ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 215 หลักฐานชัดเจน
ตอนที่ 215 หลักฐานชัดเจน
ตอนที่ 215 หลักฐานชัดเจน
เมื่อเห็นยินอวี่โหรวมา เหยาจิ้งถงก็เหมือนมีเสาหลักยึดมั่น รีบวิ่งตรงไปหาผู้เป็นแม่แท้ ๆ ของตนทันที ก่อนจะรีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ แล้วสุดท้ายก็เอ่ยขึ้นว่า “คุณน้า คนนี้เขาใส่ร้ายคุณน้าค่ะ เขาบอกว่าคุณน้าเป็นชู้รักของเขา นี่มันเกินไปแล้วนะคะ”
หลังจากได้ฟังคำพูดของลูกสาว สายตาของยินอวี่โหรวก็เปล่งประกายเหี้ยมเกรียม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้านายท่านเหยากับคุณนายเหยา นางกลับพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “พี่สาว พี่เขย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องใส่ร้ายป้ายสีกัน พวกพี่จะเชื่อกันไม่ได้นะคะ ฉันก็บอกไปแล้วว่าสองคนนี้เป็นพวกค้ามนุษย์ แล้วพวกพี่จะเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูดอย่างนั้นเหรอ”
ขณะที่เอ่ย ยินอวี่โหรวก็เหลือบมองเหยาจิ้งจือ ก่อนจะหันมองฉินมู่หลานอีกครั้ง จากนั้นก็ก้มลงมองหงเทียนซื่อที่นั่งอยู่บนพื้น พลางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “แกบอกว่าแกเป็นชู้รักฉันเหรอ ช่างไม่ดูตัวเองเสียเลย ถึงฉันจะอยากหาชู้รักก็คงไม่เอาแกหรอกว่าไหม”
“แก…”
หงเทียนซื่อได้ยินยินอวี่โหรวพูดจาดูถูกตนเอง จึงอดที่จะรู้สึกโกรธเสียไม่ได้ แต่เมื่อเขาเห็นข้อมือของยินอวี่โหรวปรากฎขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็รีบก้มหน้าก้มตาลงทันที แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย
เหยาจิ้งจือเห็นว่ายินอวี่โหรวมาด้วยตัวเอง ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณมาก็ดีแล้ว ฉันมีเรื่องอยากถามคุณอยู่พอดีเลยค่ะ ตอนที่ให้คนลักพาตัวฉันไปแล้วให้ลูกสาวเข้ามาเป็นคุณหนูตระกูลเหยาแทน พวกคุณสองคนแม่ลูกไม่มีความรู้สึกผิดอะไรสักนิดเลยเหรอ”
“จิ้งจือ ฉันรู้ว่าเธอสงสัยเรื่องที่ตัวเองพลัดหลงตอนเด็ก แต่เธอจะมาใส่ความให้ฉันเป็นคนผิดแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ฉันไม่รู้จักผู้ชายสองคนตรงหน้านี้เลย พวกเธอเข้าใจผิดกันแล้วล่ะ”
“เหอะ…สองคนนี้ยอมรับกันหมดเลยนะคะ แล้วจะเข้าใจผิดได้ยังไง”
เหยาจิ้งจือได้ยินคำสารภาพของหงเทียนซื่อกับหงเทียนเอินมาก่อน ย่อมไม่เชื่อคำพูดของยินอวี่โหรวอยู่แล้ว จึงจ้องมองตรงไปยังทั้งสองที่อยู่บนพื้นแล้วเอ่ยขึ้น “พวกนายรีบบอกสิ ว่าวางแผนกับยินอวี่โหรวตั้งแต่แรกยังไง”
แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งหงเทียนซื่อกับหงเทียนเอินก็พากันปิดปากเงียบ ทั้งสองดูเหมือนเป็นใบ้ ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย
ยินอวี่โหรวเห็นดังนั้น จึงอดยกยิ้มไม่ได้ “จิ้งจือ เธอดูสิ ก่อนหน้านี้พวกมันแค่พูดจาไร้สาระ พอมาอยู่ต่อหน้าฉันแล้ว จึงไม่กล้าพูดอะไรตามอำเภอใจ”
เมื่อเห็นทั้งสองไม่ยอมพูด เหยาจิ้งจือก็เริ่มเป็นกังวลนิดหน่อย
แต่ฉินมู่หลานก็หันไปมองเหยาจิ้งจืออย่างใจเย็น ก่อนจะชี้นิ้วไปที่โหยวหย่ง
โหยวหย่งก้าวไปข้างหน้าแล้วป้อนยาให้หงเทียนซื่ออีกครั้ง
“อะ…”
หงเทียนซื่อดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด รู้สึกปวดไปทั่วตัว ไม่นานนักเขาก็รู้สึกคันลึกไปถึงกระดูกขึ้นอีกครั้ง เขาเคยประสบกับการทรมานแบบนี้มาก่อน หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงจะยอมเอ่ยพูดทุกอย่าง แต่เมื่อนึกถึงสร้อยข้อมือสีสันสดใสเส้นหนึ่งบนข้อมือของยินอวี่โหรวที่เพิ่งเห็นเมื่อสักครู่ เขาก็กลับมาอดทนได้
เมื่อเห็นหงเทียนซื่อพยายามอดทนอย่างยากเย็น ฉินมู่หลานกับโหยวหย่งก็พากันมองด้วยสายตาประหลาดใจ
ในขณะนี้ อยู่ ๆ ยินอวี่โหรวก็เปิดปากพูดขึ้น “จิ้งจือ ที่พวกเธอกำลังทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่การสารภาพอย่างที่ว่าหรอก นี่มันเป็นการข่มขู่ คนนี้เขาดูเจ็บปวดมากเลยนะ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเธอบังคับอยากให้เขาพูดตามใจพวกเธอ ซึ่งพวกเขาก็คงไม่อยากจะพูดใส่ร้ายฉัน พวกเธอต้องการจะใส่ร้ายฉันเพราะจิ้งถงได้เป็นลูกสาวของพ่อแม่เธอ พวกเธอจึงต้องการแก้แค้นพวกเราสองแม่ลูกอย่างนั้นใช่ไหม”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็อดที่จะปรบมือเสียไม่ได้
ยินอวี่โหรวช่างเอาตัวรอดได้เก่งกาจเหลือ เวลาเพียงนิดเดียวเท่านั้น กลับร่ายเหตุผลยาวเหยียดออกมาได้ทันที ตอนนี้กลายเป็นว่าพวกเขาใส่ร้ายพวกหล่อนสองแม่ลูก แล้วทำให้พวกหล่อนตกเป็นเหยื่อ
“แปะ แปะ แปะ…”
ฉินมู่หลานทนไม่ไหว แล้วปรบมือให้ยินอวี่โหรว “คุณนี่เก่งจังเลยนะคะ”
ยินอวี่โหรวได้ยินเช่นนี้ จึงปรายตามองฉินมู่หลาน แล้วพูดขึ้น “ฉันไม่ได้เก่งอะไรสักหน่อย แค่พูดความจริงให้เป็นที่ประจักษ์น่ะ”
“เนื่องจากคุณดูมั่นใจมาก ถ้าอย่างนั้นเราลองมาฟังความเห็นของสองพี่น้องนี่ดีกว่าค่ะ”
ขณะพูด ฉินมู่หลานก็หยิบขวดกระเบื้องสีขาวอันเล็กใบหนึ่งออกมา ข้างในมีตัวยาที่สกัดจากดอกลำโพงกาสลักที่ฉินเคอวั่งให้มาในครั้งก่อน ตอนแรกเธอไม่ได้อยากใช้มัน เพราะมันมีน้อย แต่ตอนนี้ต้องใช้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้ว่ายินอวี่โหรวจะมาไม้ไหนอีก
“ฉินมู่หลาน เธอจะทำอะไรอีก ฉันคิดออกแล้ว พวกเธอแค่พยายามที่จะใส่ร้ายพวกเราสองแม่ลูก ไม่ว่าวันนี้เธอคิดจะทำอะไร ก็ไม่มีใครเชื่อเธอหรอก” เหยาจิ้งถงเห็นท่าทางของฉินมู่หลาน จึงกล่าวเสียงกังวาน ด้วยไม่เชื่อว่านายท่านเหยากับคุณนายเหยาจะยอมเชื่อพวกฉินมู่หลานกับเหยาจิ้งจืออีก
ได้ฟังคำพูดของเหยาจิ้งถง คุณนายเหยาก็หันมองฉินมู่หลานด้วยสีหน้าแปลกใจ ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใคร
และนายท่านเหยาก็อยากจะทราบว่าฉินมู่หลานคิดจะทำอะไรอีก
เพียงแต่ฉินมู่หลานยังไม่ได้ทำอะไร นอกประตูก็มีการเคลื่อนไหว ก่อนจะได้เห็นเซี่ยเจ๋อหลี่เดินมาพร้อมกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่มา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ
“อาหลี่ คุณมาได้ยังไงคะ?”
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นว่าฉินมู่หลานและพ่อกับแม่ไม่ได้เป็นอะไรก็โล่งใจ ก่อนจะยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “แน่นอนว่าผมมาเพื่อช่วย” เขารู้จุดประสงค์หลักที่พ่อกับแม่และภรรยามาที่เมืองหลวงแล้ว บังเอิญกับเมื่อเขากลับมา ทางด้านฉินจื้อเจียก็มีความคืบหน้า ดังนั้นเรื่องราวตรงหน้าจึงได้เกิดขึ้น
เซี่ยเจ๋อหลี่หันมองนายท่านเหยาแล้วพูดขึ้น “คนที่อยู่ข้างผมตอนนี้ คือไต้เย่บุตรชายแท้ ๆ ของพี่เลี้ยงที่เสียชีวิตไปในตอนนั้นครับ”
“อะไรนะ…”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยเจ๋อหลี่พูด ท่าทางของนายท่านเหยากับคุณนายเหยาก็เปลี่ยนไป
แม้แต่ยินอวี่โหรวที่ก่อนหน้านี้ดูสงบนิ่ง ก็มีสีหน้ายับยู่ขึ้นมาเช่นกัน
ไต้เย่มองคนที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ก้าวถอยหลังไปนิดหน่อย แต่ยังไม่ทันไร เขาก็หยุดลงอีกครั้ง เขาทราบดีว่าตัวเองจะต้องทำอะไรบางอย่าง แถมยังทราบดีด้วยว่าหากไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็พูดตามตรง “หลังจากที่แม่ทำให้คุณหนูตระกูลเหยาหายตัวไปแล้ว อยู่ ๆ ครอบครัวเราก็ได้รับเงินมากมาย จากนั้นท่านก็นำเงินมาให้พ่อของผม แล้วยังไม่ให้พวกผมได้เอ่ยถามอะไรด้วย เพียงแค่ให้เรารับเงิน แล้วพาครอบครัวออกไปจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด และพวกเราก็ทำตามครับ ย้ายถิ่นฐานไปทางใต้กันหมดเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกผมก็อยู่ที่ทางใต้มาตลอด”
นายท่านเหยาจ้องมองไต้เย่ด้วยสีหน้ายับยู่น่าเกลียด พลางเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเธอรู้ที่มาของเงินนั่นไหม?”
“ผมก็พอเดาได้บ้างครับ ไม่มีอะไรน่าเอะใจมากกว่าการพาตัวคุณหนูเหยาออกไปข้างนอก แม่ของผมถึงได้มีเงินมากมายขนาดนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นเธอรู้ไหม ว่าใครเป็นคนขอให้แม่เธอทำแบบนี้?”
ไต้เย่ปรายตามองยินอวี่โหรวอยู่จากที่ห่าง ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “คือผู้หญิงคนนี้”
“เธอพูดไร้สาระ”
ยินอวี่โหรวต้องส่ายหัวปฏิเสธอยู่แล้ว
แต่ไต้เย่กลับยกยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น “ปีนั้นที่คุณมาหาแม่ของผม จริง ๆ แล้วผมแอบอยู่ใต้โต๊ะ เพียงแต่คุณกลับไม่ทันเห็น ผมถึงได้รู้ว่าคุณเป็นคนสั่งแม่ผม”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นังอสรพิษเฒ่าจะรอดไหมนะ พยานบุคคลเยอะขนาดนี้
ไหหม่า(海馬)