ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 275 สภาพค่อนข้างดี(2)
ตอนที่ 275 สภาพค่อนข้างดี(2)
ตอนที่ 275 สภาพค่อนข้างดี(2)
หล่อนรู้สึกดีกับเรื่องนี้เช่นกัน เพราะทั้งครอบครัวได้อยู่ด้วยกันนับเป็นเรื่องดี นอกจากนี้นายท่านเหยายังแบ่งมรดกครึ่งหนึ่งให้กับลูกชายคนโตกับคนอื่นอีกด้วย และมีบ้านอยู่ในเมืองหลวงด้วยเหมือนกัน หากครอบครัวของพวกเขาไม่สะดวกใจที่จะอยู่บ้านตระกูลเหยาเดิม ก็ออกไปอาศัยอยู่ที่บ้านตัวเองได้
“อาเหว่ย เสวี่ยเยี่ยน พวกเธออยู่เมืองหลวงก็ดีแล้ว จากนี้ไปครอบครัวของพวกเราจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน”
เซี่ยเจ๋อเหว่ยพยักหน้าแล้วเอ่ย “ใช่แล้ว ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน”
ผู้ที่มีความสุขมากที่สุดคือนายท่านเหยา เพราะตอนแรกบ้านถูกทิ้งร้างเงียบเหงา ตอนนี้ลูกสาว ลูกเขยและครอบครัวของหลานชายต่างมาอยู่ที่บ้านกันหมดแล้ว จึงมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย เขาจึงเอ่ยพูดตามตรง “อาเหว่ย ถ้าอย่างนั้นพวกเธอก็อยู๋ที่นี่กันต่อเถอะ บ้านเราก็จะได้มีชีวิตชีวา”
“ได้ครับคุณตา”
เซี่ยเจ๋อเหว่ยกับหลี่เสวี่ยเยี่ยนต่างพยักหน้า
อาหารมื้อนี้จบลงอย่างมีชีวิตชีวา หลังจากนั้นฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ก็กลับไปที่บ้านตระกูลเจี่ยง
ถึงวันรุ่งขึ้น เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ลุกขึ้นแต่เช้า เมื่อเขาเห็นว่าภรรยากับลูกทั้งสองยังหลับอยู่ ก็ไม่ได้ปลุกพวกเขา แต่จูบลงบนหน้าผากของพวกเขาและเตรียมตัวออกไป ทว่าฉินมู่หลานที่ทราบว่าเซี่ยเจ๋อหลี่จะไปแต่เช้าก็ได้รีบตื่นขึ้นในอีกไม่ช้า หลังออกจากห้องมาก็พบว่าเซี่ยเจ๋อหลี่กำลังหอบของเตรียมออกเดินทางแล้ว เมื่อเขาเห็นฉินมู่หลานก็แปลกใจนิดหน่อย
“มู่หลาน ผมปลุกคุณหรือเปล่า”
ฉินมู๋หลานส่ายหัว แล้วเอ่ยขึ้น “เปล่าหรอก ฉันตื่นเอง วันนี้คุณจะกลับฐานทัพแล้ว ฉันก็ต้องมาส่งคุณสิ”
ทั้งสองคนพูดขณะที่กำลังเดินไปหน้าประตู ฉินมู่หลานเอ่ยพูดอยู่ไม่กี่ประโยค หลังจากนั้นก็บอกกล่าวว่า “อาหลี่ เดินทางปลอดภัยนะ ไปถึงฐานทัพแล้วบอกพวกเราด้วย”
“ได้ ผมไปถึงแล้วจะเขียนจดหมายแจ้งพวกคุณ”
ทั้งสองรีบก้าวเดินไปทางประตู เซี่ยเจ๋อหลี่ได้แต่หวังให้เวลาเดินช้าลงกว่านี้อีกหน่อย เพียงแต่เมื่อมองดูเวลาก็พบว่าต้องไปแล้วจริง ๆ จึงทำได้เพียงมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “มู่หลาน ผมไปก่อนนะ ถ้ามีเวลาผมจะมาหาคุณกับลูก ๆ หลังจากคุณเปิดเรียนแล้ว ก็อย่าลืมดูแลตัวเอง อย่าให้เหนื่อยเกินไปนะ”
นอกจากภรรยาจะต้องเรียนแล้ว ยังต้องดูแลลูกน้อยทั้งสองคนด้วย เธอคงเหนื่อยมากอย่างแน่นอน
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ได้ ฉันจำเอาไว้หมดแล้ว ฉันจะดูแลตัวเองและพวกลูก ๆ อย่างดีเลย เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องห่วงนะ”
“อื้ม ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่จ้องมองฉินมู่หลานอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
หลังเฝ้ามองแผ่นหลังของเซี่ยเจ๋อหลี่เดินจากไปจนลับตา ฉินมู่หลานก็หันหลังแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน
เมื่อขาดเซี่ยเจ๋อหลี่ไปคนหนึ่ง ฉินมู่หลานก็รู้สึกตื่นเต้นน้อยลง แต่ไม่นานเทศกาลโคมไฟก็มาถึงแล้ว เจี่ยงสือเหิงจึงพาฉินมู่หลานกับครอบครัวไปรับประทานอาหารที่ภัตตาคารโรงแรมปักกิ่ง
“วันนี้คือเทศกาลโคมไฟ พวกเรามากินอาหารมื้อดี ๆ กันเถอะ”
“ใช่ อย่าลืมกินให้เยอะ ๆ นะ”
ฉินมู่หลานยกยิ้มแล้วพยักหน้า ช่วงนี้เธอค่อนข้างเจริญอาหาร หลังจากเห็นอาหารจานร้อนมาเสิร์ฟแล้ว จึงหันมองเจี่ยงสือเหิงอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงสือเหิงเข้าใจความหมายแววตาของฉินมู่หลานได้ในทันที เขาหันมองฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “เอาล่ะ เจี้ยนเซ่อ หว่านอี๋ พวกเราลงมือกันเถอะ”
“ได้”
หลังจากเจี่ยงสือเหิงกับคนอื่นลงมือใช้ตะเกียบกันแล้ว ฉินมู่หลานก็ขยับตะเกียบอย่างรวดเร็ว และทุกคนก็ได้กินอาหารมื้อหรูหรานี้เป็นการเลี้ยงฉลองเทศกาลโคมไฟ
ฉินมู่หลานลูบท้องนูนป่องของตัวเอง ก่อนจะอดพูดไม่ได้ “ไม่ได้กินเลี้ยงช่วงเทศกาลโคมไฟมานานแล้ว วันนี้ฉันเลยกินของอร่อยไปชามหนึ่งเต็มๆ จากนั้นก็กินไม่ไหวแล้ว”
ฉินเคอวั่งที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าและพูดเช่นกัน “ใช่ครับ อิ่มมากเลย ผมไม่น่ากินเยอะขนาดนั้นเลย”
ซูหว่านอี๋มองลูกสาวกับลูกชายอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “พวกลูกนี่กินอย่างกับอดอยากมาจากไหนกัน ทำไมถึงกินเยอะขนาดนี้กันล่ะ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”
“แม่ ต่อไปพวกเราจะใส่ใจครับ”
ฉินมู่หลานกับฉินเคอวั่งต่างยอมรับความผิดด้วยใบหน้าเชื่อฟัง
เจี่ยงสือเหิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อมู่หลานกับเคอวั่งชอบ พรุ่งนี้พวกเราก็มากินข้าวกันอีกเถอะ”
“ไม่ต้องหรอกสือเหิง วันนี้ก็ได้กินแล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องมาหรอก กินข้าวที่บ้านสะดวกกว่า” ซูหว่านอี๋กล่าว
ฉินเจี้ยนเซ่อก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ อยู่บ้านดีกว่า แล้วเดี๋ยววันมะรืนนี้พวกเราก็จะออกเดินทางแล้วด้วย พรุ่งนี้จะต้องอยู่เก็บของที่บ้าน”
เมื่อเห็นทั้งสองคนพูดแบบนี้ เจี่ยงสือเหิงก็ไม่ได้ว่าอะไร
เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋ทั้งสองคนก็เก็บรวบรวมสิ่งของที่พวกเขาต้องการจะนำกลับไปด้วย ไม่รู้เพราะมีของมากเกินไปหรือไม่ หลังจากเก็บของแล้วจึงพบว่ามีจำนวนไม่น้อยเลย และฉินมู่หลานก็ได้เตรียมของบางอย่างเอาไว้ด้วย ให้พวกเขานำกลับไปฝากคุณปู่ฉินกับคนอื่น ๆ
“มู่หลานไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกแม่จะเอาของพวกนี้ไปให้คุณปู่เอง”
หลังเก็บสัมภาระเรียบร้อย หลายคนก็เตรียมพักผ่อน
เมื่อถึงวันที่ต้องออกเดินทาง ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋ก็ตื่นเช้ามาก จากนั้นลุงเจี่ยงก็มาส่งพวกเขาที่สถานีรถไฟ
เมื่อในบ้านขาดพวกเขาไปอีกสองคน บรรยากาศก็เงียบเหงาลงไปมาก จนฉินมู่หลานรู้สึกตื่นเต้นน้อยลงไปอีก แต่ไม่นานเธอก็เริ่มยุ่งอีกครั้ง เป็นเพราะเหลียงถงกับภรรยาของเขาโจวเหยียนมาหาอีกครั้ง
“หมอฉิน นี่เป็นของที่คุณบอกเราใช่ไหมครับ”
ขณะพูด เหลียงถงก็ยื่นซองกระดาษอันใหญ่มาให้
ฉินมู่หลานเปิดออกแล้วพิจารณาดู แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ อันนี้แหละ พวกคุณจัดการกันเร็วมากเลยค่ะ ฉันคิดว่าคงต้องรออีกสักพักกว่าที่พวกคุณจะไปจัดการมา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหลียงถงก็ยกยิ้ม แล้วบอกกล่าว “เรื่องนี้ต้องขอบคุณโรงพยาบาลปักกิ่ง เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา พวกเราจึงได้ใช้เครื่องสแกนเร็ว”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้า หลังจากนั้นก็มองดูแผ่นฟิล์มทันที หลังจากพิจารณาแล้ว เธอก็ยิ้มแล้วหันมองก่อนจะบอกกับโจวเหยียน “คุณป้าคะ กรณีของคุณป้าไม่ได้แย่เลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะ แต่สามารถผ่าตัดผ่านทางโพรงจมูกได้ค่ะ”
แต่หลังจากพูดจบเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในตอนนี้ยังมีเครื่องมืออีกหลายอย่างที่ยังไม่มีให้พร้อมใช้งาน จึงไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดพอจะเป็นไปได้หรือไม่
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อาหลี่ก็กลับแล้ว พ่อแม่ก็กลับแล้ว มู่หลานเริ่มเหงาแล้วล่ะสิ
ขอให้ยุคนี้มีเครื่องมือที่ผ่าตัดผ่านโพรงจมูกอยู่นะคะ ไม่งั้นโป๊ะ
ไหหม่า(海馬)