ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 187 หวังหู่ เหวินเชี่ยน(1)
ตอนที่ 187 หวังหู่ เหวินเชี่ยน(1)
ตอนที่ 187 หวังหู่ เหวินเชี่ยน(1)
หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่ได้ฟังเรื่องราวจากผู้เป็นแม่ สีหน้าก็พลันตึงเครียดขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาระลอกหนึ่ง
“แม่ มู่หลาน ตอนนี้ออกไปข้างนอกกันให้น้อยที่สุดนะ”
เหยาจิ้งจือก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน เพราะลูกสะใภ้คนเล็กกำลังตั้งครรภ์ จึงกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น “ได้ ช่วงนี้เราจะไม่ออกไปข้างนอกกัน ต่อให้ไปซื้อของชำลำบากหน่อยก็เถอะ”
ในตอนนี้ เซี่ยเหวินปิงที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้น “จิ้งจือ จะซื้ออะไรก็ให้ผมไปเถอะ คุณกับมู่หลานอยู่ที่บ้านอย่าออกไปไหนก็พอ”
เหยาจิ้งจือได้ยินสิ่งนี้ จึงพยักหน้าแล้วพูด “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณต้องมีหน้าที่ออกไปข้างนอกแล้วล่ะ” เมื่อเอ่ยจบก็หันไปถามเซี่ยเจ๋อหลี่อีกครั้ง “อาหลี่ ทำมื้อเที่ยงเสร็จหรือยัง มู่หลานยังไม่ได้กินอะไรเลย หล่อนคงจะหิวแล้ว”
ขณะที่พูด เหยาจิ้งจือก็นำถุงผักใบใหญ่เข้าไปในครัว
“แม่ ผมหุงข้าวเรียบร้อยแล้ว ทำสามชั้นหมักทอดเอาไว้อีกจาน นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้วครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยาจิ้งจือก็พยักหน้าแล้วพูด “หุงข้าวแล้วก็ดี เดี๋ยวฉันทำกับข้าวเพิ่มอีกสองอย่าง” หลังจากพูดแล้วเธอก็หันมองฉินมู่หลาน “มู่หลาน ถ้าเธอหิวจะกินก่อนก็ได้นะ ข้าวสวยร้อน ๆ กับสามชั้นหมักทอดก็อร่อย”
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ จึงส่ายศีรษะ แล้วเอ่ย “แม่คะ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้หิวมาก เดี๋ยวรอกินกับพวกแม่ทีหลังก็ได้ค่ะ”
เมื่อเห็นมู่หลานพูดแบบนี้ เหยาจิ้งจือจึงเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ เดี๋ยวฉันจะรีบไปทำอาหาร
เมื่อเหยาจิ้งจือเข้าครัวไป เซี่ยเหวินปิงก็ตามเข้าไปช่วย
ฉินมู่หลานหันมองเซี่ยเจ๋อหลี่ก่อนจะพูดขึ้น “อาหลี่ ฉันจำหน้าผู้ชายที่สะกดรอยตามพวกเราได้ เดี๋ยวฉันจะวาดให้เลย คุณจะได้ตามสืบได้สะดวกขึ้น”
“มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นคุณรีบวาดเลย เดี๋ยวหลังกินข้าวเสร็จ ผมจะให้คนไปช่วยสืบดู”
“ค่ะ”
ฉินมู่หลานหยิบปากกาและกระดาษออกมาเริ่มวาดภาพทันที เพื่อให้เป็นภาพวาดเสมือน เธอจึงเลือกวาดเป็นภาพเสก็ตซ์ ตอนแรกเธอเรียนทั้งแพทย์แผนจีนและแผนตะวันตก จึงต้องมีการวาดรูปยามเมื่อเรียนกายวิภาค ซึ่งขณะที่เรียนเธอก็มุ่งมั่นตั้งใจเป็นอย่างมาก ทำให้การวาดภาพเสมือนในทุกวันนี้เป็นเรื่องง่ายดาย
เมื่อเห็นภาพเสมือนที่ค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างในมือของฉินมู่หลาน เซี่ยเจ๋อหลี่ก็มองภรรยาเขาด้วยความแปลกใจ ด้วยไม่รู้มาก่อนว่ามู่หลานก็มีฝีมือวาดภาพดีแบบนี้
“เสร็จแล้วค่ะ”
หลังจากวาดเสร็จ ฉินมู่หลานก็ลองมองอย่างละเอียด ก่อนจะพูดขึ้น “หมอนี่แหละค่ะ ส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตร น้ำหนักประมาณเจ็ดสิบห้ากิโลกรัม”
“เอาล่ะ ผมรู้แล้ว”
หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่ฟังคำอธิบายจากฉินมู่หลาน ก็จดบันทึกข้อมูลรูปพรรณสัณฐานทั้งหมดทันที
ในตอนนี้ เหยาจิ้งจือทำอาหารเสร็จแล้วยกจานออกมาพอดี เมื่อเห็นภาพวาดในมือของลูกชายก็อุทานออกมา “อาหลี่…หมอนี่แหละที่ตามฉันกับมู่หลานวันนี้”
เอ่ยจบก็ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “อาหลี่ แกไปได้รูปนี้มาจากไหน?”
“มู่หลานเป็นคนวาดครับ”
ได้ยินเช่นนี้ เหยาจิ้งจือก็ได้แต่คิดว่าลูกสะใภ้ของตนช่างยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน “มู่หลาน เธอนี่รอบรู้ทุกเรื่องจริง ๆ น่าทึ่งมากเลย”
เซี่ยเหวินปิงก็เห็นภาพวาดเสมือนด้วยเหมือนกัน จึงเอ่ยพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “ทำไมเจ้านี่ถึงสะกดรอยตามพวกเธอ หรือว่ามันอยากได้เงิน?” โนเวลพีดีเอฟ
เหยาจิ้งจือได้ยินสิ่งนี้ จึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ฉินมู่หลานส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “คงไม่ได้อยากปล้นหรอกค่ะ ถ้าอยากจะปล้นจริงคงดักรอในช่วงที่เหมาะเจาะ แล้วพุ่งตรงเข้ามาคว้ากระเป๋าวิ่งหนีไปเลย คงไม่คอยตามติดอยู่ตลอดเวลา”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยาจิ้งจือก็ตอบโต้เหมือนกัน พลางพยักหน้าแล้วเอ่ย “ใช่แล้ว ถ้าจะปล้นจริง คงลงมือเข้ามาชิงกระเป๋าตังค์ไปนานแล้ว คงไม่แอบเดินตามพวกเรามาหรอก แล้วก็ตามนานมากด้วย”
เซี่ยเจ๋อหลี่รู้สึกว่านี่ไม่ใช่การหวังปล้นชิงทรัพย์แน่นอน “แม่ มู่หลาน เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจะตรวจสอบเอง ตอนนี้รีบกินข้าวกันเถอะ ทุกคนคงจะหิวกันแล้ว”
“ใช่ กินข้าวๆ”
เหยาจิ้งจือมีปฏิกิริยาตอบสนอง ก่อนจะรีบเชื้อเชิญให้ฉินมู่หลานรีบกินข้าว “มู่หลาน นี่มันก็นานมากแล้ว เธอคงหิวแย่ รีบกินเถอะ”
หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็นำภาพวาดเสมือนจริงที่ฉินมู่หลานวาดออกไปข้างนอกทันที
เหยาจิ้งจือเห็นฉินมู่หลานเปิดปากหาว จึงรีบจัดแจงให้เธอไปพักผ่อน
ฉินมู่หลานรู้สึกง่วงนอนนิดหน่อย แถมยังรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงรีบพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “แม่คะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปนอนสักหน่อยนะคะ”
หลังจากฉินมู่หลานเข้าห้องเพื่อไปพักผ่อน เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็ออกมาข้างนอก “ฉันได้ยินมาว่าทุกครอบครัวสามารถครอบครองที่ดินผืนเล็กได้แล้ว พวกเราลองไปหาข่าวกันดูเถอะ จะได้ปลูกผักสวนครัวกันเองได้”
เซี่ยเหวินปิงพยักหน้าเห็นด้วยอยู่แล้ว “ได้สิ ปลูกผักกินเองก็ดี จะได้ไม่ต้องซื้อ” เมื่อตอนอยู่หมู่บ้าน เวลาอยากกินผักก็จะไปเก็บมาจากไร่ของที่บ้านตัวเอง ไม่จำเป็นต้องซื้อ พอมาอยู่ที่นี่ กลับพบว่าผักทั้งหมดต้องซื้อ
ไม่นานนัก ทั้งสองสามีภรรยาก็ไปถามเซี่ยเจ๋อหลี่เกี่ยวกับที่ดินผืนเล็ก เพียงแต่ว่าตอนนี้ที่ดินนี้กำลังถูกใช้เพาะปลูกอยู่ และคนที่กำลังเพาะปลูกนี้ก็คือหม่าชุนเหมยภรรยาของหวังเจียเหอ
หม่าชุนเหมยเห็นว่าครอบครัวของเซี่ยเจ๋อหลี่อยากจะเพาะปลูก จึงเอ่ยถามอย่างประหม่า “คุณป้าคะ รออีกสักสองสามวันได้ไหมคะ กะหล่ำปลีพวกนี้อีกไม่กี่วันก็จะออกผลได้เต็มที่ ขอรอไปอีกสักสองสามวันก่อนแล้วค่อยตัดได้ไหมคะ”
ได้ยินเช่นนี้ เหยาจิ้งจือก็ไม่ได้คัดค้านอะไร จึงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ได้จ้ะ ถ้าอย่างนั้นอีกสองวันเธอช่วยเอาเจ้าพวกนี้ออกไปด้วยนะ เราจะได้มาพรวนดินแล้วเพาะปลูก”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณป้า”
หลังจากเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินกลับไป ใบหน้าของหม่าชุนเหมยก็มืดมนลงนิดหน่อย หากที่ตรงนี้หายไป เช่นนั้นหล่อนก็จะปลูกผักได้น้อยลง ตอนแรกตนอยากเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวผักให้ได้มาก ๆ จะได้นำไปแลกเปลี่ยนสิ่งของกับคนอื่นได้ในบางครั้ง แต่หลังจากต้องคืนที่ดินส่วนนี้ก็คงทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว
เมื่อคิดเช่นนั้น หม่าชุนเหมยก็เม้มกัดปากตัวเอง รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย
ในตอนนี้เจียงลวี่ชิวบังเอิญมาที่นี่พอดี เมื่อเห็นหม่าชุนเหมยยืนอยู่เพียงลำพังด้วยสีหน้าว่างเปล่า จึงอดจะเรียกไม่ได้ “ชุนเหมย เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หม่าชุนเหมยก็กลับมามีสติอีกครั้ง จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอก แค่กำลังคิดว่าจะตัดผักมากมายในครั้งเดียวต้องทำยังไง” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เจียงลวี่ชิวได้ยินดังนี้ ก็อดจะพูดไม่ได้ “เธอจะตัดพวกมันทั้งหมดในครั้งเดียวเลยเหรอ ทำไมไม่ทยอยเก็บไปกินไปล่ะ”
“เฮ้อ…เมื่อกี้พ่อกับแม่ของหัวหน้าเซี่ยเพิ่งมาหาฉัน บอกว่าจะปลูกผักบ้างสักหน่อย อยากจะให้ฉันคืนที่ตรงนี้ให้กับพวกเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงลวี่ชิวก็ขมวดคิ้วและมองไปที่หม่าชุนเหมยก่อนจะพูดขึ้น “ฉันจำได้ว่าตรงนี้เคยเป็นที่ของหัวหน้าเซี่ย แต่เขาไม่เคยปลูกอะไรเลย จึงปล่อยให้พวกเธอเข้ามาปลูกได้ แต่จากที่ฟังเธอพูดเมื่อกี้ เหมือนเธอคิดว่าที่ดินตรงนี้เป็นของตัวเองอย่างนั้นแหละ”
“ฉ…ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
หม่าชุนเหมยเห็นเจียงลวี่ชิวพูดแบบนั้น จึงพูดไม่ออกขึ้นมาทันที ทำไมหล่อนถึงไม่เหมือนเดิมนะ หล่อนไม่พูดอะไรกับตนเลยสักคำ
เจียงลวี่ชิวเห็นหม่าชุนเหมยรู้สึกเสียใจ ก็ไม่อยากพูดอะไรมากมายอีก จึงเอ่ยออกไปตามตรง “ฉันมีอย่างอื่นต้องทำ ขอตัวก่อน”
พูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ขณะเฝ้ามองร่างของเจียงลู๋ชิวที่กำลังเดินจากไป หม่าชุนเหมยก็สบถด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วเอ่ย “เสแสร้งอะไรกัน ตอนเจอภรรยาหัวหน้าเซี่ยยังไม่มีท่าทางแบบนี้เลย นี่กำลังดูถูกใครอยู่”
เมื่อเอ่ยจบก็เดินกลับบ้านด้วยความฉุนเฉียว
อีกด้านหนึ่ง เมื่อฉินมู่หลานตื่นขึ้นมา เหยาจิ้งจือก็กำลังยุ่งอยู่ในครัว เธอมองดูเวลา ก่อนจะพบว่ายังกลางวันอยู่ ยังไม่ถึงเวลาเตรียมอาหารเย็นเลย “แม่คะ แม่ทำอะไรอยู่เหรอคะ?”
เหยาจิ้งจือเห็นฉินมู่หลานตื่นแล้ว จึงรีบเอ่ยพร้อมยกยิ้ม “มู่หลาน ตื่นมาได้ทันเวลาพอดีเลย ฉันทำซุปหวานเอาไว้ เธอรีบดื่มสักชามเถอะ” ขณะที่พูด ก็ตักซุปลงในชามแล้วเดินมาทางโต๊ะ ก่อนจะบอกให้ฉินมู่หลานรีบกิน
ฉินมู่หลานมองดูซุปหวานในชาม ก่อนจะพบว่ามีวัตถุดิบมากมาย มองดูแล้วน่าอร่อยมาก เธอจึงยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ขอบคุณค่ะแม่ พ่อกับแม่ก็กินกันด้วยนะคะ”
“อะ…ก็ได้ ก็ได้”
เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็ตักซุปในชามกินเช่นกัน จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าครัวไปเพื่อทำงานอีกครั้ง ทั้งสองกำลังเตรียมมื้ออาหารเย็นสุดหรูหราเพื่อเป็นการสร้างความประหลาดใจให้ลูกสะใภ้คนเล็ก
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่หลี่จะสืบตัวคนร้ายเจอไหมคะว่าเป็นใคร แล้วใครเป็นผู้บงการ
อ่อ ไปยึดที่เขาเป็นที่ปลูกผักของตัวเองงี้เหรอ
ไหหม่า(海馬)