ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 197 ฉินเจี้ยนเซ่อฟื้น(2)
ตอนที่ 197 ฉินเจี้ยนเซ่อฟื้น(2)
ตอนที่ 197 ฉินเจี้ยนเซ่อฟื้น(2)
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานกลับไม่คิดว่าโหยวหย่งเป็นฝ่ายผิดเลย
“โหยวหย่งฆ่าคนร้ายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ ทำไมเขาจึงถูกไล่ออกได้ล่ะ?”
เหวินเชี่ยนส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ย “ถ้าในตอนนั้น ท่านผบ.ก็ช่วยโหยวหย่งแล้วครับ แต่หลังจากนั้นโหยวหย่งก็เหมือนจะหัวรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มีวิธีการจัดการกับคนร้ายรุนแรงขึ้น ทำให้คนที่ไม่ชอบขี้หน้าเอาไปรายงาน สุดท้ายแล้วเขาก็….โดนเด้งออกจากกองทัพครับ”
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้ นอกจากนี้ยังเห็นใจกับชีวิตของโหยวหย่งที่ผ่านมาด้วย
อีกด้านหนึ่ง หลังจากเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ก็พบว่าตระกูลฉินอยู่ที่นี่กันหมด
คุณปู่ฉินได้ยินจากลูกสะใภ้คนเล็กว่าฉินมู่หลานกับพ่อแม่สามีของเธอกลับมาแล้ว เมื่อเห็นทั้งสอง สีหน้าจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากนัก ก่อนจะยกยิ้มแล้วเอ่ยทักทาย “ญาติหลานเขย มากันแล้วหรอครับ ทำไมถึงไม่พักที่ห้องให้นานกว่านี้เสียหน่อยเล่า”
เมื่อสักครู่ลูกสะใภ้คนเล็กบอกว่าหลานสาวได้ทำการผ่าตัดให้ลูกชายคนเล็ก ประสบความสำเร็จอย่างมาก ลูกชายคนเล็กจึงมีหวังที่จะฟื้นขึ้นมา ตอนนี้เขาจึงอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว
คุณย่าฉินที่อยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยทักทายเช่นกัน
เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงรีบตอบรับทันที “พวกเราแวะมาเยี่ยมญาติสะใภ้กันค่ะ ตอนแรกมู่หลานจะมาด้วย แต่วันนี้หล่อนเหนื่อยมากแล้ว พวกเราจึงให้หล่อนพักก่อนค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทั้งคุณปู่และคุณย่าฉินก็รีบพูดทันที “พวกเราได้ยินกันแล้วล่ะว่าตอนมู่หลานออกมาจากห้องผ่าตัดแล้วหน้าดูซีดเซียว จะปล่อยให้เหนื่อยมากก็ไม่ได้”
แต่ถึงอย่างไรคุณปู่ฉินก็มีข้อสงสัยคาใจนิดหน่อย
หลานสาวเรียนแพทย์แผนจีนกับเขามาตั้งแต่เด็กก็จริง แล้วไปเรียนผ่าตัดมาตั้งแต่ตอนไหนกัน แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาที่ดีที่จะถามอะไรมากมาย เขาจึงระงับความสงสัยเอาไว้ก่อน
เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงนั่งอยู่สักพักก่อนจะกลับไปที่ห้องพัก ระหว่างทางทั้งสองก็ได้แวะรับประทานอาหาร หลังจากคนกลุ่มหนึ่งรับประทานเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันพักผ่อน
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานก็ตื่นขึ้นอย่างรู้สึกถึงพลังเต็มเปี่ยม หลังรับประทานอาหารเช้าและดื่มยาแล้วก็มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลทันที
เห็นคุณปู่กับคุณย่าฉินทั้งสองท่านไม่ได้กลับเมื่อคืน หมอหลี่จึงอำนวยความสะดวกให้กับพวกเขา โดยให้ทั้งสองไปนอนพักที่ห้องพักแพทย์ ทั้งสองจึงได้พักผ่อนกันอย่างสบาย เมื่อเห็นหลานสาวมาหา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “มู่หลาน มาแล้วเหรอ”
จากนั้นทั้งสองก็ได้สังเกตเห็นท้องของฉินมู่หลาน
คุณย่าฉินหรือหลิวซุ่ยฮวาก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าประหม่า ก่อนจะเอ่ยถาม “มู่หลาน ทำไมมาเช้าจัง เหนื่อยหรือเปล่า?”
ถึงแม้พวกเขาจะทราบกันแล้วว่าหลานสาวตั้งท้องลูกแฝด ท้องจึงต้องใหญ่ แต่หลังจากได้มาเห็นกับตาก็ยังรู้สึกตกใจอยู่บ้าง เพราะท้องนี้ใหญ่โตเหมือนคนใกล้คลอด
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งที่ผู้เฒ่าทั้งสองพูด ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “คุณปู่ คุณย่า หนูไม่เหนื่อยค่ะ เมื่อวานได้พักผ่อนเต็มที่ รู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ”
หลายคนพูดคุยกันขณะเดินไปที่ห้องพักฟื้น ก่อนจะเห็นซูหว่านอี๋กำลังเช็ดหน้าและมือของฉินเจี้ยนเซ่อให้อย่างอ่อนโยนทะนุถนอม เมื่อเห็นลูกสาวกับพวกปู่ฉินมา ก็รีบกล่าวทันที “พ่อ แม่ มู่หลาน ญาติลูกเขย ทุกคนนั่งกันก่อนค่ะ”
เพียงแต่ในห้องพักฟื้นมีที่นั่งไม่ได้มากมายนัก สุดท้ายเหยาจิ้งจือกับคนอื่นก็ยืนเอา
“แม่คะ ขอหนูตรวจชีพจรของพ่ออีกครั้งค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูหว่านอี๋ก็หลีกทาง เพื่อให้ลูกสาวได้ตรวจชีพจรของสามี
หลังจากฉินมู่หลานจับชีพจรของฉินเจี้ยนเซ่ออย่างละเอียดแล้ว สีหน้าก็ดูโล่งใจขึ้น การผ่าตัดเมื่อวานนี้ประสบความสำเร็จดี อาการของพ่อจึงดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินมู่หลาน ทุกคนก็พอจะทราบกันได้ว่าฉินเจี้ยนเซ่อดีขึ้นแล้ว
ในตอนนี้ ทุกคนจึงพากันดีใจ
คุณปู่ฉินสบโอกาส จึงรีบถามเกี่ยวกับการผ่าตัดของฉินมู่หลานเสียหน่อย
“คุณปู่คะ ครั้งก่อนหนูก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าหนูสนิทกับหมอเลี่ยวที่โรงพยาบาลทหาร จึงได้ถามคำถามเขามากมาย แลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่ไม่น้อย ตอนนี้หนูจึงผ่าตัดได้ด้วยค่ะ” เมื่อเอ่ยจบ ฉินมู่หลานก็รู้สึกขอบคุณหมอเลี่ยวเป็นอย่างมาก หากพูดอ้างไปเช่นนี้ คงไม่มีใครคิดสงสัย
เหยาจิ้งจือทราบว่าลูกสะใภ้จะชอบไปโรงพยาบาลทหารเป็นส่วนใหญ่ จึงรีบบอกกล่าวเช่นกัน “ใช่ค่ะ มู่หลานไปโรงพยาบาลทหารบ่อยมาก คุณหมอที่นั่น เก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ”
คุณปู่ฉินได้ฟังหลานสาวพูดแบบนั้นก็ไม่คิดสงสัยอะไร จากมุมมองของเขา ในโรงพยาบาลทหารมีหมอเก่ง ๆ เยอะมากจริง ๆ หลานสาวคงได้เรียนรู้มาจากพวกเขา ก็เป็นการหล่อหลอมเธอไปในตัวด้วย
เพราะมีผู้คนมากมาย ในหอพักฟื้นจึงดูแออัด ซูหว่านอี๋จึงต้องพูดกับคุณปู่กับคุณย่าฉินอย่างช่วยไม่ได้ “พ่อคะแม่คะ กลับไปกันก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวทางนี้ฉันดูแลเอง มู่หลานก็มาแล้ว มีหล่อนอยู่ที่นี่ ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยแน่นอนค่ะ”
หลิวชุ่ยฮวาเชื่อในตัวหลานสาวอยู่แล้ว จึงหันไปพูดกับคุณปู่ฉิน “ตาเฒ่า พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
“ได้”
เซี่ยเหวินปิงเห็นว่าคุณปู่กับคุณย่าฉินกำลังจะกลับ จึงฝากข่าวสารบางอย่างให้พวกเขาไปบอกเซี่ยเจ๋อเหว่ยลูกชายคนโต
คุณปู่ฉินเอ่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ได้ เดี๋ยวพวกเรากลับไปแล้วจะบอกให้แน่นอน” แต่เมื่อเขาเห็นว่าเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงยังไม่กลับหมู่บ้าน ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสงสัย “ญาติหลานเขย พวกเธอไม่กลับเหรอ ที่นี่มีหว่านอี๋ มู่หลานกับเคอวั่งอยู่แล้ว พวกเธอก็ไม่ต้องอยู่หรอก”
“ผู้อาวุโสคะ พวกเรายังไม่กลับค่ะ มู่หลานยังอยู่ที่นี่ พวกเราก็จะอยู่ที่นี่ด้วยค่ะ”
คุณปู่ฉินทราบถึงความเป็นห่วงหลานสาว เขาจึงไม่พูดอะไร “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ พวกฉันกลับก่อนแล้วกันนะ”
หลังจากคุณปู่กับคุณย่าฉินกลับไปแล้ว เหวินเชี่ยนก็แอบกระซิบกับฉินมู่หลาน “พี่สะใภ้ครับ ผมได้ยินตอนที่คุณปู่กับคุณย่าท่านคุยกันอยู่เป็นครั้งคราว เหมือนว่าคุณย่าของคุณจะชื่อชุ่ยฮวาเหมือนกันนะครับ”
พวกเขานึกไปถึงหญิงชราที่จะลงมือกับเหยาจิ้งจือก่อนหน้านี้ แล้วยังมีหญิงวัยกลางคนที่ชื่อชุ่ยฮวาด้วย มันจึงสะกิดใจขึ้นมา
ฉินมู่หลานคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“ในหมู่บ้านของพวกเราก็มีหญิงชรากับป้าที่ชื่อชุ่ยฮวาเหมือนกัน นอกจากนี้ก็ยังมีเหอฮวา เหมยฮวา กุ้ยฮวา กุ้ยจือ อะไรพวกนี้ด้วย หาได้ถมเถไปค่ะ”
“ก็ใช่ คนชื่อเหมือนกันมีซ้ำเยอะมาก”
แต่ถึงเหวินเชี่ยนพูดแบบนี้ ทุกคนนึกขึ้นได้ว่าต้องหลบซ่อนและคอยระวังคนจ้องจะเล่นงาน ทุกคนจึงต่างให้กำลังใจกัน
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ซูหว่านอี๋ก็ร้องอุทานออกมา
ฉินมู่หลานรีบหันไปมองทันที ก่อนจะพบว่าฉินเจี้ยนเซ่อลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว “พ่อ ฟื้นแล้วเหรอคะ”
ฉินเจี้ยนเซ่อเห็นหน้าลูกสาวแล้วก็รู้สึกสับสนนิดหน่อย ไม่เข้าใจว่าทำไมลูกสาวถึงมาอยู่ที่นี่ได้ “มู่หลาน ทำไมลูกถึงมาอยู่ที่นี่?”
…………………………………………………………………….