ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 244 กลับบ้านเกิดเพื่อเตรียมตัวสอบ(1)
- Home
- ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก
- ตอนที่ 244 กลับบ้านเกิดเพื่อเตรียมตัวสอบ(1)
ตอนที่ 244 กลับบ้านเกิดเพื่อเตรียมตัวสอบ(1)
หลังจากเหยาจิ้งจือทราบว่าลูกสะใภ้คนเล็กจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็รู้สึกลังเลนิดหน่อย สุดท้ายก็อดถามไม่ได้ “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นเธอต้องกลับไปลงทะเบียนสอบที่บ้านเกิดหรือเปล่า”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้า แล้วเอ่ย “ใช่ค่ะ ถึงตอนนั้นต้องกลับไป”
“ถ้าอย่างนั้น…หลังจากเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ลูกทั้งสองคนจะทำยังไงล่ะ?”
ยังไม่ทันที่ฉินมู่หลานจะเอ่ยตอบ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เอ่ยขึ้นก่อน “แม่ครับ ยังมีพวกแม่อยู่ไม่ใช่เหรอ นอกจากนี้มู่หลานก็คิดจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวงด้วย เรียนแค่ตอนเช้า ตอนเย็นก็กลับบ้าน ทันกลับมาดูแลเด็ก ๆ แน่นอนอยู่แล้วครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหยาจิ้งจือก็รีบเอ่ยทันที “พวกเรายินดีช่วยดูแลลูกอยู่แล้ว ฉันแค่คิดว่ามู่หลานต้องเรียนตั้งครึ่งปีกว่าจะได้กลับ ก็เลยรู้สึกกังวลนิดหน่อย”
แต่นายท่านเหยากลับเอ่ยขึ้นว่า “มู่หลาน ถ้าหลานสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปักกิ่งได้จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นพวกหลานจะมาพักที่บ้านกันไหม ที่บ้านมีคนเยอะ ช่วยดูแลเด็ก ๆ กันได้”
ฉินมู่หลานไม่ได้ตอบรับในทันที แต่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มแทน “คุณตาคะ มันยังขึ้นอยู่กับว่าฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า และก็ยังขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่ฉันจะเข้าเรียนด้วย หากว่าอยู่ใกล้ที่นี่ก็จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นรอจนกว่ามู่หลานของพวกเราเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วค่อยว่ากันนะ”
นายท่านเหยารู้สึกดีใจมากเมื่อทราบว่าภรรยาของหลานชายกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพราะสุดท้ายแล้วใครบ้างจะไม่ชอบคนที่มีเป้าหมาย
ฉินมู่หลานก็ได้สบโอกาสบอกกล่าวนายท่านเหยาถึงเรื่องที่จะไปหาตระกูลเจี่ยงด้วย
“คุณตาคะ พรุ่งนี้พวกหนูจะไปอยู่บ้านพ่อบุญธรรมสองวันนะคะ แล้วหลังจากนั้นก็จะกลับกันแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายท่านเหยาก็ยิ้มแล้วพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ได้สิ”
หลังจากหลายคนคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ก็ต่างแยกย้ายกันกลับห้อง
หลังจากเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงกลับถึงห้อง เซี่ยเหวินปิงก็หันมองภรรยาก่อนจะเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไมเมื่อกี้คุณถึงได้ลังเลนักเล่า แบบนี้จะทำให้มู่หลานคิดว่าพวกเราไม่เต็มใจช่วยดูแลลูกได้นะ”
เหยาจิ้งจือได้ยินแบบนี้ก็จ้องมองสามี แล้วเอ่ย “ฉันจะรู้สึกกังวลบ้างไม่ได้เหรอ แต่ฉันไม่ได้กังวลเรื่องช่วยเลี้ยงเด็กหรอนะ ฉันกังวลว่าถ้ามู่หลานเข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเกิดไม่ชอบอาหลี่ขึ้นมาเล่า พอได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็จะได้เป็นนักศึกษา แล้วก็จะแตกต่างไปจากแต่ก่อน”
ในมุมมองของเหยาจิ้งจือ นักศึกษาถือว่าเป็นบุคคลชั้นยอด แตกต่างจากบุคคลทั่วไป
“ยิ่งไปกว่านั้นอาหลี่ก็ไม่ได้มีวุฒิการศึกษาอะไร เขาเข้ากองทัพตั้งแต่ตอนจบม.ต้น ไม่ได้เรียนม.ปลายด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเหวินปิงก็อดพูดไม่ได้ “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้นเล่า มู่หลานกับอาหลี่มีลูกด้วยกันสองคนแล้ว ถึงมู่หลานจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็คงไม่เปลี่ยนใจจากอาหลี่หรอก อาหลี่ของเราก็ดีอยู่พอตัว หน้าที่การงานในกองทัพก็ดี แล้วก็ยังมีคุณอยู่อีกไม่ใช่เหรอ คุณลองมองดูสิว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหน แล้วไหนจะทรัพย์สินในมือคุณกับอาหลี่อีก ทำไมคุณถึงจะต้องกังวลด้วยเล่า”
ตอนแรกเหยาจิ้งจือไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเลย แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่สามีพูดก็อดยิ้มไม่ได้
“จริงด้วย ฉันไม่ได้คิดให้ดีเท่าคุณ เอาไว้เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับมู่หลานแล้วกัน หล่อนจะได้ไม่คิดมาก”
อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ยังคงเอ่ยอธิบาย “เป็นเพราะแม่ไม่รู้ความคิดของพวกเราจึงได้เป็นกังวล แต่พวกเราก็ได้อธิบายไปหมดแล้ว ท่านก็คงจะไม่กังวลแล้วล่ะ”
และไม่นานนัก เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ตระหนักขึ้นได้ว่าเขาคิดผิด
เหยาจิ้งจือคิดแล้วก็ลงมือทำทันที หลังจากนั้นไม่นานก็มาหาฉินมู่หลาน และเอ่ยขอโทษเป็นการส่วนตัว
“มู่หลาน เป็นเพราะฉันคิดฟุ้งซ่านไปเอง คิดว่าพอเธอได้เป็นนักศึกษาแล้ว อาจจะดูถูกอาหลี่ก็ได้ เลยรู้สึกกังวลนิดหน่อย แต่หลังจากนั้นก็คิดได้ ในเมื่อเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถ้าอย่างนั้นตระกูลเซี่ยของพวกเราก็คงมีเจ้าคนนายคนกับเขาแล้ว เธอก็รู้ว่าพ่อของอาหลี่อยู่บนเขามาตลอดชีวิต อาหลี่เรียนจบ ม.ต้นได้ก็ถือว่าอัศจรรย์แล้ว”
เป็นเพราะแม่กังวลว่าลูกสะใภ้จะทิ้งเขาไปนี่เอง ทำไมท่านถึงไม่มีเหตุผลความคิดที่ดีกว่านี้นะ
“แม่ครับ แม่เลิกกังวลได้แล้ว ตัวผมก็มีดีขนาดนี้ มู่หลานไม่ทิ้งผมหรอก”
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ แก้มก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะหันไปตีเซี่ยเจ๋อหลี่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วเอ่ย “คุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่คะ”
แต่แล้วเหยาจิ้งจือก็หัวเราะขึ้นมา ก่อนจะเอ่ย “ใช่ ๆ ฉันแค่กังวลไปเอง พวกเธอคุยกันไปนะ ฉันกลับแล้ว”
หลังจากเหยาจิ้งจือกลับไป ฉินมู่หลานก็อดเหลือบมองเซี่ยเจ๋อหลี่เสียไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “คุณแน่ใจได้ยังไงคะว่าฉันจะไม่ทิ้งคุณไป”
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นท่าทางแบบนี้ของฉินมู่หลาน ก็ได้แต่รู้สึกว่าช่างน่ารักเย้ายวนใจอีกแล้ว เขาสวมกอดเธอแล้วเอ่ยขึ้น “ผมรู้อยู่แล้ว”
แต่หลังจากพูดจบ วงแขนของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็กระชับขึ้นนิดหน่อย สายตาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
ฉินมู่หลานรู้สึกได้ สังเกตเห็นในทันทีว่าเซี่ยเจ๋อหลี่รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย เธอจึงยกยิ้มแล้วหันไปกอดกลับ ก่อนจะเอ่ย “คุณพูดถูกแล้วค่ะ คุณดีขนาดนี้ นิสัยก็ดี ฉันไม่มีทางทิ้งคุณหรอก”
หลังจากพูดจบ ฉินมู่หลานก็เหลือบมองเซี่ยเจ๋อหลี่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “คนที่ควรกังวลคือฉันต่างหาก เพราะสาว ๆ รอบตัวคุณก็มีไม่ใช่น้อย”
ครั้นเซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินคำพูดของฉินมู่หลาน เขาพลันรู้สึกเบิกบานใจ
“มู่หลาน ในใจผมมีแค่คุณเท่านั้น ตั้งแต่แรกก็มีแค่คุณมาโดยตลอด ผมไม่เคยมองผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไม่ได้
“จริงเหรอคะ?”
“จริงอยู่แล้ว”
เซี่ยเจ๋อหลี่พูดจากใจจริง ขณะเดียวกันก็สวมกอดมู่หลานแน่น
“ก็ได้ ๆ ฉันเชื่อแล้วว่าคุณเป็นแบบนั้น คุณรีบปล่อยฉันได้แล้วค่ะ ฉันหายใจไม่ออก”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนี้ก็มีปฏิกิริยา รีบปล่อยคนในอ้อมแขนทันที
ขณะที่ทั้งสองห่างจากกันนิดหน่อย เซี่ยเจ๋อหลี่ก็มองไปที่ฉินมู่หลาน เมื่อเห็นว่าแววตาของเธอสะท้อนรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มออกมา ก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลง เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้หลบ เขาจึงกดจูบลงไปอย่างไม่ลังเล
ใบหูของฉินมู่หลานเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที ถึงแม้ว่าจะมีลูกด้วยกันแล้วก็ตาม แต่นอกจากคืนวันแต่งงานแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีช่วงเวลาที่ได้ใกล้ชิดกันอีกเนื่องจากเธอกำลังตั้งครรภ์ ดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ใบหูของฉินมู่หลานจึงขึ้นสีแดง
อันที่จริงแล้วตอนนี้เซี่ยเจ๋อหลี่ดูสงบนิ่งแค่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ในใจรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นแรง อีกทั้งความหวานล้ำในปากก็ไม่อาจทำให้เขาผละจากเธอได้ แต่ขณะที่กำลังจะถลำลึกไปมากกว่านั้น เสียงร้องไห้ของเด็กก็ดังขึ้นมา
ฉินมู่หลานรีบผลักเซี่ยเจ๋อหลี่ออก แล้วรีบวิ่งไปดูเด็กน้อยทั้งสองทันที
เซี่ยเจ๋อหลี่พลันรู้สึกมึนงงสับสน มองแผ่นหลังของฉินมู่หลานที่ผละหนีอย่างไม่ไยดีก่อนจะอดถอนหายใจไมได้ ตัวเขาเองเทียบเคียงกับลูกทั้งสองไม่ได้เลย
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็พาลูก ๆ ไปที่บ้านตระกูลเจี่ยง
เจี่ยงสือเหิงเห็นพวกเขาสองคนพาลูกๆ มาด้วย ก็มีความสุขมาก
“มู่หลาน อยู่ต่ออีกสักสองสามวันแล้วค่อยกลับสิ”
แต่ถึงอย่างนั้นฉินมู่หลานก็ส่ายศีรษะ แล้วเอ่ย “พ่อบุญธรรมคะ อยู่ต่ออีกไม่ได้แล้วค่ะ พรุ่งนี้อาหลี่จะต้องกลับฐานทัพแล้ว และฉันกับพวกพ่อแม่ก็จะกลับหมู่บ้านชิงซานด้วยค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเจี่ยงสือเหิงก็ปรากฏความสงสัย
“กลับหมู่บ้านชิงซาน? ทำไมถึงคิดจะกลับล่ะ?”
มู่หลานยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “เพราะว่าฉันจะกลับไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่ะค่ะ”
สีหน้าของเจี่ยงสือเหิงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่ไม่นานเขาก็ยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ย “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากจริง ๆ ลูกมีความคิดที่ดีแบบนี้ แต่พ่อได้ยินมาว่ากำหนดสอบในเดือนธันวาคมนี่ ถ้านับจากตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว ลูกได้อ่านหนังสือบ้างหรือเปล่า?”
“พ่อบุญธรรมไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันอ่านหนังสือไม่เคยขาดเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของเจี่ยงสือเหิงก็ดูโล่งใจและภาคภูมิใจ “มู่หลาน ลูกเองก็เก่งมากอยู่แล้ว แต่ก็ยังตั้งใจขนาดนี้ สุดยอดมากจริง ๆ อันที่จริงทักษะทางการแพทย์ของลูกต่อให้ไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็หางานทำได้โดยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ถึงฉันจะเชื่อในฝีมือการรักษาของตัวเอง แต่ก็เพียงแค่ร่ำเรียนมาจากคุณปู่เท่านั้น ไม่ได้เข้าเรียนแบบจริงจัง ตอนนี้ยังขาดใบรับรองวุติการศึกษาอยู่” ที่ตอนนี้มีหลายคนมาหาเธอเยอะมาก นั่นเป็นเพราะมีคนรู้จักแนะนำมา ทุกคนจึงเชื่อมั่นในตัวเธอ แต่ถ้าหากเป็นหมอคนอื่นคงไม่เชื่อมั่นอย่างแน่นอน เพราะสุดท้ายน้อยคนที่จะยอมเชื่อมั่นในตัวหญิงสาวที่อายุยงน้อยแบบนี้ และอาจคิดว่าเธอเป็นพวกต้มตุ๋นได้