ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 202 ทำไมไม่ซ้อนกลล่ะ(1)
ตอนที่ 202 ทำไมไม่ซ้อนกลล่ะ(1)
ตอนที่ 202 ทำไมไม่ซ้อนกลล่ะ(1)
หลังภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้รับเงินจากลูกสาว ในใจของหล่อนก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อรวมกับเงินที่ลูกสาวให้ก่อนหน้านี้ก็พบว่าสามารถสร้างบ้านด้วยอิฐและกระเบื้องได้แล้ว
ทว่าในไม่ช้า หล่อนก็รู้สึกฉงนเล็กน้อย และเอ่ยถามอีกครั้ง “เสี่ยวเหอ แกให้ฉันชวนจิ้งจือเข้าไปภายในตัวเมืองทำไมกัน?”
เย่ต้าหย่งเองก็มองไปทางลูกสาวด้วยความสงสัย
เย่เสี่ยวเหอกลับไม่ได้กล่าวอะไร เพียงเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ขอแค่แม่นัดเหยาจิ้งจือเข้าเมืองก็พอแล้ว อันที่จริงมีคนหนึ่งอยากพบหล่อน หนูรับผลประโยชน์จากคนคนนั้นมาแล้วก็เลยต้องช่วยเหลือเท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็ดูประหลาดใจอย่างเห็นชัด
“คนๆ นั้นเป็นใครถึงได้อยากพบกับเหยาจิ้งจือ อีกทั้งยังให้เงินมากมายขนาดนี้”
“เรื่องนี้แม่ไม่ต้องยุ่งหรอกค่ะ”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้ยินเช่นนี้ก็ไม่เอ่ยถามอะไรอีก “ได้ๆๆ งั้นฉันจะไม่ยุ่ง”
อย่างไรก็รับเงินมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นแค่การนัดหมายเหยาจิ้งจือให้เข้าเมือง ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร
เย่เสี่ยวเหอรู้สึกไม่ค่อยวางใจนัก จึงเอ่ยกำชับอีกครั้ง “แม่ แม่จำไว้ด้วยนะว่าห้ามไปนัดหล่อนด้วยตัวเอง แม่ต้องให้คนอื่นไปนัดหมายเหยาจิ้งจือเข้าเมือง พอถึงเวลานั้นแม่ค่อยไปกับพวกหล่อนก็ได้”
“ตกลง ฉันเข้าใจแล้ว”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเอ่ยอย่างหมดความอดทน จากนั้นถือเงินกลับเข้าไปภายในห้องด้วยท่าทางมีความสุข
ขณะภรรยายังไม่รับรู้ถึงความผิดปกติ เย่ต้าหย่งกลับพบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ “ทำไมต้องให้คนอื่นนัดหมายหล่อนแทนแม่ของแกด้วยล่ะ แกไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพวกเราเป็นคนนัดหมายเหยาจิ้งจืองั้นสินะ แกกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่”
เย่เสี่ยวเหอได้ยินเช่นนั้นก็ชำเลืองมองพ่อของตนและเอ่ย “พ่อ เรื่องนี้พ่อไม่ต้องมายุ่งหรอก เอาเป็นว่าพวกเรารับเงินและจัดการเรื่องต่างๆ ให้กับคนคนนั้นก็พอแล้ว หรือว่าพ่ออยากจะคืนเงินก่อนหน้านี้เหรอ ถ้าต้องการแบบนั้นหนูก็ไม่ว่าอะไรนะ หลังจากคืนเงินก้อนนี้ไปหนูก็จะไม่มีเงินมาให้พวกพ่ออีก อย่างไรเสียก็มอบเงินชดเชยให้กับตระกูลเฝิงไปหมดแล้ว”
ได้ยินคำพูดนี้ของลูกสาว เย่ต้าหย่งพลันเม้มริมฝีปากและไม่เอ่ยถามอะไรอีก อย่างไรเสียทั้งชีวิตนี้ของเขาก็คงไม่สามารถเก็บเงินได้มากมายขนาดนี้
ยิ่งกว่านั้นลูกสาวก็กล่าวว่าเป็นเพียงแค่การนัดหมายเหยาจิ้งจือเข้าไปในเมืองก็เท่านั้น คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก
จนกระทั่งวันถัดมา ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไปยังบ้านตระกูลเซี่ยอย่างมีความสุขและลืมคำเตือนก่อนหน้านี้ของลูกสาวเสียสนิท จำได้เพียงว่าให้นัดหมายหล่อนไปยังตัวเมืองเท่านั้น เพราะผู้หญิงจำนวนมากภายในหมู่บ้านต่างก็ชวนคนอื่นไปด้วยกันเช่นนี้
เมื่อเหยาจิ้งจือเห็นว่าภรรยาผู้ใหญ่บ้านมาหา หล่อนพลันประหลาดใจเล็กน้อย อย่างไรก็ยังคงกล่าวทักทาย “หม่านจู ทำไมเธอถึงมาที่นี่ล่ะ”
หวังหม่านจูภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้ยินคำพูดนี้ของเหยาจิ้งจือ ก็ยิ้มพลางเอ่ย “จิ้งจือ ฉันว่าจะชวนเธอเข้าไปในเมืองน่ะ พรุ่งนี้พวกเราไปด้วยกันดีไหม ฉันมีของมากมายที่อยากจะซื้อ พวกเธอเพิ่งกลับมาก็คงจะมีของที่ต้องซื้อเป็นจำนวนมากเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยาจิ้งจือก็เหลือบมองหวังหม่านจูด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย
อันที่จริงแล้วหล่อนกับภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่เคยสนิทสนมกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังจำวีรกรรมก่อนหน้านี้ของเย่เสี่ยวเหอได้ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหวังหม่านจูจะเป็นฝ่ายชวนตนเข้าเมือง จึงเอ่ยปฏิเสธไปโดยไม่คิด
“หม่านจู ในบ้านของพวกฉันไม่มีอะไรต้องซื้อหรอก ฉันขอไม่ไปแล้วกันนะ”
หวังหม่านจูคาดไม่ถึงว่าเหยาจิ้งจือนั้นจะปฏิเสธ หล่อนจึงชะงักเล็กน้อย “ในบ้านพวกเธอไม่มีอะไรต้องซื้อจริงๆ เหรอ พวกเธอเพิ่งกลับมาก็น่าจะต้องซื้ออาหารและของใช้บ้างนะ”
“สะใภ้ใหญ่ฉันจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วล่ะ ฉันก็เลยไม่ต้องไป”
“อ๊า…….นี่……”
หวังหม่านจูไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่ลูกสาวกล่าว หล่อนก็พยายามเอ่ยปากชวนอีกครั้ง กระนั้นเหยาจิ้งจือยังคงปฏิเสธ หล่อนเองก็อับจนหนทาง สุดท้ายก็เดินชักสีหน้าจากไป
ในตอนนี้ฉินมู่หลานได้ออกมาจากห้องและเอ่ยถาม
“แม่ คนที่เพิ่งมาเมื่อกี้นี้คือแม่ของเย่เสี่ยวเหอเหรอคะ?”
“ใช่ หล่อนมาชวนฉันเข้าเมือง แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว ดูเหมือนว่าภายในบ้านเราคงไม่จำเป็นจะต้องซื้ออะไรเพิ่มแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของฉินมู่หลานปรากฏความสงสัย “ฉันจำได้ว่าบ้านของพวกเรากับบ้านของผู้ใหญ่บ้านไม่ได้สนิทสนมกัน ทำไมป้าหวังถึงได้มาชวนแม่เข้าเมืองล่ะคะ”
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ เหยาจิ้งจือเองก็แปลกใจเช่นกัน
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เย่เสี่ยวเหอได้ทำเมื่อก่อนหน้านี้ ในใจของหล่อนก็ไม่ค่อยพอใจต่อครอบครัวของผู้ใหญ่บ้านเท่าไรนัก “อาจเป็นเพราะว่าอยากหาคนเข้าไปในเมืองด้วยหรือเปล่า ฉันไม่ไปก็ดีแล้ว หลังจากนี้ตอนพบหน้ากัน ทุกคนพยักหน้าทักทายกันก็พอ เรื่องอื่นก็คงไม่มีอะไรแล้ว”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นพลันพยักหน้า จากนั้นมองเหยาจิ้งจือพร้อมกับเอ่ย “แม่คะ ฉันจะกลับบ้านไปหาพ่อฉันอีกครั้งนะคะ”
“ได้ งั้นเธอรีบไปเถอะ”
ฉินมู่หลานพาเหวินเชี่ยนไปยังบ้านตระกูลฉิน ฉินเจี้ยนเซ่อเห็นว่าลูกสาวมาอีกครั้งก็พลันยิ้มและเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “มู่หลาน ตอนนี้พ่อดีขึ้นมากแล้ว ลูกไม่ต้องเทียวไปเทียวมาหรอก”
“พ่อคะ บ้านของพวกเราทั้งสองตระกูลอยู่ใกล้กัน มาหาพ่อสะดวกมาก พ่ออย่าเห็นเป็นคนอื่นคนไกลเลย”
ซูหว่านอี๋ที่อยู่ด้านข้างก็ยิ้มและเอ่ย “ใช่แล้ว ลูกสาวอุตส่าห์เป็นห่วงคุณ สุดท้ายคุณกลับไม่เห็นคุณค่า”
ขณะเอ่ยก็มองดูลูกสาวกำลังตรวจวัดชีพจรให้กับสามี จากนั้นก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “มู่หลาน พ่อของลูกฟื้นตัวดีขึ้นมากแล้ว แม่ว่าช่วงนี้เขาก็น่าจะดีขึ้นแล้วล่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มและพยักหน้าพร้อมกับเอ่ย “ใช่ค่ะ พ่อฟื้นตัวดีขึ้นมาก แต่อาการบาดเจ็บจะหายได้ในหนึ่งร้อยวัน[1] พ่อยังต้องดูแลตัวเองให้ดี ต่อให้ตอนนี้จะใช้เท้าข้างหนึ่งเดินได้แล้ว แต่ทางที่ดีที่สุดคืออย่าเดินมากจนเกินไป”
“ได้ ฉันจะจับตาดูเขาให้ดี”
ขณะนี้ฉินเคอวั่งได้ลงมาจากเขาแล้ว ตะกร้าด้านหลังของเขาเต็มไปด้วยยาสมุนไพร
เมื่อเห็นลูกชายเก็บสมุนไพรมามากมายขนาดนี้ ซูหว่านอี๋ยิ้มและเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ดูน้องชายลูกเถอะ เขากังวลเกี่ยวกับเงินค่ายาและคิดหาวิธีการเก็บยาสมุนไพรด้วยตนเอง รอให้แกเก็บสมุนไพรและปรุงยาจนเสร็จก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถนำมาใช้ได้”
ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนั้นก็หัวเราะและเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “นี่คือน้ำใจของน้องชาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากนี้ก็นำมาใช้ได้อย่างแน่นอน”
“ใช่ พวกลูกสองคนน่ะเป็นเด็กกตัญญู”
ซูหว่านอี๋มองลูกชายลูกสาวที่อยู่ตรงหน้าและรู้สึกภาคภูมิใจ
ฉินเคอวั่งเห็นว่าฉินมู่หลานมาแล้ว และพบว่าตนเองยังไม่รู้จะปรุงสมุนไพรหลากหลายชนิดที่เก็บมาวันนี้อย่างไร เขาจึงรีบเทสมุนไพรภายในตะกร้าด้านหลังออกมาและเอ่ยถาม
ฉินมู่หลานรู้ว่าน้องชายอยากทราบเรื่องการปรุงสมุนไพร จากนั้นยิ้มพลางเอ่ย “นายใจเย็นก่อน ฉันจะบอกนายอย่างละเอียดเลย” อย่างไรก็ตามเมื่อเอ่ยคำพูดสุดท้าย เธอเหลือบไปเห็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง นัยน์ตาพลันปรากฏความประหลาดใจ “นี่มันโกวเวิ่น(มะเค็ด)นี่ คาดไม่ถึงว่าสถานที่นี้ของพวกเรามีสิ่งนี้อยู่ด้วย”
ฉินเคอวั่งได้ยินคำพูดนี้ของพี่สาว เขาก็มองไปยังสมุนไพรนั้นเช่นเดียวกันและเอ่ย “ใช่แล้วพี่ ผมรู้สึกประหลาดใจมากเหมือนกัน คาดไม่ถึงว่าสถานที่นี้ของพวกเราจะมีของแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นผมเห็นเพียงแค่สองต้นนี้เท่านั้น พลางคิดว่าพืชชนิดนี้มีพิษร้ายแรง หากมีคนภายในหมู่บ้านเก็บไปโดยไม่ระวังก็อาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้ ดังนั้นผมก็เลยเก็บกลับมา”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนั้นพลันพยักหน้าและเอ่ย “ใช่แล้ว นายทำถูกต้องแล้ว”
อย่างไรก็ตามหลังจากเอ่ยคำพูดสุดท้าย เธอจ้องมองไปทางต้นโกวเวิ่นสองต้นนั้นอีกครั้งและเอ่ย “เอามาให้ฉันเถอะ ฉันจะจัดการพวกมันเอง”
ได้ยินคำพูดนี้ ฉินเคอวั่งยังคงรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
“พี่ พี่จะเอาไอ้ต้นนี่ไปทำอะไร ให้ผมทำลายทิ้งไปก็ได้”
ฉินมู่หลานกลับเอ่ย “พอดีฉันจะนำไปใช้ประโยชน์ นายมอบให้ฉันเถอะ ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่ใช้ได้อย่างถูกต้อง สิ่งนี้ก็เป็นวัตถุดิบของการปรุงยาที่ดีมาก”
เมื่อเห็นพี่สาวกล่าวเช่นนี้ ฉินเคอวั่งเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกและยื่นต้นโกวเวิ่นให้กับฉินมู่หลาน จากนั้นก็เริ่มสอบถามเกี่ยวกับวิธีการปรุงยาสมุนไพรหลายชนิดที่เขาไม่เข้าใจ
…………………………………………………………………………………………………………………………
[1] บาดเจ็บได้หนึ่งร้อยวันหมายถึง อาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและกระดูกมักจะดีขึ้นภายในเวลาหนึ่งร้อยวันหรือราวสามเดือน
สารจากผู้แปล
แผนไม่เนียนนะคะ มู่หลานดูออกแต่แรกแล้วจ้า
ไหหม่า(海馬)