ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 114 ได้พบหน้ากับคนที่ไม่อยากเจอ (2)
- Home
- ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก
- ตอนที่ 114 ได้พบหน้ากับคนที่ไม่อยากเจอ (2)
ตอนที่ 114 ได้พบหน้ากับคนที่ไม่อยากเจอ (2)
ตอนที่ 114 ได้พบหน้ากับคนที่ไม่อยากเจอ (2)
หลังจากได้ยินเรื่องของเหยาอี้หนิงตั้งแต่เมื่อคืนนั้น ฉินมู่หลานก็ไม่มีความประทับใจที่ดีต่อคู่สามีภรรยานี้ สิ่งนี้ยังทำให้ความประทับใจของเธอที่มีต่อเริ่นม่านลี่แย่มากยิ่งขึ้น
เดิมทีเริ่นม่านลี่นั้นรอให้ฉินมู่หลานเอ่ยทักทายหล่อน ท้ายที่สุดกลับคาดไม่ถึงว่าฉินมู่หลานไม่แม้แต่จะมองมาทางหล่อนด้วยซ้ำ
เรื่องนี้ทำให้สีหน้าของเริ่นม่านลี่น่าเกลียดเป็นอย่างมาก
นับตั้งแต่มาที่นี่ พี่สะใภ้มากมายต่างก็อยากเข้าหาและพูดคุยกับหล่อน แต่หล่อนก็ไม่ได้ให้ความสนใจ วันนี้มีโอกาสหาได้ยากนักที่จะเข้าหาฉินมู่หลาน ทว่าอีกฝ่ายกลับปฏิเสธ
เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ให้หล่อนรู้สึกโกรธเคืองได้อย่างไร
แต่หล่อนเป็นคนลงมือทำอะไรแล้วก็จะไม่ล้มเลิกกลางทาง ดังนั้นจึงยังมองไปทางฉินมู่หลานพร้อมกับเอ่ย “คุณฉินคะ พวกเรากลับอาคารบ้านพักด้วยกันไหมคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานเอ่ยปฏิเสธอีกครั้ง “ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันยังต้องซื้อของอีกหน่อย กลับพร้อมกับคุณไม่ได้จริงๆ”
แม้ว่าการปฏิเสธนี้จะอยู่ภายในความคิด แต่เริ่นม่านลี่ก็ยังจ้องมองฉินมู่หลานอย่างอดไม่ได้
เหอะ……ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าไม่เห็นหล่อนอยู่ภายในสายตา
ในเมื่ออีกฝ่ายพูดขนาดนี้แล้ว หล่อนเองก็คงไม่ต้องนำใบหน้าร้อนไปแนบกับก้นเย็น[1]อีกต่อไป ดังนั้นจึงเบือนศีรษะและจากไปด้วยความขุ่นเคือง
ฉินมู่หลานอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเมื่อเห็นสถานการณ์นี้ หล่อนก็น่าจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของพวกเขานั้นไม่ดี แต่หล่อนยังคงกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา ยากที่จะเข้าใจได้จริงๆ
ในเมื่อไม่สามารถเข้าใจได้และขี้เกียจเกินกว่าจะคิด หลังจากฉินมู่หลานกลับไปถึง เธอก็เดินเข้าบ้านในทันที
เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาในตอนเย็น ฉินมู่หลานก็เล่าเรื่องที่ส่งจดหมายให้กับเจี่ยงสือเหิงให้เขารับฟัง
“ฉันบอกพ่อบุญธรรมแล้วนะคะว่าพวกเราจะไปหาเขาก่อนวันปีใหม่”
“ตกลง”
เซี่ยเจ๋อหลี่ยิ้มพลางพยักหน้า
หลังจากฟู่ซวี่ตงรู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะไปเมืองหลวงก่อนวันปีใหม่ เขาก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ไม่อย่างนั้น……เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะไปกับพวกนายด้วย”
เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย สีหน้าของเขาหม่นหมองเล็กน้อยอย่างยากจะได้พบเห็น
เซี่ยเจ๋อหลี่และฟู่ซวี่ตงทำงานร่วมกันมาเนิ่นนาน ย่อมรู้ว่าบ้านของฟู่ซวี่ตงอยู่ภายในเมืองหลวง อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของฟู่ซวี่ตง แน่นอนว่าเขายังคงมีความขัดแย้งกับครอบครัว
วันหยุดเทศกาลช่วงก่อนหน้านี้ ฟู่ซวี่ตงไม่เคยกลับบ้านเลย ในเมื่อตอนนี้เขาอยากกลับไป แน่นอนว่าพวกเขาคงพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว
“ซวี่ตง งั้นพวกเราตกลงกันตามนี้ เมื่อถึงตอนนั้นก็ออกเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกัน”
“ได้”
หลังจากฟู่ซวี่ตงพูดคุยตกลงกับเซี่ยเจ๋อหลี่เรียบร้อยแล้วก็ตรงไปหาเวินโหย่วเหลียงเพื่อทำเรื่องขอลาหยุด
เมื่อเวินโหย่วเหลียงเห็นว่าฟู่ซวี่ตงต้องการกลับบ้านไปฉลองปีใหม่เช่นกัน เขาจ้องมองเขาอย่างอดไม่ได้และเอ่ยขึ้น “อาหลี่ต้องการกลับบ้านไปฉลองปีใหม่กับภรรยาของเขายังไม่เป็นไร ทำไมคุณเองก็ต้องการลาหยุดช่วงนี้ด้วยล่ะ”
“ท่านผบ. ผมไม่ได้กลับบ้านไปฉลองปีใหม่หลายปีแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เวินโหย่วเหลียงพลันนิ่งเงียบ ไม่สามารถเอ่ยคำพูดหักล้างออกมาได้
“ตกลงๆๆ คุณเองก็กลับไปเถอะ ผมอนุมัติวันหยุดของคุณแล้ว แต่ว่าพวกคุณต้องรีบไปรีบกลับ กองทัพเรามีคนหยุดเยอะ ไม่อาจหยุดพักได้นานจนเกินไป”
“สบายใจได้ครับท่านผบ. ผมกับอาหลี่จะกลับเข้าร่วมทีมตรงเวลาอย่างแน่นอน”
เห็นฟู่ซวี่ตงพูดเช่นนี้ เวินโหย่วเหลียงก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
ฉินมู่หลานและพวกเขาซื้อตั๋วรถไปยังเมืองหลวงวันที่ยี่สิบแปดเดือนธันวาคม ทั้งสามคนวางแผนกลับในวันนั้น
“อาหลี่ ฉันซื้อตั๋วรถเรียบร้อยแล้ว พอคิดว่าน้องสะใภ้กำลังตั้งครรภ์ ก็เลยขอให้คนช่วยซื้อตั๋วตู้นอนให้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ยิ้มและกล่าว “ซวี่ตง ต้องขอบคุณนายจริงๆ”
“อาหลี่ พวกเราเป็นเพื่อนกันจะมาพูดขอบคุณอะไรกัน”
ขณะกล่าวก็หยิบตั๋วรถออกมา
เซี่ยเจ๋อหลี่เอ่ยถามถึงราคาตั๋ว “ทั้งหมดเท่าไร ฉันจะได้คืนเงินให้นาย”
ฟู่ซวี่ตงกล่าวอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องหรอกอาหลี่”
“ไม่ได้หรอก พี่น้องร่วมสายเลือดก็ยังต้องคิดคำนวณเงินกันเลย เงินค่าตั๋วรถนี้อย่างไรก็ต้องมอบให้นาย”
เมื่อเห็นท่าทางยืนกรานของเซี่ยเจ๋อหลี่ ฟู่ซวี่ตงก็ไม่มีทางเลือกอื่น ท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับ
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนคาดไม่ถึงก็คือหลังจากที่พวกเขาถึงสถานีรถไฟ พวกเขาก็บังเอิญเจอคู่สามีภรรยาเหยาอี้หนิงและเริ่นม่านลี่พอดี
เมื่อเหยาอี้หนิงและเริ่นม่านลี่เห็นฉินมู่หลานกับพวกเขา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ท้ายที่สุดแล้วเหยาอี้หนิงก็เอ่ยปาก “โอ้…… หัวหน้าเซี่ยของพวกเรากำลังจะไปเมืองหลวงนี่เอง แต่ผมจำได้ว่าบ้านเกิดคุณอยู่ซานตงไม่ใช่เหรอ หรือว่าคุณมีญาติอยู่เมืองหลวง?”
“พวกเราจะมีญาติอยู่เมืองหลวงหรือเปล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องสนใจหรอก”
เซี่ยเจ๋อหลี่พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและแสดงสีหน้าเพิกเฉยต่อเหยาอี้หนิง
แม้แต่ฟู่ซวี่ตงที่เห็นเหยาอี้หนิงก็ยังพลันแสดงสีหน้ารังเกียจ “เหยาอี้หนิง พวกเราจะไปทำอะไรที่เมืองหลวงนั้นไม่จำเป็นต้องรายงานให้คุณทราบหรอก คุณนี่ชอบยุ่งไปเสียทุกเรื่องจริงๆ”
เมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย ฟู่ซวี่ตงจ้องมองเซี่ยเจ๋อหลี่และฉินมู่หลานพร้อมกับเอ่ย “อาหลี่ พี่สะใภ้ พวกเรารีบขึ้นรถกันเถอะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่อยากขึ้นรถไฟตั้งนานแล้ว เขาดึงมือของฉินมู่หลานและตรงขึ้นไปบนรถไฟ ฟู่ซวี่ตงเดินไล่ตามหลังมาขึ้นรถไฟเช่นกัน
เหยาอี้หนิงจมูกถูฝุ่น[2] สีหน้าน่าเกลียดเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ทำการคาดเดาอยู่ภายในใจ คู่สามีภรรยาเซี่ยเจ๋อหลี่คงจะไม่ได้ไปบ้านตระกูลฟู่หรอกใช่ไหม เขาย่อมรู้ว่าฟู่ซวี่ตงนั้นเป็นคนของตระกูลฟู่แห่งเมืองหลวง ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเองคาดเดาได้ถูกต้อง
เริ่นม่านลี่เห็นสามีของตนเองยังยืนนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน หล่อนจึงเอ่ยขึ้น “สรุปคุณจะขึ้นรถไฟหรือเปล่า ถ้าไม่ขึ้นฉันจะขึ้นแล้ว”
ขณะกล่าวก็หยิบสัมภาระด้วยตนเองและเดินจากไป
เมื่อเห็นท่าทางไม่เกรงใจของภรรยา สีหน้าของเหยาอี้หนิงพลันน่าเกลียดมากยิ่งขึ้น
เดิมทีคิดว่าการแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลเริ่นจะทำให้ชีวิตของเขายกระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงเลยว่าหลังจากพวกเขาทั้งสองคนแต่งงานกัน ความสัมพันธ์กลับอยู่ในสภาพลุ่มๆ ดอนๆ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเริ่นม่านลี่ก็คงจะย่ำแย่มากยิ่งขึ้น
อีกด้านหนึ่ง พวกฉินมู่หลานก็พบที่นั่งของตนเองหลังจากที่ขึ้นรถไฟแล้ว
ฟู่ซวี่ตงซื้อตั๋วนอนด้านล่างสองใบและตั๋วนอนด้านบนหนึ่งใบ สุดท้ายแล้วฉินมู่หลานเลือกนอนด้านล่างและเซี่ยเจ๋อหลี่เองก็เลือกที่จะนอนด้านล่างเป็นเพื่อนหล่อน ฟู่ซวี่ตงย่อมต้องนอนด้านบน
“น้องสะใภ้ งั้นผมขึ้นไปด้านบนก่อนนะ มีเรื่องอะไรก็เรียกผมได้เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานยิ้มพลางพยักหน้า
กระทั่งฟู่ซวี่ตงขึ้นไปยังชั้นบนแล้ว ฉินมู่หลานเองก็นอนพักผ่อน เซี่ยเจ๋อหลี่จ้องมองฉินมู่หลานภายใต้ความเงียบ สุดท้ายก็กลับไปพักผ่อนยังเตียงนอนของตนเอง
ฉินมู่หลานพักสายตาอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งเธอลุกขึ้นนั่ง เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เตรียมของว่างไว้ให้เธอแล้ว
“มู่หลาน อีกสักพักหนึ่งกว่าจะถึงเมืองหลวง คุณกินก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวจะได้ไม่ต้องรู้สึกหิว”
ฉินมู่หลานรู้สึกหิวเล็กน้อยดังนั้นหล่อนจึงรีบกิน หลังจากรถไฟเคลื่อนขบวน เธอรู้สึกง่วงเล็กน้อยและค่อยๆหลับตาลง
เมื่อฉินมู่หลานตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็มาถึงที่หมายแล้ว
หลังมองดูฝูงชนที่พลุกพล่านด้านนอกหน้าต่างรถไฟ ฉินมู่หลานก็ตัดสินใจว่าอีกเดี๋ยวพวกเขาค่อยลงจากรถไฟ
เซี่ยเจ๋อหลี่เองก็คิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นเมื่อคนส่วนมากเดินออกไปแล้ว ทั้งสามคนจึงหยิบกระเป๋าเดินทางและเดินออกไป
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] นำใบหน้าร้อนไปแนบกับก้นเย็น หมายถึง เป็นคนมีความภาคภูมิใจในตัวเองสูงและทนไม่ได้ที่จะถูกละเลย
[2] จมูกถูฝุ่น หมายถึง เป็นการอุปมาว่าโดนปฏิเสธหรือโดนหักหน้าแล้วทำตัวไม่ถูก
สารจากผู้แปล
จะมีเรื่องราวอะไรรออยู่ที่เมืองหลวงกันนะ ทั้งความสัมพันธ์ในตระกูลฟู่ ไหนจะความสัมพันธ์ในตระกูลเหยาอีก
ไหหม่า(海馬)