ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 16 โรงพยาบาลแพทย์แผนจีน
ตอนที่ 16 โรงพยาบาลแพทย์แผนจีน
ตอนที่ 16 โรงพยาบาลแพทย์แผนจีน
หลังได้รับค่าตอบแทนตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ฉินมู่หลานก็ส่งกล่องไม้กลับคืนไป
ลุงเจี่ยงคาดไม่ถึงว่าจะมีคนไม่อยากได้ทองคำด้วย จึงรู้สึกตกตะลึงนิดหน่อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องอาการป่วยของนายน้อย เขาจึงส่งกล่องไม้กลับไปเช่นเดิม “สหาย เธอเอามันไปหมดเลยก็ได้นะ ถึงยังไงอาการของนายน้อยเราก็ขึ้นอยู่กับเธอ”
ฉินมู่หลานยื้อเอาไว้ ก่อนหน้านี้ได้ตกลงกันไว้แล้ว เธอจึงรับค่าตอบแทนมากกว่านี้ไม่ได้
เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าฉินมู่หลานยังคงยืนกราน จึงยกยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “แค่กๆ….เอาเถอะลุงเจี่ยง สหายน้อยเขารับปากแล้ว เอามันกลับไปเก็บเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลุงเจี่ยงจึงไม่เซ้าซี้อีกต่อไป ก่อนจะนำกล่องไม้กลับไปซ่อนไว้ในผนังอีกครั้ง
หลังจากฉินมู่หลานเก็บจี้หยกและทองแท่งหนึ่งตำลึงไปแล้ว ก็มุ่งมั่นเขียนใบสั่งยาด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากนั้นจึงเดินออกนอกประตูไป “หนูจะไปหาซื้อยาก่อน แล้วจะรีบกลับมาค่ะ”
ลุงเจี่ยงเห็นว่ามู่หลานกำลังจะจากไป จึงกังวลเล็กน้อยว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น หากสาวน้อยคนนี้ไม่กลับมา
เจี่ยงสือเหิงยกยิ้มแล้วพยักหน้า พลางเอ่ย “สหายน้อย ขอโทษที่รบกวนเธอนะ รีบไปเถอะ”
หลังจากฉินมู่หลานจากไปแล้ว ลุงเจี่ยงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“นายน้อย กระผมเพิ่งได้ยินสาวน้อยคนนั้นบอกว่าสามารถรักษาท่านได้ จึงรู้สึกตื่นเต้น แต่เมื่อคิดดูในตอนนี้ หากหล่อนนำสิ่งของที่ได้ไปโดยไม่กลับมาอีก พวกเราก็คงทำอะไรมิได้ กระผมไม่ควรนำกล่องไม้นั้นออกมาก่อนเลย หากหล่อนไปแจ้งข่าวให้คนอื่นเล่า พวกเราคงลำบากเป็นแน่”
เจี่ยงสือเหิงยกยิ้มพลางเอ่ย “คุณเป็นคนออกไปพบคนแล้วพากลับมาเอง ดังนั้นคุณควรจะมั่นใจ ในความคิดของฉัน สาวน้อยคนนั้นมีแววตาซื่อตรงอยู่ หล่อนไม่ใช่คนที่จะผิดคำพูดอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลุงเจี่ยงก็โล่งใจอีกครั้ง
“หากนายน้อยว่าเช่นนั้น แม่หนูคนนั้นต้องกลับมาอย่างแน่นอน”
หลังจากที่ฉินมู่หลานจากไป เธอก็ได้พยายามหาวิธีหาซื้อยา เธอเก็บค่ารักษาแพงเช่นนี้ เช่นนั้นต้องดูแลคนไข้เป็นอย่างดี
แต่ตอนนี้เหตุการณ์เพิ่งสงบลง การหาร้านขายยาแพทย์แผนจีนจึงไม่ง่ายนัก และเธอก็นำยารักษามาเพียงน้อยนิดเท่านั้น เช่นนั้นแล้วจึงไร้ประโยชน์มาก
อยู่ ๆ ฉินมู่หลานก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจในตนเองสักเท่าใด หากเธอไม่สามารถหาซื้อยาได้ คงไม่มีทางช่วยรักษาโรคให้คนไข้ได้อย่างแน่นอน และเธออาจจะต้องจ่ายค่ารักษากลับคืน
เมื่อนึกถึงทองแท่งหนึ่งตำลึงและจี้หยกที่ได้มา เธอจึงตัดสินใจคิดหาทางอื่น
เวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมง ในที่สุดฉินมู่หลานก็ได้เบาะแสจากหญิงชราคนหนึ่ง จึงได้ทราบว่าที่แห่งนี้มีโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนอยู่แห่งหนึ่ง
“คุณย่าคะ ที่นี่มีโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนไหมคะ?”
หญิงชราได้ยินดังนั้น จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “โทษหนูก็ไม่ได้หรอกนะ เพราะขนาดคนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ ปัจจุบันหลายคนชอบไปหาแพทย์แผนตะวันตก ไม่ค่อยมีคนไปหาแพทย์แผนจีนสักเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้น “ใช่ค่ะ หลายคนหลีกเลี่ยงแพทย์แผนจีนเยอะเลย”
หญิงชราผู้นั้นถอนหายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ย “เฮ้อ…ในเทศมณฑลของเราเคยมีหมอจีนเฒ่าสองคนที่เก่งกาจมากเลยนะ แต่ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหน” หลังจากเอ่ยจบ นางก็รีบปิดปากลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงพูดคุยกับฉินมู่หลานอีกเพียงไม่กี่คำและรีบเดินจากไปทันที ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะสงบลงแล้ว แต่สิ่งที่ผ่านมาก็ยังฝังลึกอยู่ในใจ ระมัดระวังตัวไว้เป็นเรื่องดีกว่า
ฉินมู่หลานไม่ทันจะได้กล่าวขอบคุณ หญิงชราผู้นั้นก็เดินจากไปเสียแล้ว ทำให้เธอถึงกับถอนหายใจ หลังจากนั้นจึงเดินไปโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนตามที่หญิงชราชี้แนะ
เมื่อมองเห็นอาคารทรุดโทรมตรงหน้า ฉินมู่หลานก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาว่าสถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาล ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปก็พบกับหมอชราท่านหนึ่งที่ผมขาวเต็มศีรษะ ในที่สุดเธอก็ได้แหล่งยาจีนแล้ว นอกจากนี้ยังได้ขายวัตถุดิบยาที่ตนเองปรุงมาด้วย
“สหายน้อย ต่อไปถ้าเธอมีวัตถุดิบทำยา เอามาให้พวกเราที่นี่ก็ได้นะ”
หมอที่ผมขาวโพลนเช่นนี้เป็นหมอเพียงท่านเดียวในโรงพยาบาลชื่อว่าซ่งโหย่วเต๋อ เมื่อเห็นวัตถุดิบยาที่สาวน้อยตรงหน้านำมาด้วยและยังมีคุณภาพดีมาก เขาจึงจ่ายให้ในราคาที่เหมาะสม
“ค่ะ ขอบคุณคุณหมอซ่ง”
ซ่งโหย่วเต๋อยิ้มพลางส่ายศีรษะไปมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะเอ่ย “ฉันควรขอบคุณเธอเสียมากกว่า ที่นี่ไม่เพียงแค่ขาดแคลนแพทย์เท่านั้น แต่วัตถุดิบในการทำยาก็น้อย เธอช่วยส่งวัตถุดิบทำยามาที่หน้าบ้านฉันได้ไหม ฉันคงดีใจมากหากเป็นเช่นนั้น”
หลังจากเอ่ยจบ ซ่งโหย่วเต๋อก็รู้สึกอ้างว้างเล็กน้อย
“ในช่วงปี 1966 มีโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนตั้งอยู่ 1,371 แห่งทั่วประเทศ พอมาถึงปีนี้เหลือเพียง 129 แห่งเท่านั้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนศึกษาศาสตร์แพทย์แผนจีนให้สืบเนื่องต่อไป อย่าละทิ้งมรดกของบรรพบุรุษ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและสีหน้ามุ่งมั่น “คุณหมอซ่ง ต่อไปจะต้องมีคนศึกษาศาสตร์แพทย์แผนจีนเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ”
ซ่งโหย่วเต๋อได้ฟังเช่นนั้น จึงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา พลางเอ่ย “หากเป็นอย่างที่เธอพูดจริงก็คงดีไม่น้อย”
เมื่อมองดูวัตถุดิบยาที่ฉินมู่หลานรับไปก็สามารถมองรู้ได้ทันทีว่าวัตถุดิบยาพวกนั้นคือเซ่อกันหมาทวงทัง จึงอดใจไม่ไว้ที่จะเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “สหายน้อย เธอเรียนแพทย์แผนจีนอย่างนั้นหรือ?”
“ผู้ใหญ่ที่บ้านสอนมานิดหน่อยค่ะ หนูมีฝีมือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากอยากรู้เพิ่มเติมก็ศึกษาเพิ่มเติมเสียหน่อย”
แต่เมื่อซ่งโหย่วเต๋อเห็นว่าฉินมู่หลานไม่พูดสิ่งใดอีก เขาจึงไม่เอ่ยถามต่อไปให้มากความ
“หมอซ่ง เช่นนั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
หลังฉินมู่หลานรับตัวยามาแล้ว จึงรีบไปที่บ้านของเจี่ยงสือเหิงทันที
เมื่อลุงเจี่ยงเห็นมู่หลานกลับมา สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “สหายน้อย ในที่สุดเธอก็กลับมา ฉันคิดว่า…” หลังจากเอ่ยจนจบเขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ซื้อยามาแล้วหรือ?”
“ซื้อมาแล้วค่ะ”
ฉินมู่หลานยื่นวัตถุดิบทำยาไปให้ลุงเจี่ยง พลางบอกวิธีปรุงยา หลังจากนั้นจึงเอ่ย “นี่เป็นตัวยาสามชนิด เพียงพอให้รับประทานประมาณสามวัน หลังจากสามวันแล้วหนูจะกลับมาค่ะ”
“ได้ ได้ ฉันจดมันเรียบร้อยแล้ว อีกสามวันเจอกันนะ”
เมื่อเจี่ยงสือเหิงรู้ว่าตนเองยังมีทางรอด จิตใจจึงเริ่มเป็นสุข สุดท้ายแล้วก็ไม่มีผู้ใดอยากด่วนจากไปเร็วนัก “สหายน้อย ขอบคุณเธอมากจริง ๆนะ แค่ก แค่ก…”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ หนูเก็บค่ารักษาแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ควรทำ”
เมื่อฉินมู่หลานเห็นว่าเวลาล่วงเลยไปนานมากแล้ว เธอจึงรีบเอ่ยลาอย่างรวดเร็ว แล้วมุ่งหน้าตรงไปที่ห้างสรรพสินค้า
เมื่อเธอมาถึง ก็ได้เห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้ากังวลใจ และในตอนนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เห็นฉินมู่หลานแล้ว เขาจึงรีบก้าวเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยถาม “มู่หลาน คุณหายไปไหนมา?”
“ฉันยังไม่เคยเข้ามาในเมือง จึงอยากเดินเล่นดูรอบ ๆ แต่เดินเพลินจนลืมเวลาไปเลยน่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่จึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ผมล่ะกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่า ถ้าคุณอยากเดินเล่นรอบเมือง ไว้หลังซื้อของเสร็จแล้วผมจะพาคุณไปเดินดูรอบ ๆ”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่รู้สึกกังวลใจเป็นยิ่งนัก ฉินมู่หลานก็รู้สึกประหม่านิดหน่อย
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไปมาเรียบร้อยแล้ว พวกเรารีบไปซื้อผ้ากันเถอะ”
“ได้”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินดังนั้น จึงพาฉินมู่หลานเดินเข้าไปข้างใน
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่สวมเสื้อผ้าสีดำ น้ำเงิน และเทา ดังนั้นผ้าส่วนใหญ่จึงเป็นสีพวกนี้ ฉินมู่หลานเองก็ไม่ได้เรื่องมาก จึงตัดสินใจซื้อผ้าฝ้ายสีเทาเรียบง่ายผืนหนึ่ง
“มู่หลาน ผมว่าสีน้ำเงินนั่นก็ดูสวยดีนะ ทำไมไม่ซื้อสีน้ำเงินเพิ่มล่ะ”
ฉินมู่หลานมองไปหลังจากได้ยินสิ่งนี้ จากนั้นจึงสังเกตเห็นว่าสีน้ำเงินที่เซี่ยเจ๋อหลี่ชี้ไปนั้นเป็นชุดเครื่องแบบของพนักงาน “ไม่เอาแล้วค่ะ ซื้อแค่สีเทาก็พอแล้ว”
เซี่ยเจ๋อหลี่คิดว่าครอบครัวของตนไม่ได้เตรียมของหมั้นหมายให้กับมู่หลานอย่างเหมาะสม จึงรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก อยากจะซื้อให้เธอเพิ่มอีก
ฉินมู่หลานเห็นดังนั้น จึงชี้ตรงไปยังผ้าสีดำผืนหนึ่งพลางเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นสีดำ”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นสีเทากับสีดำ”
หลังจากทั้งสองซื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่และฉินมู่หลานจึงพากันกลับไป เนื่องจากจำนวนรถขากลับมีน้อยกว่าตอนเข้ามาในเมือง หากกลับเย็นนักอาจหารถกลับไม่ได้
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ได้แหล่งทำเงินใหม่แล้ว วิชาที่คุณปู่ถ่ายทอดให้ไม่เสียเปล่าแล้วล่ะ
ไหหม่า(海馬)