ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 24 ขอบคุณถึงหน้าประตู
ตอนที่ 24 ขอบคุณถึงหน้าประตู
ตอนที่ 24 ขอบคุณถึงหน้าประตู
แม่เฒ่าอวี๋เห็นฉินมู่หลานและคนอื่น ๆ กำลังจะจากไป จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “หมอน้อยฉิน พวกเรายังไม่ได้ขอบคุณเธออย่างเป็นทางการเลย อยู่กินข้าวเย็นกับพวกเราไหม”
ฉินมู่หลานเอ่ยปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิดอยู่แล้ว
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณยาย เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
หลังจากฉินมู่หลานเอ่ยจบ เธอก็หันหลังแล้วเดินจากไปทันที โดยมีเซี่ยเจ๋อหลี่และฟู่ซวี่ตงรีบเดินตามหลังห่างอยู่ก้าวหนึ่ง
ฟู่ซวี่ตงจ้องมองฉินมู่หลานที่เดินนำอยู่ข้างหน้า พลางเอ่ยกระซิบพูดกับเซี่ยเจ๋อหลี่ “ทักษะการแพทย์ของน้องสะใภ้น่าทึ่งมาก เทียบกับแพทย์ในโรงพยาบาลทหารของพวกเราแล้วยอดเยี่ยมกว่าเยอะเลย นายโชคดีจริง ๆ เลยนะ”
จากคู่แต่งงานที่ครอบครัวเลือกเอาไว้ให้ เธอจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เดิมทีคิดว่าจะเป็นเพียงหญิงสาวบ้านนอกธรรมดา ๆ แต่เขากลับคิดผิด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยเจ๋อหลี่จึงพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว มู่หลานยอดเยี่ยมมากจริงๆ หล่อนเรียนทักษะการแพทย์มาจากคุณปู่ตั้งแต่เด็ก”
“ได้รับสืบทอดมาจากตระกูลนี่เอง”
ฟู่ซวี่ตงพยักหน้า แล้วก้าวเดินออกจากโรงพยาบาล
เมื่อมาถึงข้างนอก เซี่ยเจ๋อหลี่จึงหันไปหาฟู่ซวี่ตงก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อกี้อาหารไม่ค่อยถูกปากสักเท่าไหร่ พวกเราไปหาอะไรกินเพิ่มสักหน่อยดีไหม”
เมื่อฟู่ซวี่ตงได้ยินดังนั้น จึงยกมือขึ้นโบกไปมา พลางเอ่ย “ไม่ต้องหรอก ฉันกินอิ่มแล้วล่ะ แล้วฉันก็เป็นคนบอกนายเองว่าจะเลี้ยงมื้อค่ำด้วย แต่นายกลับชิงจ่ายก่อนเสียอย่างนั้น”
“เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะ”
“ได้ ครั้งหน้าให้ฉันเลี้ยงข้าวอร่อย ๆ นายกับน้องสะใภ้นะ”
เอ่ยจบ ฟู่ซวี่ตงก็โบกมือลาเซี่ยเจ๋อหลี่และฉินมู่หลานพลางเอ่ยว่า “อาหลี่ น้องสะใภ้ พวกนายรีบกลับกันเถอะ เจอกันคราวหน้านะ”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับล่ะ”
อีกไม่กี่วันเซี่ยเจ๋อหลี่ก็จะกลับไปร่วมกองทัพแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นก็จะได้เจอฟู่ซวี่ตงอีก ดังนั้นการที่ต้องบอกลาในวันนี้จึงไม่ทำให้รู้สึกเหมือนพรากจากกันไกลสักเท่าใด หลังจากเอ่ยร่ำลาฟู่ซวี่ตงแล้ว เจาก็มุ่งหน้าพาฉินมู่หลานกลับไปยังหมู่บ้านชิงซานในทันที
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ฉินมู่หลานและคนอื่น ๆ จากไปแล้ว แม่เฒ่าอวี๋จึงเอ่ยพูดขึ้นอย่างนึกหงุดหงิด “ไอ้หยา ลืมถามหมอน้อยฉินไปเสียเลยว่าอาศัยอยู่แถวไหน หล่อนช่วยชีวิตฉันกับเสี่ยวเหล่ยเอาไว้ทั้งคู่ แล้วพวกเราก็ยังไม่ได้ขอบคุณหล่อนอย่างถูกต้องเลย”
อวี๋ไห่เฉาเองก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้เสียดายเลยสักนิด เนื่องจากอีกฝ่ายเองก็ได้ช่วยชีวิตแม่และลูกชายของตนเอาไว้ได้จริง ๆ
“แม่ เอาไว้ผมจะไปถามคนอื่นให้นะ”
แม่เฒ่าอวี๋ได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าแล้วรีบเอ่ย “ใช่ๆ รีบไปถามใครมาก็ได้” ไม่นานนักนางก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงแรกที่ตนเองมายังโรงพยาบาล “ฉันเห็นหมอน้อยฉินกับหมอหลี่พูดคุยเหมือนสนิทกันมาก แกน่าจะไปถามคุณหมอหลี่ได้นะ”
“ครับ เดี๋ยวผมไปถามให้”
ในด้านนี้ ในขณะที่อวี๋ไห่เฉากำลังสอบถามเกี่ยวกับฉินมู่หลาน ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ่อหลี่ก็ได้กลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เหยาจิ้งจือเห็นทั้งสองคนกลับมา จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเธอกลับมาแล้วเหรอ” เอ่ยพลางจ้องมองไปยังด้านหลังของพวกเขา เมื่อไม่เห็นมีใครตามมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยว่า “เพื่อนของอาหลี่มาที่นี่ทั้งที ทำไมไม่ชวนมาที่บ้านเสียบ้างล่ะ”
“แม่ พรุ่งนี้ซวี่ตงจะออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด ก็เลยไม่ได้ชวนเขามากด้วย เอาไว้มีโอกาสข้างหน้าจะชวนมานะครับ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เหยาจิ้งจือก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก และกลับมาพูดถึงเรื่องการกลับไปประจำการของเซี่ยเจ๋อหลี่ “อาหลี่ อีกไม่กี่วันเดี๋ยวแกก็ต้องไปแล้ว หลังจากกลับไปครั้งนี้ แกก็ต้องกลับมาเป็นระยะ ๆ นะ จะปล่อยให้มู่หลานอยู่คนเดียวได้ยังไง?”
หลังจากเอ่ยจบ เหยาจิ้งจือก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขาไปอยู่ในกองทัพด้วยกันได้ จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองฉินมู่หลานพลางเอ่ย “มู่หลาน เธอจะไปอยู่กับอาหลี่เลยไหม”
ฉินมู่หลานไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่จ้องมองไปที่เซี่ยเจ๋อหลี่แทน
เมื่อเซี่ยเจ๋อหลี่เห็นดังนั้น จึงบอกเหมือนกับที่พูดคุยกับฟู่ซวี่ตงอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปิดท้ายว่า “ผมต้องไปยื่นเรื่องเปลี่ยนห้องเป็นบ้านแบบครอบครัวก่อน ไม่อย่างนั้นหากมู่หลานไปอยู่ด้วย จะไม่มีที่”
เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนั้น จึงเอ่ยเตือนขึ้นตามตรง “ถ้าอย่างนั้นตอนกลับไปครั้งนี้รีบไปยื่นเรื่องเลยนะ คู่ของพวกแกเพิ่งแต่งกันใหม่ ๆ ไม่ควรแยกจากกันนาน”
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็หันมองฉินมู่หลาน เมื่อคิดไปถึงว่าพวกเขาทั้งคู่จะได้ใช้ชีวิตกันสองคนในอนาคตข้างหน้า ในใจก็เปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง หวังเหลือเกินว่ามู่หลานอยากจะไปอยู่ในกองทัพด้วยกัน
ฉินมู่หลานยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้เอ่ยพูดสิ่งใด
หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายวัน เธอได้เห็นนิสัยของเซี่ยเจ๋อหลี่แล้ว จึงยินยอมที่จะไปอาศัยอยู่ในฐานทัพ หลังจากเรื่องราวทั้งหมดจนกระทั่งถึงตอนนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนค่อนข้างดี เวลานอนหลับยามค่ำคืน เธอไม่ต้องกังวลเลยว่าอีกฝ่ายจะทำตัวล่วงเกินไม่เหมาะสม จึงอยากจะไปอยู่ด้วย ถึงเวลานั้นแลวก็จะไปในทันใด
ครั้นถึงเวลาช่วงเย็น คนตระกูลเซี่ยก็กลับมาจากที่ทำงานกันหมดแล้ว
ทันทีที่เซี่ยเหวินปิงเห็นอาหารแสนอร่อยวางอยู่บนโต๊ะ จึงเอ่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เย็นนี้มู่หลานเป็นคนทำกับข้าวใช่ไหม แค่มองยังดูน่าอร่อยเลย”
เหยาจิ้งจือได้ยินเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะปรายตามองเซี่ยเหวินปิง พลางเอ่ยขึ้นว่า “แสดงว่าไม่ชอบอาหารมื้อกลางวันที่ฉันทำอย่างนั้นใช่ไหม”
“ไม่ใช่ๆ อาหารที่คุณทำก็อร่อยเหมือนกัน”
เซี่ยเหวินปิงรีบอธิบายเพิ่มเติมอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงไม่กล้าออกความเห็นอะไรอีก
เมื่อฉินมู่หลานเห็นดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้ม เซี่ยเหวินปิงกับภรรยาของเขาสนิทสนมกันมากจริงๆ
ส่วนเซี่ยเจ๋อน่ามองดูอาหารแล้วก็ปรายตาหันมองฉินมู่หลานอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง ถึงแม้ว่าตนจะหิวมาก แถมยังอยากกินอาหารที่ฉินมู่หลานเป็นคนทำด้วย แต่เมื่อคิดได้ว่าฉินมู่หลานไม่ต้องไปทำงานทุกวัน เพียงแต่ทำอาหารอยู่ที่บ้าน หล่อนก็รู้สึกว่าไม่ค่อยยุติธรรม เนื่องจากเวลาทำงานต้องตากแดดตากลม แตกต่างจากการทำอาหารที่บ้าน ไม่ต้องเจอทั้งแสงแดดและสายลม มองอย่างไรการทำอาหารอยู่ที่บ้านก็ง่ายกว่าเป็นไหน ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น เซี่ยเจ๋อน่าก็ไม่ได้สบโอกาสที่จะเอื้อนเอ่ย ทุกคนเริ่มกินอาหารกันแล้ว และรีบตักคว้าอาหารกันอย่างรวดเร็ว
เซี่ยเจ๋อน่าเห็นเช่นนั้นจึงไม่มีเวลาให้คิดมาก และลงมือกินข้าว
อย่างไรก็ตาม ทั้งฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่เองก็ต่างไม่ได้เล่าเรื่องที่ได้ช่วยเหลือคนในโรงแรมของรัฐ ดังนั้น เมื่อตระกูลเซี่ยเห็นพวกอวี๋ไห่เฉาและต่งหม่านเฟินในวันรุ่งขึ้น จึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“อาหลี่ พวกเขาคือ?”
เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่คาดคิดว่าอวี๋ไห่เฉาและภรรยาของเขาจะมาถึงที่นี่ จึงต้องเล่าเรื่องราวที่ฉินมู่หลานช่วยชีวิตคนอื่นอย่างสังเขป
เมื่อคนตระกูลเซี่ยได้ยินว่าตอนที่ฉินมู่หลานออกไปกินข้าวและได้ช่วยชีวิตคนเอาไว้ จึงรู้สึกแปลกใจกันนิดหน่อย แต่ในขณะเดียวกันก็ได้เข้าใจในฝีมือทางการแพทย์ของเธอมากขึ้น ดูเหมือนว่าฝีมือของเธอจะดีกว่าที่พวกเขาแอบคิดเอาไว้ในตอนแรกเสียอีก
อวี๋ไห่เฉาได้พบฉินมู่หลานก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก จึงก้าวเดินเข้าไปมอบกล่องของขวัญให้ทันทีแล้วเอ่ยพูดขึ้นว่า “หมอน้อยฉิน เมื่อวานต้องขอบคุณมากเลยนะครับ”
ฉินมู่หลานเห็นว่าทุกคนต่างมารวมตัวกัน จึงไม่มีเหตุใดผู้คนที่จะทำให้คนออกมายืนออกันอยู่ข้างนอก ดังนั้น เธอจึงเชื้อเชิญให้อวี๋ไห่เฉาและต่งหม่านเฟินเข้ามานั่งข้างใน
“ครับ ขออนุญาตด้วยนะครับ”
อวี๋ไห่เฉาและภรรยาของเขายกยิ้มพลางเห็นชอบด้วย
นอกจากนี้ ผู้คนโดยรอบต่างก็พากันสงสัยว่าอวี๋ไห่เฉาและต่งหม่านเฟินคือใคร แต่ดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว ทุกคนมายืนดูกันเป็นเวลานานไม่ได้ เนื่องจากต้องรีบไปทำงาน
เมื่อคนตระกูลเซี่ยเห็นว่าแขกมาบ้าน จึงเข้าไปด้วย
เซี่ยเหวินปิงรับบทบาทเป็นหัวหน้าครอบครัว จึงเอ่ยทักทายอวี๋ไห่เฉาอย่างอบอุ่น นอกจากนี้เหยาจิ้งจือก็พูดคุยกับต่งหม่านเฟินด้วยรอยยิ้ม
อวี๋ไห่เฉากับต่งหม่านเฟินต่างเอ่ยชื่นชมฉินมู่หลาน
“ถึงแม้ว่าคุณหมอน้อยฉินจะอายุยังน้อย แต่ฝีมือการรักษาดีมากเสียจริง น่าชื่นชมยิ่งนัก”
เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนจะมาที่นี่แล้ว อวี๋ไห่เฉาจึงหันไปมองทางฉินมู่หลานพลางเอ่ยขึ้น “หมอน้อยฉิน ผมเป็นผู้อำนวยการโรงงานอาหารของเมือง มีตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวว่างอยู่ ไม่ทราบว่าคุณสนใจไหมครับ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ว่าแล้วว่าครอบครัวอวี๋นี่ต้องมีตำแหน่งใหญ่โตสักอย่างในเมือง ต้องมีเส้นสายใหญ่พอให้นางเอกพัฒนาตัวเองแน่ๆ
มู่หลานเอาไงดี ตำแหน่งงานมาเสนอถึงที่เลยนะ
ไหหม่า(海馬)