ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 29 ยังไม่ถึงคราวของเธอที่จะได้มัน
- Home
- ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก
- ตอนที่ 29 ยังไม่ถึงคราวของเธอที่จะได้มัน
ตอนที่ 29 ยังไม่ถึงคราวของเธอที่จะได้มัน
ตอนที่ 29 ยังไม่ถึงคราวของเธอที่จะได้มัน
หลังจากฉินเคอวั่งเอ่ยจบ ซูหว่านอี๋ก็เอ่ยต่อ “ใช่ ”เคอวั่งของพวกเราไม่ได้อยากพึ่งพาพี่สาวของเขา ต่อไปก็เลยจะตั้งใจหางานหารายได้ด้วยตัวเอง”
หล่อนรู้สึกโกรธพี่สะใภ้ที่ยุยงให้ครอบครัวของลูกสาวและลูกเขยบาดหมางกัน เมื่อเห็นว่าตอนนี้พี่สะใภ้ใหญ่ดูจะยึดติดกับเรื่องตำแหน่งงานลูกจ้างชั่วคราว จึงอยากถามความคิดเห็นของซุนฮุ่ยหงเป็นอย่างมากว่ามีปัญหาอะไร เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ป้าใหญ่จะต้องเป็นคนมาเอ่ย
ซุนฮุ่ยหงได้ยินเช่นนั้น จึงหัวเราะขึ้นมาพลางเอ่ย “พวกเธอคิดว่างานมันหาง่ายมากหรือไง ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงตัวอง คิดว่าการปลูกพืชกินเองจะเหมือนกับการได้ซื้ออาหารกินอย่างนั้นหรือ?”
“พี่สะใภ้ใหญ่ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกค่ะ สรุปแล้วก็คือมู่หลานอยากจะให้งานนั้นกับใครก็ได้ตามที่หล่อนต้องการ ตอนนี้งานก็โดนส่งต่อไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาพูดถึงเรื่องนี้กันแล้วล่ะ” ซูหว่านอี๋ยังอยากเอ่ยถามฉินมู่หลานอีกมากมาย หล่อนอยากถามลูกสาวของตนเสียจริงว่าเหตุใดจึงไม่ไปทำงานด้วยตัวเอง ทำไมบอกว่าจะให้ก็ให้ไปเสียทั้งอย่างนั้นเลย ติดที่ว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่นหล่อนจะต้องแสดงความคิดเห็นเข้าข้างลูกสาวของตน ดังนั้นจึงเอ่ยขัดลูกสาวไม่ได้
ซุนฮุ่ยหงเห็นว่าซูหว่านอี๋เอ่ยเช่นนี้จึงได้แต่คิดว่าน้องสะใภ้คนนี้ช่างโง่เขลานัก ทว่าเอ่ยเช่นนั้นก็ไม่ผิด พ่อแม่ของพวกเขายังไม่เอ่ยสิ่งใดเลย จึงไม่ใช่ธุระกงการอะไรของป้าสะใภ้ใหญ่อย่างหล่อน
ผู้อาวุโสทั้งสองคนของตระกูลฉินที่อยู่ด้านข้างก็ได้ทราบเหตุผลของเรื่องนี้เช่นกัน
ฉินอวิ๋นเฮ่อไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของหลานสาว ตอนนี้หลานสาวของตนมีฝีมือด้านการแพทย์แล้ว จะไปทำอะไรที่ไม่ควรทำเพื่ออะไร เหตุใดจะต้องไปเป็นลูกจ้างชั่วคราวด้วย หากหลานสาวจะส่งงานต่อให้พี่สะใภ้ตระกูลเซี่ยก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด ถึงอย่างไรตอนนี้หลานสาวก็แต่งเข้าตระกูลเซี่ยไปแล้ว จึงถือว่าเป็นคนของตระกูลเซี่ย หากมีเรื่องอะไรก็จะต้องนึกถึงตระกูลเซี่ยเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นจึงเป็นครอบครัวของตัวเอง
คิดเช่นนั้นฉินอวิ๋นเฮ่อก็รู้สึกเศร้าใจนิดหน่อย สุดท้ายแล้วพอเด็กผู้หญิงแต่งงานออกเรือนก็จะต้องไปเป็นคนในครอบครัวของผู้อื่น
“เอาเถอะ มู่หลานจะตัดสินใจทำอะไรมันก็ต้องเป็นไปตามนั้น พวกเธอไม่ต้องพูดแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ ฉินอวิ๋นเฮ่อก็ปรายตามองซุนฮุ่ยหงเป็นเชิงตักเตือน สะใภ้ใหญ่คนนี้ ยิ่งนานวันเข้ายิ่งคิดมาก
เมื่อซุนฮุ่ยหงเห็นสายตาของฉินอวิ๋นเฮ่อ แววตาก็เป็นประกายวาบ แล้วไม่เอ่ยพูดสิ่งใดอีก
หลิวชุ่ยฮวาเองก็มองไปที่ซุนฮุ่ยหงอย่างขุ่นเคือง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ทำไมถึงยังยืนอยู่อีก ไม่รีบไปทำอาหารเสียล่ะ มู่หลานกับอาหลี่จะได้กินข้าวด้วย”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ฉินมู่หลานจึงลุกขึ้นยืนพลางส่งยิ้มพร้อมเอ่ย “คุณย่าคะ พวกเราไม่กินกันหรอกค่ะ ที่บ้านของพวกเรากำลังทำอยู่ค่ะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่จากเดิมที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด จนกระทั่งตอนนี้เขาจึงลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย “คุณปู่คุณย่า ตอนนี้ที่บ้านของผมกำลังทำกับข้าว เอาไว้ครั้งหน้าจะมากินด้วยนะครับ”
“ได้สิ”
เมื่อฉินอวิ๋นเฮ่อเห็นว่าทั้งหลานสาวและหลานเขยต่างไม่อยู่รับประทานอาหาร จึงไม่มีประโยชน์ที่จะต้องอยู่นานขึ้น
ฉินมู่หลานอยากพูดคุยกับฉินเคอวั่งน้องชายของตน จึงพาเซี่ยเจ๋อหลี่เข้าห้องถัดไปด้วยกัน
หลังจากที่ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่เข้าไปในห้องถัดไปแล้ว ฉินเจี้ยนหัวพร้อมกับลูกชายก็เพิ่งกลับมา
ฉินอวิ๋นเฮ่อเห็นลูกชายคนโต หลานชายคนโตและคนรองแล้ว จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ดูแลคนของพวกแกด้วย ถ้าฉันรู้ว่ามีความคิดอะไรแอบแฝงอีก ถึงตอนนั้นอย่าบอกว่าฉันใจร้ายที่ไล่พวกแกออกไปจากบ้านแล้วกัน”
เมื่อก่อนชายชราก็ชื่นชอบหลานสาวของตนอยู่แล้ว ซ้ำในตอนนี้หลานสาวคนนี้ยังได้สืบทอดทักษะการแพทย์ของตระกูลฉินแล้วด้วย จึงย่อมให้ความสำคัญกับเธอมากเป็นพิเศษ
ฉินเจี้ยนหัวยังไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ จึงรู้สึกกลัวขึ้นมาในทันที
“พ่อครับ พ่อกับแม่ต่างก็อยู่ที่นี่ พวกเราแยกออกไปไม่ได้หรอก แล้วพวกเราจะมีความคิดอะไรแอบแฝงได้ พวกเราไม่มีแน่นอน”
“ไม่มีก็ดีแล้ว”
ฉินอวิ๋นเฮ่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป
หลิวชุ่ยฮวาปรายตามองลูกสะใภ้คนโตของตน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “มื้อกลางวันนี้ พวกเธอสามคนไปทำอาหารซะ”
เอ่ยจบนางก็เดินกลับเข้าไปในบ้านเช่นกัน
หลังจากผู้อาวุโสทั้งสองกลับเข้าไปแล้ว ฉินเจี้ยนหัวก็หันมองซุนฮุ่ยหงด้วยความโกรธ พร้อมเอ่ยขึ้น “คุณไปทำอะไรมา พวกพ่อกับแม่ถึงโกรธมากขนาดอยากให้พวกเราแยกบ้านออกไป?”
ซุนฮุ่ยหงไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายชราจะโหดร้ายเช่นนี้ เพียงแค่หล่อนเอ่ยถึงเรื่องตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวของฉินมู่หลาน พวกเขากลับถึงขั้นอยากจะให้แยกบ้านออกไป
เมื่อเห็นว่าซุนฮุ่ยหงไม่เอ่ยสิ่งใด ฉินเคอเหล่ยจึงหันไปถามเค้นจากหวังจาวตี้แทน “เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”
หวังจาวตี้ลังเลที่จะบอกกล่าวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น และสุดท้ายก็ได้เอ่ยขึ้น “พวกเราเพียงแค่รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเคอวั่ง ถึงแม้ฉินมู่หลานจะไม่อยากได้งานของตัวเอง แต่ก็ให้คนอื่นในครอบครัวตัวเองได้”
ฉินเคอเหล่ยยังไม่ทันจะได้เอ่ย ฉินเจี้ยนหัวก็เอ่ยตะคอกขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ก็ไม่น่าแปลกที่คุณปู่อยากจะแยกบ้านกับพวกเรา พวกเธอเพ่งเล็งไปที่มู่หลานนี่เอง พวกเจี้ยนเซ่อยังไม่พูดอะไรกันเลย แล้วพวกเธอมีสิทธิ์อะไรไปต่อว่าหล่อนกัน ต่อไปอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยในเรื่องแบบนี้อีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซุนฮุ่ยหงก็รู้สึกอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป พลางเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าโกรธจัด “พวกผู้อาวุโสตระกูลฉินของพวกคุณนั่นแหละที่แปลก ไม่รักหลานชายแต่กลับรักหลานสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าพวกท่านคิดอะไร”
“ฮึ…แล้วใครใช้ให้เคอเหล่ยกับเคอเจี๋ยไม่ไปร่ำเรียนวิชาแพทย์กับคุณปู่ตั้งแต่แรกเล่า ก็เพราะคุณเองไม่ใช่เหรอ สุดท้ายแล้วก็มีเพียงมู่หลานที่เดินตามรอยคุณปู่เขา ถ้าไม่ให้เขาเอ็นดูมู่หลานแล้วจะให้ไปเอ็นดูใคร”
“ฉัน…”
ซุนฮุ่ยหงพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง เป็นความจริงที่หล่อนไม่เห็นด้วยกับการให้ลูกชายทั้งสองไปเรียนวิชาแพทย์แผนจีน แต่ช่วงนั้นข่าวลือกำลังหนาหู หากมีคนมาคอยจับผิด อนาคตของเคอเหล่ยและเคอเจี๋ยก็จะจบสิ้น แล้วหล่อนจะยอมได้หรือ อย่ามาพูดเสียดีกว่า “…คุณอย่ามาว่าลูกชายสองคนของเราที่ไม่ได้เรียนเลย ตัวคุณเองก็ไม่ได้เรียนกับท่าน ก็เลยไม่รู้อะไรเลยอย่างไรล่ะ”
“คุณ…”
ฉินเจี้ยนหัวรู้สึกมีน้ำโห สุดท้ายจึงเดินจากไปด้วยสีหน้าเย็นชา
อีกด้านหนึ่ง ฉินมู่หลานกำลังเอ่ยอธิบายเรื่องตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวในโรงงานอาหารให้ฉินเจี้ยนเซ่อและซูหว่านอี๋ฟัง “พ่อคะแม่คะ รายได้ของลูกจ้างชั่วคราวไม่ได้สูงมากมายขนาดนั้น แล้วต่อไปเคอวั่งเองก็จะต้องได้งานที่ดีกว่านี้แน่ เลยยังไม่อยากให้เขาไปทำงานตอนนี้น่ะค่ะ”
อันที่จริง ฉินเจี้ยนเซ่อยังคิดว่าการมีงานทำแม้จะเป็นตำแหน่งลูกจ้างชั่วคราวก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ในเมื่อลูกสาวเอ่ยเช่นนั้น เขาจึงไม่คัดค้าน
ซูหว่านอี๋ก็พยักหน้าพลางเอ่ยขึ้นเช่น “ใช่แล้วล่ะ เคอวั่งยังไม่ต้องรีบทำงานหรอก ผลการเรียนเขาดีขนาดนี้ หากไม่ละทิ้งการเรียนก็จะมีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อีกนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินมู่หลานก็หันมองซูหว่านอี๋อย่างนึกสงสัย เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าซูหว่านอี๋จะคิดไปถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตัวเธอทราบดีว่าในปีหน้ามหาวิทยาลัยจะกลับมาเปิดให้เข้าเรียนได้อีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่ได้รีบเร่ง แต่ซูหว่านอี๋ไม่ได้ทราบเรื่องนี้ ทว่าหล่อนกลับคาดเดาได้
แม้แต่เซี่ยเจ๋อหลี่เองก็อดไม่ได้ที่จะหันมองแม่ยาย
ฉินเคอวั่งได้ยินคำพูดของแม่ เขาจึงพยักหน้าอย่างหนักแน่นพลางเอ่ย “แม่วางใจเถอะ ผมจะตั้งใจอ่านหนังสือ จะได้ไม่ลืมสิ่งที่เรียนมา”
ซูหว่านอี๋พยักหน้าเห็นด้วยอย่างมีความสุข
ฉินมู่หลานไม่ต้องเอ่ยสิ่งที่อยากจะบอกเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่เอ่ยให้กำลังใจ “ใช่แล้ว ตั้งใจอ่านหนังสือก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เคอวั่งของพวกเราเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่นอน พอได้เป็นนักศึกษามหาลัยแล้ว ไม่ว่าจะงานอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น”
ฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่อยู่ต่ออีกสักพักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงกลับไป เมื่อพวกเขากลับถึงบ้าน เซี่ยเจ๋อน่าเองก็เพิ่งกลับมาเช่นกัน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ให้ป้าใหญ่รู้ซะมั่งว่ามู่หลานคนโปรดใคร
แม่ยายหัวก้าวหน้ามากค่ะ เหมือนคนที่ล่วงรู้อนาคตเลย
ไหหม่า(海馬)