ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 245 กลับบ้านเกิดเพื่อเตรียมตัวสอบ(2)
- Home
- ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก
- ตอนที่ 245 กลับบ้านเกิดเพื่อเตรียมตัวสอบ(2)
ตอนที่ 245 กลับบ้านเกิดเพื่อเตรียมตัวสอบ(2)
อันที่จริงความคิดแบบนี้จัดว่าเป็นเรื่องปกติ พวกหมอที่มีฝีมือการรักษาดี ล้วนมีอายุอานามกันแล้ว ส่วนพวกคนหนุ่มสาวยังขาดประสบการณ์อยู่บ้าง พวกผู้ใหญ่ส่วนมากจึงไม่ค่อยเชื่อเธอ แต่หากเธอมีใบรับรองวุฒิการศึกษา มันก็จะเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือมากขึ้น
ต่อให้ไม่มีใบรับรองวุฒิการศึกษาก็ไม่เป็นไร แต่การมีนั้นย่อมดีกว่าไม่มีเสมอ
“มู่หลาน ได้เรียนมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ลูกมีความคิดแบบนี้ถือว่าใช้ได้เลยจริง ๆ”
หลังจากทราบว่าฉินมู่หลานจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เจี่ยงสือเหิงก็ไหว้วานให้ลุงเจี่ยงไปหาหนังสือมากมายมาให้ทันที “มู่หลาน หนังสือพวกนี้ลูกลองเอาไปอ่านเพิ่มได้นะ”
ฉินมู่หลานเห็นว่าเป็นหนังสือเรียนทั้งหมด เธอจึงยอมรับไว้พร้อมรอยยิ้ม
ครอบครัวทั้งสี่คนพักอาศัยอยู่ที่บ้านตระกูลเจี่ยงเป็นเวลาหนึ่งคืน จากนั้นก็กลับบ้านตระกูลเหยา หลังจากเอ่ยลานายท่านเหยาแล้ว เซี่ยเจ๋อหลี่ก็กลับไป ส่วนฉินมู่หลานก็พาพ่อกับแม่สามีและลูกอีกสองคนกลับไปที่หมู่บ้านชิงซาน
ชาวบ้านเห็นว่าฉินมู่หลานและคนอื่น ๆ กลับมาอีกแล้ว สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เหวินปิง จิ้งจือ พวกเธอกลับมารอบนี้คือคิดจะกลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอ?”
“จริงด้วย หมู่บ้านไม่ได้ดีเท่าเมืองหลวงนะ พวกเธอไม่อยู่เมืองหลวงล่ะ กลับมาที่หมู่บ้านทำไม”
เซี่ยเหวินปิงได้ยินดังนี้ก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าทุกคนได้ยินเรื่องนี้หรือยัง ว่ามหาวิทยาลัยจะกลับมาจัดสอบแล้ว มู่หลานของพวกเราเลยต้องกลับมาเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่ะ”
“อะไรนะ…มู่หลานก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วยเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้มู่หลานทำข้อสอบได้คะแนนดีนะ”
“ใช่แล้ว สู้ ๆ กับการสอบนะ”
คนในหมู่บ้านต่างทราบดีว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยกลับมาแล้ว เพราะมีอีกหลายคนในหมู่บ้านที่ได้ร่ำเรียนหนังสือ ส่วนพวกยุวปัญญาชนที่ทราบว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้กลับมาแล้วก็พากันตื่นเต้น ตอนนี้ใคร ๆ ก็พูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย แม้แต่ยุวปัญญาชนที่แต่งงานกับคนในหมู่บ้านก็อยากจะลองสอบเข้ามหาวิทยาลัยด้วย ทำให้บรรยากาศภายในหมู่บ้านคึกครื้นขึ้นมา เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่พวกเขาจะได้เข้าไปอยู่ในเมือง เหล่ายุวปัญญาชนทุกคนจึงต้องการคว้าโอกาสนี้ไว้
แต่ก็มีคนในหมู่บ้านบางส่วนไม่คิดว่าฉินมู่หลานจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเช่นกัน ทว่าไม่นานนักพวกเขาก็ได้เข้าใจอีกครั้ง เพราะสุดท้ายแล้วฉินมู่หลานก็เรียนจบมัธยมปลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากในหมู่บ้าน
หลังจากพวกชาวบ้านกล่าวคำอวยพรไม่กี่คำ ก็หันไปสนใจเฉินเฉินกับชิงชิง ไม่ได้สนใจเรื่องที่ฉินมู่หลานจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยสักเท่าใด เพราะในหมู่บ้านไม่เคยมีนักศึกษามาก่อน จึงไม่คิดว่าเด็กในหมู่บ้านจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ พวกเขาจึงสนใจฝาแฝดเสียมากกว่า
แต่ตอนนี้เด็กทั้งสองคนหลับไปแล้ว ผู้คนที่อยู่ตรงนี้จึงเล่นด้วยได้ยาก
หลังจากเซี่ยเหวินปิงกับเหยาจิ้งจือพูดคุยกับพวกชาวบ้านต่ออีกนิดหน่อย ก็เตรียมพาเด็กทั้งสองคนกลับบ้าน
หลังจากจัดการเด็กทั้งสองเรียบร้อยแล้ว ฉินมู่หลานก็หันมาบอกเหยาจิ้งจือ “แม่คะ ฉันขอกลับไปที่บ้านก่อนนะคะ”
เหยาจิ้งจือได้ยินแบบนี้ก็รีบพยักหน้าทันที “ได้ มู่หลาน เธอรีบไปเถอะ ทางนี้ฉํนอยู่เอง เธอไม่ต้องห่วง”
ตระกูลฉินก็ได้ทราบเรื่องที่ฉินมู่หลานกับคนอื่นกลับมา เมื่อได้เจอหน้าฉินมู่หลานก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แต่ฉินเจียนเซ่อกับซูหว่านอี๋ก็ยังคงมีความสุขมากเมื่อได้เจอหน้าลูกสาว
“มู่หลาน ลูกมาแล้วเหรอ ทำไมพวกลูกถึงกลับมาเร็วจัง ครั้งนี้จะอยู่นานแค่ไหน ได้ยินว่าอาหลี่ไม่ได้กลับมาด้วยกันเหรอ”
“อาหลี่กลับฐานทัพแล้วค่ะ”
ในตอนนั้นเอง ฉินเคอวั่งที่ได้ยินเสียงก็เดินออกมา เมื่อเห็นพี่สาวกลับมาก็รู้สึกดีใจมาก “พี่ พี่กลับมาได้ไงครับเนี่ย”
“ไม่ใช่ว่าพี่ได้ข่าวเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเหรอ พี่ก็เลยกลับมาสอบด้วยไง เรื่องนี้เคยบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเคอวั่งก็หันมองพ่อแม่อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูด “พ่อครับ แม่ครับ ผมบอกแล้วว่าเดี๋ยวพี่จะกลับมา แต่ทุกคนก็ไม่ยอมเชื่อ คราวนี้ได้ยินหรือยังครับว่าพี่ต้องกลับมาเพราะจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย”
ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ ก็ยกยิ้มแล้วรีบเอ่ยทันที “ใช่ ๆ ลูกเดาถูกแล้วล่ะ”
อันที่จริงทั้งสองคิดว่าพอลูกสาวคลอดลูกทั้งสองคนแล้วก็อาจจะไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัย นึกไม่ถึงว่าลูกสาวยังคงอยากสอบเข้าต่อ ซูหว่านอี๋จึงเอ่ยถามอีกหนึ่งประโยค “มู่หลาน ได้บอกทางตระกูลเซี่ยหรือยัง”
“แม่คะ อาหลี่สนับสนุนหนูเต็มที่ ส่วนพ่อกับแม่สามีก็จะช่วยกันดูแลลูก ๆ ให้ด้วย เพราะฉะนั้นแม่ไม่ต้องกังวลค่ะ”
ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ก็ดีใจมาก “จริงเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากเลย” แต่เมื่อคิดว่าลูกสาวเพิ่งกลับมาและที่บ้านยังมีเด็กอีกสองคน พวกเขาก็พบว่าอาหารมีไม่พอแล้ว
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ซูหว่านอี๋ก็พาฉินเคอวั่งมาที่บ้านตระกูลเซี่ย
“มู่หลาน แม่ให้เคอวั่งเอาหนังสือมาด้วย พวกลูกสองคนจะได้อ่านหนังสือด้วยกันดี ๆ ส่วนแม่ก็จะช่วยเลี้ยงพวกเด็ก ๆ ด้วย”
เหยาจิ้งจือเห็นซูหว่านอี๋มาหา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ญาติสะใภ้ ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากคุณหน่อยนะคะ”
ถึงแม้ว่าเซี่ยเหวินปิงสามีของหล่อนจะช่วยดูแลเด็กด้วย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ตอนนี้ลูกสะใภ้คนเล็กต้องอ่านหนังสือ ดังนั้นการมีญาติทางฝั่งสะใภ้มาช่วยก็ช่างเป็นเรื่องดีเหลือเกิน
เพื่อเตรียมสอบอีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้า สองพี่น้องฉินมู่หลานกับฉินเคอวั่งตั้งใจอ่านหนังสืออย่างหนัก ฉินมู่หลานมีความรู้หลงเหลือบ้างอยู่แล้ว ตอนนี้จึงเป็นเวลาทบทวน และฉินเคอวั่งเดิมทีก็เรียนได้คะแนนดีอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีความจำใช้ได้ การทบทวนบทเรียนของทั้งสองจึงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
แต่ซูหว่านอี๋เห็นว่าสองพี่น้องอ่านหนังสือกันหามรุ่งหามค่ำ ก็อดพูดไม่ได้ “มู่หลาน ลูกกับเคอวั่งหยุดอ่านกันก่อนเถอะ ออกไปเดินเล่นบ้างก็ดี”
แม้แต่เหยาจิ้งจือก็อดพูดไม่ได้ “ใช่แล้ว นั่งเฉย ๆ ตลอดเวลาไม่ดีนะ”
“ไม่ได้หรอกครับ อ่านหนังสือเป็นเรื่องดี นอกจากนี้การสอบก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย ไม่มีเวลาแล้ว”
ฉินเคอวั่งยังอยากจะอ่านหนังสือต่อ ทว่าฉินมู่หลานกลับเอ่ยขึ้นว่า “เคอวั่ง พวกเราไปเล่นบนภูเขาใหญ่กันเถอะ”
เธอเห็นว่าฉินเคอวั่งกังวลมากและยังกดดันตัวเองมากในขณะที่การสอบใกล้เข้ามา หากสภาพจิตใจเป็นแบบนี้คงไม่ดีแน่
ฉินเคอวั่งยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของพี่สาวแล้ว สุดท้ายเขาจึงพยักหน้าแล้วตอบกลับ “ครับ”