ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 289 จะทำอะไรได้(2)
ตอนที่ 289 จะทำอะไรได้(2)
ตอนที่ 289 จะทำอะไรได้(2)
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ใช่ค่ะ หลับแล้วรู้สึกกระปรี้ประเปร่าขึ้นมากเลย”
เอ่ยจบก็เดินไปที่เปล เมื่อเห็นเด็กทั้งสองกำลังยื่นมือและโบกไปมา ก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วพูดขึ้น “พวกลูกคิดออกแล้วเหรอ”
หลังพูดจบก็อุ้มคนหนึ่งขึ้นมา เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เดินเข้ามาแล้วอุ้มอีกคนเช่นกัน ช่วงนี้ทั้งสองไม่ค่อยได้ใช้เวลากับพวกเด็ก ๆ เลย จึงคิดถึงพวกเขามากจริง ๆ
หลังจากอาหารเย็นพร้อมแล้ว ทุกคนก็นั่งลง
ซูหว่านอี๋มองเซี่ยเจ๋อหลี่แล้วพูขึ้น “อาหลี่ พ่อกับแม่ของเธอขอกลับก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้า เขาทราบดีว่าพ่อกับแม่ต้องกลับไปบ้านตระกูลเหยา
ฉินมู่หลานจำได้ว่าพวกลูกพี่ลูกน้องต้องการเช่าบ้าน หลังจากกินข้าวเสร็จจึงเล่าให้ลุงเจียงฟัง หลังจากลุงเจียงทราบ ก็ยกยิ้มแล้วบอกกล่าวว่า “ครับ ผมจะช่วยดูให้ครับ”
เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเซี่ยเจ๋อหลี่ ญาติในตระกูลเหยาบางคนจึงมาเยี่ยมเยียนเขาเช่นกัน นอกจากนี้สองแม่ลูกเสิ่นหรูฮวนก็มาด้วย
ฉินมู่หลานรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยเมื่อได้พบเสิ่นหรูฮวน “หรูฮวน ฉันได้ยินว่าซวี่ตงกลับไปเข้ากองทัพแล้ว ครั้งนี้เธอไม่ได้กลับไปกับเขาเหรอ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของเสิ่นหรูฮวนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
ฉินมู่หลานยังไม่ตอบสนอง ถงทิงผิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงบอกกล่าว “หรูฮวนตั้งท้องแล้ว ฉันก็เลยให้หล่อนอยู่ที่เมืองหลวง ไม่อย่างนั้นถ้าไปอยู่ที่บ้านพักครอบครัวทหาร ก็จะไม่มีคนคอยดูแล”
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ ก็รีบยกยิ้มแล้วแสดงความยินดีทันที “หรูฮวน ยินดีด้วยนะ”
หรูฮวนยิ้มเขินแล้วบอกกล่าว “ขอบคุณนะ”
“จริงสิ อยากให้ฉันจับชีพจรให้ไหม”
เสิ่นหรูฮวนรู้เรื่องทักษะทางการแพทย์ของฉินมู่หลาน จึงรีบนั่งลงแล้วบอกกล่าว “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นรบกวนเธอหน่อยนะ”
ถงทิงผิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็อดหันมองฉินมู่หลานด้วยเสียไม่ได้
ฉินมู่หลานตรวจจับชีพจรเสร็จก็ดึงมือกลับ ก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ปกติดีุกอย่าง หรูฮวน ต่อไปก็ต้องใส่ใจดูแลสุขภาพให้ดี ๆ นะ”
เห็นฉินมู่หลานบอกแบบนั้น เสิ่นหรูฮวนก็อดถอนหายใจอย่างโล่งอกเสียไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “ดีจังเลย”
ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่สักพัก ซูหว่านอี๋ก็เดินเข้ามาพร้อมกับจานผลไม้ “หรูฮวน กินผลไม้สักหน่อยสิ”
“ขอบคุณค่ะป้าซู”
ซูหว่านอี๋รีบยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เธอมีเวลาก็มานั่งเล่นบ่อย ๆ ได้นะ”
“ค่ะ”
ในตอนนั้นเอง ถงทิงผิงก็เอ่ยถามเรื่องของเซี่ยเจ๋อหลี่ “ขาของอาหลี่รักษาให้หายขาดไม่ได้แล้วจริงเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ขาขวาของเขาเคยบาดเจ็บมาก่อน ครั้งนี้จึงมีผลข้างเคียงหลงเหลืออยู่เล็กน้อย แต่ก็ถือว่าค่อนข้างดีค่ะ” เมื่อนึกถึงสิ่งที่เซี่ยเจ๋อหลี่พูดบอกกับคนนอก ฉินมู่หลานจึงต้องบอกแบบนี้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เพื่อไม่ให้ดูสงสัย
ซูหว่านอี๋ยังไม่ทราบความลับ ก็ได้แต่คิดว่าขาของลูกเขยจะพิการ จึงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้น “งานของอาหลี่ก่อนหน้านี้ก็อันตรายเหมือนกันนะ ได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง เปลี่ยนอาชีพก็ดี อย่างน้อยก็จะได้ปลอดภัยมากขึ้น”
หลังจากที่ถงทิงผิงพบว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ได้รับบาดเจ็บจริงและได้ลาออกจากงานแล้ว ก็พูดด้วยความเสียใจ “อาหลี่เป็นถึงผู้กองแล้ว ถ้ายังอยู่ต่อ อนาคตต้องรุ่งแน่นอน แต่ตอนนี้กลับต้องวางมือ น่าเสียดายจังเลย แต่เรื่องนี้ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ขอแค่คนปลอดภัยก็ดีแล้ว”
“ใช่แล้ว ชีวิตคนสำคัญที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากนี้อาหลี่จะได้เข้าทำงานที่สถาบันวิจัยแล้ว ก็จะกลับบ้านได้บ่อยขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีค่ะ”
เมื่อเห็นว่าซูหว่านอี๋รู้สึกดีจริง ถงทิงผิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่กลับนึกถึงฟู่ซวี่ตงที่เป็นลูกเขยที่ไม่สามารถกลับบ้านมาอยู่กับลูกสาวได้ เธอจึงรู้สึกว่าการเปลี่ยนอาชีพก็เป็นเรื่องที่ดี
หลังจากหลายคนนั่งพูดคุยกันสักพัก ถงทิงผิงก็พาเสิ่นหรูฮวนกลับไป
เซี่ยเจ๋อหลี่ทราบว่าพวกเธอมาที่นี่เพื่อเยี่ยมตัวเอง ก็อดพูดไม่ได้ “พวกเขามีปัญหาต้องเดินทางไกล หลังจากซวี่ตงกลับมาเมืองหลวงก็ไม่ได้มีเวลาไปเยี่ยมบ้านตระกูลเสิ่นด้วยซ้ำ ควรจะให้เขาได้หยุดอีกสักสองสามวัน”
หลังจากพูดจบ เขาก็พูดถึงการเดินทางครั้งต่อไปอีกครั้ง “ผมเองก็ยังต้องกลับไป หลังจากเอกสารครบถ้วน ผมจะได้ไปรายงานตัวที่สถาบันวิจัยอย่างเป็นทางการ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็เหลือบมองด้วยความสงสัย ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณต้องกลับไปอีกเหรอคะ?”
“ใช่แล้ว ต้องกลับไปอยู่แล้ว จะเปลี่ยนงานก็ต้องไปดำเนินการด้วยตัวเอง”
ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ได้แต่เอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นคุณมีแผนจะออกเดินทางตอนไหน?”
“อีกสองสามวันนี้”
ฉินมู่หลานมองไปยังขาขวาของเซี่ยเจ๋อหลี่ที่ยังเดินตามปกติไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “สภาพแบบนี้จะออกไปข้างนอกยังไงคะ? ไม่กลัวอาการบาดเจ็บจะรุนแรงขึ้นเหรอ?”
“ผมไม่เป็นไรหรอกมู่หลาน ผมรู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาเริ่มดีขึ้นแล้ว นอกจากนี้ผมยังต้องรีบไปดำเนินการให้เร็วที่สุดด้วย”
เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่พูดอย่างนั้น ฉินมู่หลานก็ไม่ได้คัดค้าน “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ถึงตอนนั้นก็ให้ใครสักคนไปกับคุณแล้วกัน”
เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้
เมื่อถึงเวลาที่เซี่ยเจ๋อหลี่ต้องเดินทางกลับฐานทัพ ฉินเคอเหล่ยก็เดินทางไปกับเขาด้วย
ฟู่ซวี่ตงเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่มา สีหน้าก็ดูตื่นเต้น “อาหลี่ นายมาทำอะไรเนี่ย” หลังจากพูดก็หันมองแล้วกล่าวทักทายฉินเคอเหล่ยอีกครั้ง
“ฉันมาจัดการเรื่องน่ะ”
“ไป เดี๋ยวฉันพานายไป”
ฟู่ซวี่ตงคอยช่วยให้เซี่ยเจ๋อหลี่ผ่านขั้นตอนทุกอย่างไปได้อย่างราบรื่น โดยมีฉินเคอเหล่ยก็คอยตามพวกเขาอยู่ข้างหลัง ท่าทางดูมาดมั่นมาก
หลังจากที่ผู้บัญชาการเจียงรู้ว่าเซี่ยเจ๋อหลี่มาดำเนินเรื่อง ก็โทรไปแจ้งสำนักงานทันที “ฉันประทับตราให้หมดเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพอนายไปที่ทำงานใหม่ ก็ตั้งใจทำงานอย่างเคยนะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนี้ ก็รีบทำท่าทำความเคารพ หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ครับ”
เห็นเซี่ยเจ๋อหลี่เป็นเช่นนี้ เจียงอันปังก็ตบลงบนบ่าของเขาแล้วพูด “ทำดีมาก”
“ครับ”
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกไม่กี่คำ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็กลับไป แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ สิงเจิ้งหาวกลับเรียกเขาเอาไว้ “ผู้กองเซี่ย ฉันมีเรื่องจะบอกนาย”
“นายพูดมาเลย”
สิงเจิ้งหาวหันมองรอบข้าง หลังจากนั้นก็พาเซี่ยเจ๋อหลี่ไปยังสถานที่ปลอดสายตาคน
เมื่อเห็นท่าทางของสิงเจิ้งหาวเป็นแบบนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นกับเรื่องที่เขากำลังจะบอกตัวเอง
สิงเจิ้งฮ่าว ก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะจ้องมองเซี่ยเจ่อหลี่แล้วพูดขึ้น “จริง ๆ แล้ว…ก่อนจะออกไปทำภารกิจครั้งนี้ ฉันได้รับข้อความจากเหยาอี้หนิง”
“อะไรนะ…”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็คิ้วขมวดขึ้นทันที “ทำไมเหยาอี้หนิงถึงติดต่อนายล่ะ?”
สิงเจิ้งฮ่าวแค่นหัวเราะ ก่อนจะพูด “จะอะไรได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ขอให้ฉันก่อปัญหากับพวกนายตอนออกไปทำภารกิจข้างนอก แต่ว่าฉันปฏิเสธไปแล้ว ไม่คิดเลยว่า ถึงจะปฏิเสธไปแล้ว ก็ยังมีเรื่องเกิดขึ้นอีก”
หลังจากพูดจบ แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอ อย่าบอกนะว่าที่พี่หลี่กับพ่อบุญธรรมบาดเจ็บครั้งนี้ก็เป็นเพราะฝีมือเหยาอี้หนิง?
ไหหม่า(海馬)