ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 292 ครอบครัวลุงใหญ่ฉินมาเมืองหลวง(1)
- Home
- ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก
- ตอนที่ 292 ครอบครัวลุงใหญ่ฉินมาเมืองหลวง(1)
ตอนที่ 292 ครอบครัวลุงใหญ่ฉินมาเมืองหลวง(1)
ตอนที่ 292 ครอบครัวลุงใหญ่ฉินมาเมืองหลวง(1)
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินสิ่งที่คุณนายเหยาพูด ก็พูดอย่างไม่เจาะจงนัก “ไม่มีอะไรครับ เพราะคิดถึงเรื่องที่ตัวผมต้องวางมือจากกองทัพ ก็เลยเป็นห่วงเหยาอี้หนิงที่กำลังทำงานนี้อยู่นิดหน่อยครับ”
คุณนายเหยาได้ยินแบบนี้ก็เชื่อ
เพราะหลานชายทำงานในกองทัพมาหลายปีแล้ว จึงต้องมีความรู้สึกผูกพันธ์กับกองทัพเป็นธรรมดา พอตอนนี้ตัวเองต้องวางมือ จึงเริ่มสนใจอี้หนิงที่ยังทำงานอยู่ในกองทัพ นางจึงเอ่ยตามตรง “ยายเจออี้หนิงแค่ช่วงปีใหม่เท่านั้น ตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้เจอเขาเลย”
“ถ้าอย่างนั้นก็เจอแค่ตอนนั้นเหรอครับ? หลังจากนั้นเขาไม่ได้มาที่เมืองหลวงเลยเหรอ?”
เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ดูใส่ใจเรื่องของอี้หนิงมากขนาดนี้ คุณนายเหยาก็ได้แต่รู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่แล้ว ช่วงปีใหม่ยายไปกินข้าวกับอี้หนิงกับม่านลี่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจออี้หนิงเลย เจอแค่ม่านลี่อยู่ไม่กี่ครั้ง”
“เริ่นม่านลี่?”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินคุณนายเหยาพูดถึงเริ่นม่านลี่ก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อย “เหยอี้หนิงกับเริ่นม่านลี่หย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
คุณนายเหยาไม่ค่อยชอบคำพูดนี้สักเท่าใด
“ถึงอี้หนิงกับม่านลี่จะหย่ากันแล้ว แต่ทั้งสองคนก็ยังลืมกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะกลับมาอยู่ด้วยกัน”
เซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้สนใจเรื่องระหว่างเหยาอี้หนิงกับเริ่นม่านลี่เท่าไหร่นัก เมื่อเห็นว่าคุณนายเหยาไม่ทราบอะไรมากไปกว่านี้ ก็ไม่เอ่ยถามอะไรอีก
คุณนายเหยาเห็นว่าบรรยากาศเริ่มเงียบ จึงรีบลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “พวกหลายค่อย ๆ คุยกันไปก่อนนะ ยายขอไปพักผ่อนก่อน” หลังจากพูดก็หันมองแล้วบอกหลี่เสวี่ยเยี่ยน “เสวี่ยเยี่ยน เธอมากับฉันหน่อยสิ”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนไม่ปฏิเสธ ก่อนจะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ได้ค่ะ”
หลังจากคุณนายเหยาไปแล้ว นายท่านเหยาก็หันไปพูดกับเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยท่าทีเสียใจ “อาหลี่ ช่วงนี้ยายของหลานค่อนข้างสับสน หล่อนชื่นชมเหยาอี้หนิงก็จริง แต่ในสายตาของตา อาหลี่ของเราเก่งที่สุด ก่อนหน้านี้เหยาอี้หนิงก็เทียบอะไรกับหลานไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าตอนนี้หลานจะเปลี่ยนงานแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้ดีเท่าหลานหรอก”
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นนายท่านเหยาพยายามพูดปลอบใจ ก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “คุณตาครับ ผมไม่ได้คิดมากหรอก คุณตาไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ครับ”
นายท่านเหยาเห็นว่าเซี่ยเจ๋อหลี่ไม่ได้พยายามฝืนว่าไม่เป็นไร ก็รู้สึกโล่งใจ
เจี่ยงสือเหิงหันมองเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วยแววตาสงสัย เขารู้สึกว่าอยู่ ๆ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ให้ความสนใจเรื่องเหยาอี้หนิง ดังนั้นเขาต้องมีเหตุผลแน่นอน แต่ตอนนี้นายท่านเหยายังอยู่ตรงนี้ เขาจึงยังไม่เอ่ยถาม จนกระทั่งกลุ่มคนกินข้าวเย็นที่บ้านตระกูลเหยาเสร็จแล้วและเดินทางกลับ ในที่สุดเจี่ยงสือเหิงก็สบโอกาส
“อาหลี่ พ่อว่าจะหาโอกาสคุยกับเธอดี ๆ สักหน่อย แต่ก็ไม่มีโอกาสเลย ตอนนี้พวกเราสองพ่อลูกมาคุยกันเถอะ”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเจี่ยงสือเหิง เซี่ยเจ่อหลี่จึงพยักหน้าแล้วตอบรับ “ครับ”
เจี่ยงสือเหิงเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่ยอมตกลง ก็ไม่อ้อมค้อม ก่อนจะเอ่ยปากถามตามตรง “อาหลี่ เธอมาทำงานที่สถาบันวิจัยเรา เป็นเพราะที่สถาบันของเรากำลังมีปัญหาอยู่อีกใช่หรือเปล่า?”
ครั้งก่อนมีเรื่องเกิดขึ้นที่ฐาน สุดท้ายก็จับตัวนักวิจัยวัยกลางคนได้หนึ่งคน เพียงแต่เขารู้สึกว่าเรื่องมันคงไม่จบง่ายขนาดนั้น เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเซี่ยเจ๋อหลี่ฟื้นตัวได้เร็วมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยืนกรานจะย้ายมาทำงานที่สถาบันของเขา ทำให้เขาเกิดสงสัยเรื่องนั้น
ในฐานะที่เจี่ยงสือเหิงเป็นพ่อบุญธรรมของฉินมู่หลาน เซี่ยเจ๋อหลี่จึงปฎิบัติกับเขาประหนึ่งพ่อคนหนึ่งมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ปิดบัง ก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกกล่าวตามตรง “ครับ ที่สถาบันอาจจะยังมีปัญหาอยู่ เพิ่งจับตัวการได้แค่คนเดียว จึงสงสัยว่ายังมีคนอื่นแอบแฝงอยู่ ผมเปลี่ยนงานแล้ว เพราะฉะนั้นต่อจากนี้พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้วนะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจี่ยงสือเหิงก็หันมองเซี่ยเจ๋อหลี่ ก่อนจะพูดอย่างนึกขบขัน “ใช่แล้ว ต่อไปพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมงานกันแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องดูแลกันให้ดี”
“เรื่องนั้นมั่นใจได้เลยครับ”
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนต่างคนต่างหันหน้ากลับไป หลังจากนั้นเจี่ยงสือเหิงก็เอ่ยถามขึ้น “วันนี้อยู่ ๆ เธอถามเรื่องเหยาอี้หนิงทำไมเหรอ พ่อจำได้ว่าเหมือนเขาจะย้ายออกจากฐานทัพที่เธอประจำการไปตั้งนานแล้ว ทำไมอยู่ ๆ เธอถึงถามเรื่องเขาล่ะ หรือว่าเพราะเขาไม่เต็มใจ ออกไปก็เลยมีปัญหาคอยรังควานอีกหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจมากนัก แต่ครั้งนี้ตอนที่ออกไปปฏิบัติภารกิจที่ฐานของพ่อ เหยาอี้หนิงแอบไหว้วานลูกน้องของผมคนหนึ่ง ผมรู้สึกว่าเรื่องมันบังเอิญไปหน่อย จึงลองสนใจให้มากขึ้นกว่าเดิม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจี่ยงสือเหิงจึงตระหนักว่าต้องใส่ใจขึ้นมาเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าเหยาอี้หนิงคนนี้จะเป็นปัญหา พ่อจะให้คนช่วยลองตามสืบด้วยแล้วกัน”
“ดีครับพ่อ ยังไงพวกเราก็ต้องรอบคอบให้มากขึ้นหน่อย”
หลังจากนั้นเขาก็คิดจะไปใช้เวลาร่วมกับภรรยาและลูก “พ่อครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะ เด็ก ๆ เหมือนจะอยากไปนอนแล้ว”
“ได้ เธอรีบไปเถอะ”
หลังจากเซี่ยเจ๋อหลี่ไปแล้ว เจี่ยงสือเหิงก็นั่งต่ออยู่คนเดียวอีกสักพัก เขานึกถึงทุกคนในสถาบันอย่างถี่ถ้วน รู้สึกว่าทุกคนล้วนมีปัญหา ก่อนจะหยุดคิดมากในเรื่องนี้ ได้แต่ตั้งใจว่าหลังกลับไปทำงานครั้งนี้จะจับตาดูแต่ละคนด้วยความระมัดระวัง
ด้านฉินมู่หลานเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่กลับมาแล้ว ก็อดถามไม่ได้ “พ่อเรียกหาคุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
เซี่ยเจ๋อหลี่ส่ายหัว แล้วบอกกล่าว “ไม่มีอะไร แค่เรียกผมไปคุยเรื่องสถาบันวิจัยนิดหน่อย”
มีบางอย่างที่เขาบอกไม่ได้ และเขาก็ไม่อยากให้ครอบครัวต้องเป็นกังวลใจ เจี่ยงสือเหิงทำงานที่สถาบันวิจัยมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว เขาที่อยากทำภารกิจให้สำเร็จจึงต้องการให้พ่อบุญธรรมคอยช่วยเหลือเขา
ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่บอกแบบนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก และบอกให้เขารีบพักผ่อน
“ตอนนี้คุณต้องบำบัดร่างกายให้ดี ไม่อย่างนั้นขาขวาของคุณอาจเป๋จริง ๆ ถึงตอนนั้นแล้วคุณจะร้องไม่ออก”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนี้ก็ก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วสวมกอดฉินมู่หลานพลางพูดขึ้น “ภรรยา ผมมีคุณอยู่ ต้องไม่เป็นอะไรแน่”
ฉินมู่หลานมองดูเขาอย่างแง่งอน ก่อนจะเอ่ย “ฉันไม่ได้ทำได้ทุกอย่างนะ การพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายเป็นเรื่องสำคัญมาก”
“คุณภรรยาไม่ต้องห่วงครับ ผมจะพักผ่อนและฟื้นฟูร่างกายอย่างดีแน่นอน”
“ได้ๆๆ งั้นตอนนี้เรามาพักผ่อนกัน”
เซี่ยเจ๋อหลี่ยกยิ้มแล้วพยักหน้า รู้สึกว่าหลายวันนี้สบายเป็นพิเศษ แต่กระนั้นก็ไม่ลืมภารกิจของตัวเอง จึงมองฉินมู่หลานแล้วพูดอย่างช่วยไม่ได้ “คุณภรรยาครับ เมื่อไหร่ผมจะไปรายงานตัวที่สถาบันวิจัยได้เหรอครับ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก้หันหน้าไปมอง แล้วเอ่ยถาม “คุณรีบไปทำงานขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะไปรายงานตัวที่สถาบันให้เร็วที่สุด”
แม้เซี่ยเจ๋อหลี่จะไม่ได้พูดบอกอย่างชัดเจน แต่ฉินมู่หลานก็พอจะทราบ ว่าเขาคงมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้ “ถ้าคุณอยากไปรายงานตัวเร่งด่วนอย่างที่ว่าจริง อีกสักสองวันก็ไปได้ แต่ต้องตระหนักเอาไว้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาคุณยังไม่หายสนิทดี เพราะฉะนั้นต้องระวังตัวให้มากขึ้น ถ้าขาของคุณได้รับบาดเจ็บหรือมีอะไรมากระแทกซ้ำอีก อาจจะทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้นะคะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ ก็รีบให้คำมั่นทันที “คุณภรรยาวางใจได้เลยครับ ผมจะระมัดระวังอย่างดี”
เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่บอกแบบนั้น ฉินมู่หลานก็ทราบดีว่าเขาต้องไปรายตัวที่สถาบันวิจัย ดูเหมือนว่าเรื่องที่สถาบันวิจัยดูจะเป็นเรื่องเร่งด่วน “ในเมื่อคุณตัดสินใจไปจริง ฉันก็จะไม่พูดอะไรแล้ว ต่อไปฉันจะฝังเข็มให้ทุกวัน พยายามทำให้อาการบาดเจ็บที่ขาของคุณหายเร็วที่สุด”
“ได้ ขอบคุณนะคุณภรรยา”
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันจบแล้ว ก็นอนลงแล้วพักผ่อน
กระทั่งถึงวันรุ่งขึ้น เมื่อฉินมู่หลานตื่นขึ้นมา เซี่ยเจ๋อหลี่ก็ตื่นอยู่ก่อนแล้ว “มู่หลาน คุณตื่นแล้วเหรอ ลูกทั้งสองคนถูกพาไปหน้าบ้านแล้ว พวกแม่กำลังดูอยู่ ถ้าคุณง่วงก็นอนต่อสักพักได้นะ”
“คุณพาลูกออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันไม่เห็นรู้ตัวเลย”
ฉินมู่หลานลุกขึ้นนั่งขณะที่กำลังเอ่ย จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “ฉันไม่นอนหรอกค่ะ รู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ก็เลยอยากจะออกกำลังกายสักชั่วโมงหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยเจ๋อหลี่ก็รีบเอ่ยทันที “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมเป็นเทรนเนอร์สอนออกกำลังกายให้เอง”
“เอาสิ”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หรือว่าเรื่องยุ่งๆ ที่เกิดขึ้นกับอาหลี่กับพ่อบุญธรรมมันจะเป็นฝีมือของอี้หนิงอีกแล้ว?
ไหหม่า(海馬)