ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 267 รวมตัว
ตอนที่ 267 รวมตัว
ตอนที่ 267 รวมตัว
เย่อินมองฉินมู่หลานที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะยกยิ้มแล้วเอ่ยแสดงความยินดี “ได้ยินว่าสหายฉินได้ลูกแฝด ยินดีด้วยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉินมู่หลานเห็นอีกฝ่ายยิ้มแย้ม เธอก็ยกยิ้มตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน ขณะเดียวกันก็ชื่นชมในความพยายามของคนผู้นี้ด้วย พ่อบุญธรรมปฏิเสธหล่อนด้วยท่าทางเย็นชาไปแล้วหลายครั้ง แต่หล่อนก็ยังมาตามตื้อจนถึงหน้าประตูบ้าน
เจี่ยงสือเหิงเห็นเย่อินยังพูดไม่หยุด ก็เอ่ยแทรกขึ้นทันที “นักวิจัยเย่ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?”
เมื่อเห็นว่าเจี่ยงสือเหิงต้องการให้ตนกลับไปโดยเร็ว ใบหน้าของเย่อินก็ดูน่าเกลียดเล็กน้อย แต่ไม่นานนักรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง ก่อนจะหันไปทางฉินมู่หลาน “สหายฉิน ฉันอยากจะคุยกับผอ. เจี่ยงสักหน่อย ขอเวลาฉันนิดหนึ่งได้ไหมคะ”
ก่อนจะกล่าวเสริมอีกประโยค “เป็นเรื่องงานบางอย่างที่สถาบันวิจัย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็หันมองเจี่ยงสือเหิงอย่างช่วยไม่ได้
เนื่องจากพูดถึงเรื่องสถาบันวิจัย เจี่ยงสือเหิงทำได้เพียงยอมให้ฉินมู่หลานออกไป
ฉินมู่หลานเห็นเช่นนี้จึงลุกขึ้นแล้วเดินไป
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นฉินมู่หลานกลับมา ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “บอกพ่อบุญธรรมหรือยัง?”
ฉินมู่หลานพยักหน้า แล้วพูด “บอกเรียบร้อย แต่เย่อินคนนั้นมาอีกแล้ว ดูเหมือนพ่อบุญธรรมฉันจะปวดหัวนะคะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ยังคงประทับใจต่อเย่อิน “หล่อนแค่จะมาอวยพรปีใหม่ไม่ใช่เหรอ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ”
ขณะทั้งสองพูดคุยกัน เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็มาหา
“มู่หลาน พ่อกับแม่เธอล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหยาจิ้งจือ ฉินมู่หลานก็ชี้ไปทางด้านหน้าแล้วบอกกล่าว “พ่อแม่ฉันอยู่ทางนั้นค่ะ เห็นกำลังพูดคุยกันอยู่ว่าจะทำอะไรช่วงปีใหม่”
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปหาพวกเขาก่อนนะ”
แต่เหยาจิ้งจือยังไม่ทันได้เดินไป ซูหว่านอี๋ก็ออกมาพร้อมกับจานใบหนึ่ง “มู่หลาน อาหลี่ พวกลูกลองกินมันเทศฝอยนี่ดูหน่อย แม่รู้สึกว่าต้องหวานกว่านี้อีกนิด พวกลูกลองชิมก่อนเร็ว”
หลังจากพูดจบ หล่อนก็พบว่าเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงอยู่ที่นี่ด้วย จึงรีบยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ญาติลูกเขย พวกคุณก็มาลองกันเร็ว”
จากนั้นก็เรียกฉินเคอวั่งมาลองชิมด้วย
เหยาจิ้งจื้อได้ยินแบบนี้ ก็ยกยิ้มให้แล้วพยักหน้า
หลังจากกินมันเทศฝอยแล้ว ฉินมู่หลานก็บอกกล่าวตามตรง “แม่คะ หวานกำลังดีแล้ว”
ทั้งเซี่ยเจ๋อหลี่กับฉินเคอวั่งต่างก็ไม่ชอบหวานมากนัก จึงรู้สึกว่าความหวานประมาณนี้พอดีแล้ว
ตรงกันข้ามกับเหยาจิ้งจือที่รู้สึกว่าควรจะหวานมากกว่านี้หน่อยเหมือนซูหว่านอี๋
แต่เมื่อซูหว่านอี๋เห็นลูกสาว ลูกเขย และลูกชายพูดแบบนั้น จึงบอกอย่างมีเหตุผล “ถ้าอย่างนั้นก็หวานประมาณนี้แล้วกัน เผื่อพวกลูกจะไม่อยากกิน”
มันเทศฝอยตอนกำลังร้อนมีรสชาติน่ากินมาก ทุกคนจึงกินกันจนหมด หลังจากกินเสร็จแล้ว เหยาจิ้งจือก็หันมองซูหว่านอี๋แล้วเอ่ยขึ้น “หว่านอี๋ ขอโทษจริง ๆ นะ ฉันก็ไม่คิดว่าเมื่อคืนนี้คุณนายเหยาจะถามอะไรแบบนั้น ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ คงไม่ชวนพวกเธอไปกินข้าวที่บ้านตระกูลเหยาหรอก”
ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ ก็รีบเอ่ยทันที “จิ้งจือ คุณนายท่านก็แค่อยากรู้เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก เธอไม่ต้องขอโทษหรอกนะ”
“ฉันก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ดี ตอนที่พูดเรื่องเศร้าในใจของเธอ”
ซูหว่านอี๋เห็นเหยาจิ้งจือแสดงความขอโทษด้วยสีหน้าจริงจัง ปมเล็กๆ ที่อยู่ภายในใจก็ค่อย ๆ คลายออกไปจนหมด “จิ้งจือ ไม่เป็นไรนะ จริงสิ พวกเธอกินข้าวเช้ากันมาหรือยัง อยากอยู่กินที่นี่ไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยาจิ้งจือก็รีบเอ่ย “พวกเรากินกันมาแล้วล่ะ” ขณะที่พูดก็หันมองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วเอ่ยขึ้น “อาหลี่ วันนี้บ้านพี่ใหญ่จะมาที่นี่ ฉันกับพ่อแกว่าจะออกไปรับพวกเขาเสียหน่อย”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ ก็อดถามไม่ได้ “พวกพ่อกับแม่สองคนจะไปรับเหรอ?”
“ใช่แล้ว”
แต่แล้วฉินมู่หลานที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดขึ้น “แม่คะ เดี๋ยวให้ลุงเจี่ยงขับรถไปรับก็ได้ค่ะ แล้วครอบครัวพี่ใหญ่จะไปพักที่บ้านตระกูลเหยาหรือเปล่าคะ?”
“มาที่นี่ก่อนเถอะ จะได้อยู่ใช้เวลากับกับพวกเธอก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับบ้านตระกูลเหยา”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวถึงตอนนั้นก็ให้รถไปรับพวกเขามาที่นี่”
เหยาจิ้งจือรู้สึกว่าเจี่ยงสือเหิงจะลำบาก หากคิดได้เร็วกว่านี้คงขอให้นายท่านเหยาส่งรถไปรับแทน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถึงยังไงตอนนี้ที่บ้านก็ไม่ได้ใช้รถ แล้วพวกพี่ใหญ่ก็จะมาที่นี่ด้วย”
หลังลุงเจี่ยงทราบเรื่อง เขาก็ส่งรถไปที่สถานีรถไฟทันที โดยมีเซี่ยเจ๋อหลี่ไปด้วยกัน ส่วนเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงสองสามีภรรยารออยู่ที่นี่และเตรียมตัวเข้าไปช่วยงานในครัว หลังจากครอบครัวของลูกชายคนโตมาถึงก็จะได้กินข้าวที่นี่ หากพวกเขาช่วยได้สักหน่อยก็คงจะดีเหมือนกัน
ขณะพวกเซี่ยเจ๋อหลี่ออกเดินทาง ฉินมู่หลานก็มองไปทางห้องนั่งเล่น ก่อนจะพบว่าเย่อินยังไม่ออกมา เธอจึงอดหันมองแล้วเอ่ยพูดกับลุงเจี่ยงเสียไม่ได้ “ลุงเจี่ยงคะ ลุงไปดูพ่อบุญธรรมหน่อยได้ไหมคะว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว ทำไมเย่อินยังไม่ยอมไปอีก”
“ครับ เดี๋ยวผมจะไปดูให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”
ความประทับใจของลุงเจี่ยงที่มีต่อเย่อินมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะรีบปักที นี่เป็นช่วงวันหยุดยาวปีใหม่แล้ว ทำไมถึงยังมาพูดเรื่องงานที่สถาบันวิจัยอยู่อีก ช่างไม่มีวิจารณญาณเลยเสียจริง
ลุงเจี่ยงเข้าไปได้สักพัก เย่อินก็ออกมา เพียงแต่สีหน้าของหล่อนดูยับยู่นิดหน่อย นอกจากนี้ยังปรายตามองฉินมู่หลานจากที่ไกล ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบกล่องของขวัญที่นำติดตัวมาด้วยแล้วเดินจากไปทันที
ฉินมู่หลานเห็นคนออกไปแล้ว ก็ตรงไปหาเจี่ยงสือเหิงทันที เมื่อเธอไปถึงก็พบว่าสีหน้าของเจี่ยงสือเหิงดูไม่ค่อยดีนักเช่นกัน “พ่อบุญธรรมคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ถึงอย่างนั้นฉินมู่หลานก็ไม่ปักใจเชื่อ “พ่อคะ จากสีหน้าของพ่อดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้นนะ เย่อินพูดอะไรหรือเปล่าคะ”
เจี่ยงสือเหิงได้ยินพูดถึงเย่อิน ความรังเกียจก็ฉายแววขึ้นในดวงตา “โครงการงานวิจัยค้นคว้าของเย่อินไม่ค่อยดี จิตใจของหล่อนมุ่งอยู่แต่กับเรื่องอื่น และยังคอยตามสืบเรื่องของลูกด้วย”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ฉินมู่หลานก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
“พ่อคะ เย่อินคนนั้นชอบพ่อไม่ใช่เหรอ เพราะฉะนั้นพอรู้ว่าฉันเป็นลูกสาวของพ่อ หล่อนจึงรับไม่ได้ แล้วมาคอยตามสืบเรื่องฉัน”
เจี่ยงสือเหิงไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ เพราะเย่อินเพิ่งสารภาพกับเขาไปเมื่อสักครู่นี้ แต่เขาปฏิเสธไป นอกจากนี้ยังบอกให้หล่อนนำของขวัญที่เตรียมมาเอากลับไปด้วย “พ่อจะหาวิธีย้ายนักวิจัยเย่ไปทำงานร่วมกับกลุ่มอื่น ต่อไปจะได้ไม่ต้องมาบ้านพ่ออีก”
ฉินมู่หลานเห็นเจี่ยงสือเหิงอารมณ์ไม่ดี ก็รีบยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เอาเถอะค่ะพ่อ อย่าเอาเรื่องของคนไม่สำคัญมาทำให้ไม่มีความสุขเลย อาหลี่กำลังไปรับพี่ใหญ่มาที่บ้าน เดี๋ยวพวกเขามาถึง พวกเราไปเลี้ยงฉลองกันเถอะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเจี่ยงสือเหิงก็ดูดีขึ้นนิดหน่อย “เอาสิ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่รอช้า เมื่อไปรับคนกลับมาแล้ว ก็ทันเวลาอาหารมื้อกลางวันพอดี
เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงได้เจอครอบครัวของลูกชายคนโต ก็ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เจ๋อเหว่ย เสวี่ยเยี่ยน มากันแล้วเหรอ” ขณะเอ่ยก็ลูบแตะหัวของเสี่ยวอวี๋ “เสี่ยวอวี๋ของพวกเราเหมือนจะโตขึ้นแล้วนะเนี่ย”
เสี่ยวอวี๋ยิ้มและพยักหน้า “คุณปู๋ คุณย่า ผมโตขึ้นแล้วครับ แล้วก็สูงขึ้นเยอะด้วย”
ฉินมู่หลานที่อยู่ข้าง ๆ ก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “สูงขึ้นเยอะจริงด้วย มองออกเลยว่าสูงขึ้น”
หลังจากนั้นเซี่ยเจ๋อเหว่ยกับหลี่เสวี่เยี่ยนก็เอ่ยทักทายฉินเจี้ยนเซ่อ ซูหว่านอี๋และเจี่ยงสือเหิง ทุกคนมีความสุขมากที่ได้มาฉลองปีใหม่ที่ปักกิ่ง เพราะทั้งครอบครัวต่างอยู่ที่นี่ หากพวกเขายังอยู่ที่หมู่บ้านชิงซานก็คงเหงาไม่น้อย
แต่เมื่อทั้งสองได้เจอฉินมู่หลาน ก็รีบส่งพัสดุชิ้นหนึ่งมาให้ทันที ก่อนจะพูดขึ้น “มู่หลาน นี่เป็นของที่พวกคุณปู่กับคุณย่าฝากมาให้เธอกับลูกน้อยทั้งสองคน บอกว่าจะทำให้สุขภาพของพวกเธอแข็งแรงขึ้น”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็รับมันพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณค่ะพี่ใหญ่ พี่สะใภ้”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนรีบโบกมือ ก่อนจะพูด “มู่หลาน ระหว่างเรายังจะต้องขอบคุณอะไรกันอีก แต่ฉันดูแล้วเหมือนปู่ฉินจะคิดถึงพวกเธอมากนะ”
“เดี๋ยวอีกสักพักพวกเราจะกลับไปค่ะ”
ฉินเจี้ยนเซ่อก็รู้สึกคิดถึงบ้านเช่นกัน นอกจากนี้เขายังคิดจะชวนหลานชายทั้งสองคนเข้ามาทำงานที่เมืองหลวงด้วย จึงวางแผนจะกลับไปที่บ้านก่อนถึงเทศกาลโคมไฟ ส่วนลูกสาวและหลานทั้งสองคนปล่อยให้อยู่ที่นี่จะดีกว่า จึงหันไปมองแล้วพูดกับฉินมู่หลาน “มู่หลาน เดี๋ยวถึงตอนนั้นพ่อกับแม่กลับไปกันเองก็พอแล้ว ลูกอยู่ที่ปักกิ่งกับลูก ๆ ไปก็พอ เดี๋ยวเดินทางไปมาเจ้าหนูทั้งสองจะเหนื่อยอยู่ตลอด”
“ใช่แล้วมู่หลาน ลูกสองคนก็ยังเล็กอยู่ อย่าพาพวกเขาเดินทางไกลเลย”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า
เจี่ยงสือเหิงเห็นเช่นนี้แล้วก็เอ่ยทันที “พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ พวกเจ๋อเหว่ยน่าจะหิวกันแล้ว”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เย่อินเป็นสายลับของใครมาสืบเรื่องของมู่หลานหรือเปล่านะ เข้าทางพ่อบุญธรรมมู่หลานงี้
ไหหม่า(海馬)