิด ๆ “คุณจะไม่ลุกหรือ?”
ฉินมู่หลานได้ยินคำนั้นจึงรู้สึกตัว รีบส่ายหัวโดยเร็วแล้วตอบ “ไม่ ฉันจะลุกแล้ว ฉัน…….ฉันต้องแต่งตัวแล้ว”
หลังจากพูดจบ ใบหน้าของเธอก็แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามขนาดนี้ ดังนั้นจึงเขินอายอยู่บ้าง
ครั้นเซี่ยเจ๋อหลี่เห็นแก้มแดงระเรื่อของฉินมู่หลาน การตอบสนองของเขาก็พลอยเชื่องช้าตามไปด้วย เขาหมุนตัวกลับไปพร้อมกับพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนล่ะ”
พูดจบก็ตรงดิ่งก้าวออกประตูไปทันที
ในห้องจึงเหลือแค่ฉินมู่หลานอยู่ตามลำพัง เธอรีบควานหาเสื้อผ้ามาสวมใส่ทันที แต่เมื่อเห็นร่างกายอวบขาวของตัวเองแล้วก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย บางทีรูปร่างแบบนี้อาจเป็นที่ถูกใจของผู้ใหญ่ตรงที่ดูแล้วรู้สึกมีโชคมีวาสนา แต่การอ้วนเกินไปก็ทำให้เกิดปัญหาน้อยใหญ่มากมายเหมือนกัน ดังนั้นควรหาวิธีลดน้ำหนักจะดีกว่า
ฉินมู่หลานจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งที ก่อนจะเปิดประตูออกไป
เธอเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ยืนอยู่ในลานบ้าน เมื่อเขาเห็นเธอเดินมาหา เขาก็พูดโดยไม่อ้อมค้อม “ไปกินข้าวเถอะ”
ฉินมู่หลานพยักหน้า ตามเซี่ยเจ๋อหลี่ไปห้องกินอาหาร ที่โต๊ะอาหารเต็มไปด้วยคนมากมาย ตรงหัวโต๊ะคือเซี่ยเหวินปิงและเหยาจิ้งจือผู้เป็นพ่อแม่ของเซี่ยเจ๋อหลี่ ฝั่งทางซ้ายเป็นเซี่ยเจ๋อเหว่ยกับหลี่เสวี่ยเยี่ยนผู้เป็นพี่ชายคนโตกับพี่สะใภ้และเซี่ยเจ๋ออวี่ลูกชายวัยห้าขวบของพวกเขา ทางฝั่งขวาเป็นเซี่ยเจ๋อน่าน้องสาวของเซี่ยเจ๋อหลี่
เซี่ยเจ๋อน่าเห็นทั้งสองคนมาแล้วก็ปรายตามองฉินมู่หลานแล้วพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “มีสะใภ้ใหม่ที่ไหนกันตื่นสายเอาป่านนี้ ถึงกับให้พวกเราทั้งครอบครัวรอเธอคนเดียว? มันมากเกินไปแล้ว”
หล่อนรู้สึกสงสารพี่ชายรองจากก้นบึ้งจิตใจ
พี่รองไม่เพียงมีหน้าตาหล่อเหลา การงานหรือก็ดี ตอนนี้เขายังมีตำแหน่งใหญ่โตในกองทัพ แต่ฉินมู่หลานล่ะ อ้วนแล้วยังไม่พอ ยังกินจุงานการไม่ยอมทำ อารมณ์ก็ร้ายเหลือ เดิมทีก็ไม่คู่ควรกับพี่รองผู้แสนดีขนาดนี้เลยแม้แต่น้อย
“น่าน่า…….”
เหยาจิ้งจือมองลูกสาวด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นเชิงปรามให้หล่อนไม่ต้องพูด ถึงอย่างไรฉินมู่หลานก็เป็นพี่สะใภ้รองของน่าน่า ดังนั้นลูกสาวจึงทำไม่ถูกที่หยาบคายใส่อีกฝ่ายแบบนี้
ทว่าเหยาจิ้งจือก็ไม่ได้แสดงสีหน้าดี ๆ ให้ฉินมู่หลานเหมือนกัน นางมองลูกสะใภ้คนใหม่อย่างเย็นชาแล้วเอ่ย “นั่งลงเถอะ กินข้าว”
ท่าทางของคนอื่นมีต่อฉินมู่หลานก็เย็นชาเช่นกัน มองออกได้ไม่ยากว่าพวกเขาไม่ชอบเธอเพียงใด
เห็นแบบนี้แล้ว ฉินมู่หลานก็อดทอดถอนใจอยู่ข้างในไม่ได้
ผู้หญิงคนนี้ เพิ่งแต่งเข้าบ้านสามีมาก็ทำให้คนอื่น ๆ มองด้วยสายตาเย็นชาแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปจะถูกบีบคั้นในรูปแบบไหน แต่ให้กล่าวจริง ๆ แล้วก็ไม่อาจโทษครอบครัวเซี่ยได้ ตอนนั้นที่เจ้าของร่างเดิมมาสร้างปัญหา หล่อนก็ได้พ่นคำพูดหยาบคายต่ำช้าออกไปมากมาย ล่วงเกินคนถ้วนหน้า
หลังจากนั่งลงได้ ฉินมู่หลานก็กินหมั่นโถวลงไปหลายลูกโดยไม่รู้ตัว ตอนที่รู้สึกตัว ก็พบว่าตนเองกำลังหยิบหมั่นโถวอีกลูกขึ้นมาแล้ว
ขณะนี้เซี่ยเจ๋อน่าก็เริ่มหันมามองเธอแล้ว
เพราะพี่รองพึ่งแต่งงาน ดังนั้นแม่จึงทำหมั่นโถวมากมายขนาดนี้ ซึ่งปกติแล้วพวกเขาไม่ค่อยกล้ากินเท่าใด นั่นจึงเป็นเหตุให้ฉินมู่หลานกินอยู่คนเดียว ขณะที่หล่อนคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แม่ของหล่อนก็ส่งสายตาห้ามปรามไว้
แม้ฉินมู่หลานจะรู้สึกว่ายังไม่อิ่ม แต่เธอก็กินลงไปมากแล้ว เมื่อคิดถึงว่าตนเองยังต้องลดน้ำหนัก เธอจึงรีบวางหมั่นโถวในมือลงในถ้วยของเซี่ยเจ๋อหลี่อย่างรวดเร็ว
“คุณกินสิ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหนื่อยหน่อยนะคะคุณหมอฉิน เริ่มต้นก็ต้องผูกมิตรสมานฉันท์กับคนในบ้านสามีกับลดน้ำหนักเสียแล้ว หวังว่าทักษะการแพทย์ที่มีติดตัวจะช่วยให้ชีวิตหลังมาเกิดใหม่ไม่ลำบากนะคะ
ไหหม่า(海馬)