ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 17 แสดงฝีมือ
ตอนที่ 17 แสดงฝีมือ
ตอนที่ 17 แสดงฝีมือ
เมื่อฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่กลับถึงบ้าน ก็เป็นเวลามืดค่ำมากแล้ว
เหยาจิ้งจือเห็นทั้งสองกลับมา จึงเอ่ยทัก “มู่หลาน เจ๋อหลี่ กลับมาได้ซะที ได้ซื้อผ้ากลับมาหรือยัง?”
“ค่ะ ซื้อผ้าฝ้ายสีเทากับสีดำมา น่าจะพอใข้ตัดเย็บชุดให้ฉันได้ประมาณสองชุด”
ได้ยินดังนั้น เหยาจิ้งจือก็ยกยิ้มขึ้นพลางกล่าว “อย่างนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะวัดตัวเธอให้ แล้วเดี๋ยวจะช่วยเธอตัดเย็บชุดนะ”
นางมีฝีมือค่อนข้างใช้ได้ เสื้อผ้าของทุกคนในครอบครัวล้วนเป็นฝีมือนางทั้งนั้น
ฉินมู่หลานไม่รู้วิธีตัดเย็บเสื้อผ้าเลย แต่ถึงเธอก็ยังไม่ได้คิดที่จะลงมือทำในตอนนี้
“ยังก่อนค่ะ….รอฉันลดน้ำหนักก่อนแล้วค่อยตัดชุดทีหลังนะคะ ยังไงตอนนี้ฉันก็มีเสื้อผ้าที่ใช้ใส่อยู่แล้ว ไม่ต้องรีบร้อนอะไร”
ได้ยินฉินมู่หลานกล่าวเช่นนั้น เหยาจิ้งจือจึงไม่ได้เอ่ยพูดสิ่งใดอีก
จนกระทั่งเซี่ยเจ๋อน่ากลับมาแล้วได้ยินว่าฉินมู่หลานซื้อผ้ามาสองพับ จิตใจหล่อนก็รู้สึกสั่นไหว ถึงแม้เจ้าสาวที่แต่งเข้ามาใหม่จะต้องได้เสื้อผ้าใหม่ก็ตาม แต่คนเพียงคนเดียวจะต้องใช้ถึงสองชุดเลยหรือ
คิดเช่นนั้น หล่อนจึงหันหน้าไปมองหลี่เสวี่ยเยี่ยนที่เพิ่งกลับมาพร้อมตน พลางเอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่ หนูจำได้ตอนที่พี่แต่งงาน พี่ได้เสื้อผ้าแค่ชุดเดียวเอง พี่ดูสิ ฉินมู่หลานได้ตั้งสองชุดเลยนะ เยอะกว่าพี่อีก แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยนะ”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินดังนั้นจึงหันมองเซี่ยเจ๋อน่า
หล่อนทราบดีว่าน้องสามีคนนี้กำลังยุแยงตะแคงรั่วตนอยู่ หากเป็นสมัยก่อน หล่อนคงรู้สึกไม่สบายใจเป็นแน่ แต่ในตอนนี้ฉินมู่หลานได้ช่วยชีวิตลูกชายของตนเอาไว้ หล่อนจึงไม่มีความคิดเช่นนั้นอีกต่อไป มีเพียงความซาบซึ้งใจให้เท่านั้น
“ไม่เห็นจะไม่ยุติธรรมตรงไหนเลย ในช่วงหลายวันมานี้มู่หลานก็ทำงานหนักอยู่ หากหล่อนอยากซื้อเสื้อผ้าใหม่เพิ่มก็ย่อมได้”
ได้ฟังเช่นนั้น เซี่ยเจ๋อน่าก็รู้สึกราวกับว่าตนฟาดหัวคนด้วยปุยนุ่นเสียอย่างนั้น ตอนนี้หล่อนเป็นเพียงคนเดียวในบ้านที่ไม่ชอบฉินมู่หลาน ในขณะที่คนอื่นต่างพากันชื่นชมเธอกันอย่างออกนอกหน้า
เหยาจิ้งจือมองออกว่าลูกสาวของตนต้องการทำสิ่งใด นางจึงได้แต่รู้สึกผิดหวัง
“เซี่ยเจ๋อน่า ฉันรู้นะว่าแกคิดจะทำอะไร มาช่วยฉันทำอาหารเดี๋ยวนี้เลย”
เซี่ยเจ๋อน่าปฏิเสธทันควันโดยไม่ต้องพิจารณาสักนิด “แม่ หนูเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว จะไปมีแรงเหลือได้ยังไง ไม่เหมือนใครบางคนหรอกที่ไม่ต้องไปทำงาน เลยไม่ต้องเหนื่อยไง”
ขณะเอ่ยหล่อนก็มองไปยังฉินมู่หลานด้วย
ฉินมู่หลานเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ น้องสามีคนนี้โดนด่าทุกวัน แต่ก็ยังมองหาปัญหาอยู่ทุกเมื่อเขื่อวัน หล่อนไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ แต่เรื่องที่เธอไม่ได้ไปทำงานนั่นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นจึงหันไปเอ่ยพูดกับเหยาจิ้งจือ “แม่คะ เดี๋ยวฉันช่วยแม่เองค่ะ”
เหยาจิ้งจือกำลังจะบอกว่าไม่ต้อง แต่ฉินมู่หลานเดินเข้าไปในครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลี่เสวี่ยเยี่ยนเองก็เข้าไปด้วย เมื่อเห็นฉินมู่หลานไป หล่อนก็รีบเดินตามเข้าไป
เซี่ยเจ๋อน่าเห็นทุกคนเข้าไปในห้องครัวแล้วก็แค่นเสียงเย็น ก่อนจะกลับไปที่ห้อง พวกหล่อนไม่เหนื่อย แต่หล่อนเหนื่อยนี่นา
อีกด้าน เมื่อฉินมู่หลานเข้าไปในครัวแล้วและได้เห็นวัตถุดิบ จึงคิดเมนูขึ้นในใจเป็นที่เรียบร้อย “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่จุดเตาได้ไหมคะ ฉันจะทำผัดผัก”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็มองไปที่เหยาจิ้งจือพลางเอ่ยพูดอีกครั้ง “แม่คะ แม่ไปพักเถอะ ฉันกับพี่สะใภ้ใหญ่จะจัดการเอง”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยบอกเช่นกัน “ใช่แล้วค่ะแม่ แม่ไปพักสักหน่อยเถอะ มื้อเย็นเดี๋ยวฉันกับมู่หลานจัดการเอง”
วันนี้เหยาจิ้งจือมาทำอาหารช้าไป จึงรู้สึกกระดากใจ
“ให้ฉันเป็นคนทำเถอะ แล้วหนึ่งในพวกเธอก็ไปจุดเตา”
“แม่คะ ขอฉันลองทำเถอะค่ะ ฝีมือฉันค่อนข้างดีเลยนะ”
ฉินมู่หลานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นจึงเริ่มลงมือทำ
หลี่เสวี่ยเยี่ยนเองก็เริ่มจุดไฟอย่างรวดเร็ว
เดิมทีหล่อนรู้สึกเป็นกังวลว่าฉินมู่หลานจะทำอาหารไม่ได้ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นวิธีการทำอาหารของฉินมู่หลานแล้ว หล่อนก็เริ่มมั่นใจว่าที่อีกฝ่ายบอกว่าทำได้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริง
ไม่น่าเชื่อว่าคนในหมู่บ้านต่างบอกว่าเธอขี้เกียจเอาแต่กิน ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียบ้างเลย เห็นได้ชัดว่าเธอมีทักษะทางการแพทย์ อีกทั้งยังทำอาหารเป็นด้วย แตกต่างจากที่พวกชาวบ้านเอ่ยบอกโดยสิ้นเชิง
เหยาจิ้งจือทำได้เพียงมองลูกสะใภ้ทั้งสองที่กำลังยุ่งวุ่นวาย ไม่มีที่ว่างให้นางได้เข้าไปช่วยเหลืออะไรแม้แต่น้อย จึงต้องจำใจออกไป
ฉินมู่หลานเพิ่งเคยทำอาหารด้วยเตาดินเผาเป็นครั้งแรก เดิมทีจึงรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจเล็กน้อย แต่เมื่อรู้ว่าหลี่เสวี่ยเยี่ยนปรับลดระดับไฟได้ด้วยการเพิ่มหรือนำฟืนออก เธอจึงสบายใจมากขึ้น และทำอาหารตามปกติ
“พี่สะใภ้ใหญ่คะ เบาไฟลงนิดนึงค่ะ”
ฉินมู่หลานกำลังเตรียมทำมันเทศเส้น ในยุคนี้มันเทศเป็นอาหารที่บริโภคมากที่สุดในทุกครัวเรือนจนหลายคนนึกขยาด หากอยากรับประทานอย่างเลิศรสก็จำเป็นต้องใช้เงินซื้อเครื่องปรุงมากขึ้น แต่วันนี้เธอรู้สึกมีความสุขมากหลังหารายได้ด้วยตนเองเป็นครั้งแรก จึงวางแผนที่จะทำอาหารเลิศรส สำหรับเครื่องปรุงที่ใช้ไปในเย็นนี้ เอาไว้วันหลังค่อยหาเพิ่มก็ย่อมได้
เมื่อฉินมู่หลานผัดเส้นมันเทศเสร็จ เธอก็รีบทำลูกชิ้นจากแป้งข้าวโพดอีกอย่าง เนื่องจากมีเนื้อสัตว์ไม่มากนัก เธอจึงเติมเมล็ดข้าวโพดผสมลงไปมากขึ้น จึงได้ลูกชิ้นออกมาเต็มชามใหญ่หนึ่งชาม
ไม่นานนัก กลิ่นหอมก็อวลฟุ้ง
ตอนแรกหลี่เสวี่ยเยี่ยนไม่รู้ว่าฉินมู่หลานกำลังทำเมนูอะไร แต่เมื่อได้กลิ่น จึงเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น “น้องสะใภ้ เธอกำลังทอดลูกชิ้นอยู่เหรอ?”
“ใช่ค่ะ ลูกชิ้นข้าวโพดทอด ใกล้จะเสร็จแล้ว”
“แต่ว่า….”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนลังเลที่จะเอ่ย แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะกล่าว “น้องสะใภ้ ถ้าทำอาหารจานนี้จะต้องใช้น้ำมันเยอะมากนะ ที่บ้านเรามีน้ำมันเหลือไม่มากแล้ว”
ฉินมู่หลานได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้วางใจเถอะค่ะ อีกสองวันฉันจะเข้าไปในเมือง ถึงตอนนั้นจะซื้อน้ำมันมาทดแทนกับส่วนที่ใช้ไปที่บ้านเอง”
เมื่อถึงเวลานั้นเธอจะเข้าเมืองเพื่อไปดูอาการเจี่ยงสือเหิงด้วย
หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินดังนั้นจึงส่ายศีรษะ พลางเอ่ย “น้องสะใภ้ พวกเราทุกคนกินอาหารพวกนี้ด้วยกัน จะปล่อยให้เธอต้องชดเชยคนเดียวได้ยังไง เธอไม่ต้องออกไปซื้อมันหรอก รอสักพักค่อยบอกแม่”
แต่ถึงอย่างนั้นฉินมู่หลานก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะเข้าไปซื้อน้ำมันในเมือง
“พี่สะใภ้ใหญ่ อาหารพวกนี้ฉันเป็นคนคิดจะทำเอง แน่นอนว่าฉันต้องมีส่วนรับผิดชอบ”
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วจัดการสิ่งที่ทำต่อ “ก่อนหน้านี้ฉันก็ได้เงินรางวัลมาเยอะมากเลยนะคะ ด้วยความที่ไม่ได้มอบให้กับที่บ้าน เช่นนั้นแล้วก็ควรซื้อของเข้าบ้านเสียหน่อย”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ฟังแล้วก็ได้แต่คิดเพียงว่าน้องสะใภ้คนนี้ช่างจริงจังเหลือเกิน หากหล่อนมีเงินอยู่ในมือเช่นนี้ คงไม่นำมาใช้จ่ายไปทั่ว สมัยนี้หาเงินไม่ง่ายนัก หล่อนจึงพยายามพูดโน้มน้าว
“น้องสะใภ้ ถ้ามีเงินล่ะก็เก็บออมเอาไว้เสียดีกว่านะ”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้น จึงหยุดชะงักไปชั่วครู่
ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้คนนี้ก็น่ารักดี รู้จักตอบแทน ซ้ำยังรู้จักนึกถึงผู้อื่นด้วย
เมื่อนึกออก ฉินมู่หลานจึงมีแผนการณ์อยู่ในใจ เนื่องจากโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนในตัวเมืองต้องการรวบรวมวัตถุดิบเพื่อนำไปทำยา หากเธอไปขุดหาเพียงคนเดียวคงได้ไม่เยอะนัก แต่ถ้าบอกสูตรตำรับยากับทุกคนก็จะรวบรวมสมุนไพรได้มากขึ้น กระนั้นเธอก็ยังไม่เอ่ยสิ่งใด วางแผนว่าจะเอ่ยเรื่องนี้ในภายหลัง
กลิ่นหอมอบอวลในห้องครัวรุนแรงขึ้น จนลอยออกไปถึงข้างนอกแล้ว
เสี่ยวอวี่อดใจไม่ไหว จับมือเหยาจิ้งจือแล้วเอ่ย “คุณย่าครับ หอมจังเลย อาสะใภ้กำลังทำอะไรอร่อย ๆ อยู่แน่เลย”
เดิมทีเหยาจิงจื้อคิดว่าเมนูอาหารที่ทำก็เหมือนดังเช่นปกติทั่วไป จึงไม่ทันคิดว่าอาหารที่ฉินมู่หลานทำจะมีกลิ่นหอมหวนขนาดนี้ แต่ดมจากกลิ่นก็เดาได้ว่าคงจะทอดลูกชิ้น
นี่…ทำไมถึงคิดจะทอดลูกชิ้นกัน? อาหารจานนี้ที่บ้านทำกันเฉพาะช่วงปีใหม่เท่านั้นนะ
ถึงจะรู้สึกเสียดายนิดหน่อย แต่กลิ่นของมันก็หอมมากเหลือเกิน
เมื่อฉินมู่หลานกับหลี่เสวี่ยเยี่ยนทั้งสองคนทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงยกจานออกมา
“กินข้าวกันได้แล้วค่ะ!’
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ซื้อผ้ามาเยอะก็ใช่ว่าจะต้องตัดชุดเองเยอะไหม อาจซื้อมาเก็บไว้ตัดชุดให้พี่รองเธอก็ได้ ตรรกะประหลาดนะยัยเจ๋อน่า เจ๋อมันทุกเรื่องของมู่หลานเลยนะเธอเนี่ย
มาแค่กลิ่นก็เดาได้ว่าต้องอร่อยมากแล้ว
ไหหม่า(海馬)