ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 307 สำเร็จแล้ว
ตอนที่ 307 สำเร็จแล้ว
ตอนที่ 307 สำเร็จแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของเจี่ยงสือเหิง เซี่ยเจ๋อหลี่ก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “พ่อบุญธรรม พวกเราอย่าร้อนรนไปเลย ใจเย็นๆเถอะ เราจะต้องหาคนที่อยู่เบื้องหลังพบอย่างแน่นอน”
“ฉันจะไม่ร้อนรนได้อย่างไรกัน ถ้าหนึ่งวันแล้วยังหาคนผู้นั้นไม่พบ ฉันเองก็จะไม่สบายใจไปอีกหนึ่งวัน ต่อให้พวกเราจะเตรียมการพร้อมแล้ว แต่ถ้าทำให้หนอนบ่อนไส้รับรู้ถึงข้อมูลสำคัญ เช่นนั้นความสูญเสียของพวกเราก็จะมากเกินไป”
เพื่อล่อให้หนอนบ่อนไส้ปรากฏตัว เวลานี้เขาจึงจงใจเผยข้อบกพร่องของเขาและทำให้บุคคลผู้นั้นเข้าใกล้ แต่หลายวันมานี้กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่น้อย
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินเช่นนี้ก็เอ่ยปลอบอยู่ด้านข้าง “เอาเถอะพ่อบุญธรรม พวกเราไปกินข้าวกันก่อนเถอะ คุณยุ่งอยู่ภายในนี้มานานมากแล้ว จะต้องหิวแล้วแน่ๆ”
“ตกลง พวกเราออกไปกันก่อนเถอะ”
ขณะกล่าว ทั้งสองคนเดินออกจากห้องทดลอง เจี่ยงสือเหิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามประโยคหนึ่งด้วยเสียงแผ่วเบา “อาหลี่ บริเวณโดยรอบนั้นไม่มีใครคอยสังเกตและสะกดรอยตามพวกเราจริงไหม?”
“ไม่มีครับ”
เซี่ยเจ๋อหลี่ส่ายศีรษะ
ได้ยินคำพูดนี้ เจี่ยงสือเหิงชำเลืองมองเซี่ยเจ๋อหลี่อย่างอดไม่ได้และเอ่ย “ยังเป็นนายที่โดดเด่นเกินไป ตอนที่ฐานทัพเกิดเรื่องขึ้นนายเองก็อยู่ด้วย ทุกคนจึงรู้จักนายกันหมด ต่อให้นายจะย้ายมาที่นี่และกลายเป็นพนักงานคนหนึ่งของสถาบันวิจัย แต่ทุกคนก็ยังคงนึกถึงสถานะก่อนหน้านี้ของนาย ไม่แน่ว่าที่คนเหล่านั้นยังไม่เคลื่อนไหวก็เพราะนาย น่าจะให้คนแปลกหน้าคนหนึ่งมาที่สถาบันวิจัยแทนนะ”
เซี่ยเจ๋อหลี่เอ่ยอย่างอดไม่ได้หลังได้ยินดังนี้ “พ่อบุญธรรมครับ ตอนนี้ผมพิการแล้วดังนั้นการที่ส่งผมมายังสถาบันวิจัยนั้นไม่ใช่เรื่องปกติหรอกเหรอ ยิ่งกว่านั้นสถานที่แห่งนี้ยังมีคุณอยู่ด้วย ผมบากหน้ามาพึ่งพาพ่อตานั่นก็สมเหตุสมผล”
ได้ยินคำพูดนี้ เจี่ยงสือเหิงอดไม่ได้ที่จะมองดูท่าทางกะโผลกกะเผลกของเซี่ยเจ๋อหลี่ รู้สึกขบขันเล็กน้อย
เขาและมู่หลานรู้ดีที่สุดถึงอาการบาดเจ็บบริเวณขาของเซี่ยเจ๋อหลี่ ตอนแรกเขาอาจจะพิการจริงๆ แต่หลังจากได้รับการฝังเข็มรวมถึงการปรับสภาพจากมู่หลาน อาการบาดเจ็บตรงขาของเซี่ยเจ๋อหลี่ก็ดีขึ้นมาก เพียงแค่ต้องพักฟื้นให้ดีและจะหายเป็นปกติ
อย่างไรก็ตามคำพูดของเซี่ยเจ๋อหลี่นั้นก็ไม่ผิด ตอนนี้เขาพิการอยู่เล็กน้อยจริง แต่ก็ไม่ได้พิการเหมือนกับที่เซี่ยเจ๋อหลี่แสดงออกมาขนาดนั้น
แต่ท่าทางนี้ของเซี่ยเจ๋อหลี่ทำให้ผู้คนคลายความระมัดระวังลงไปมาก อย่างไรเสียคนพิการเช่นนี้ก็ย่อมอ่อนแอกว่าคนปกติ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยอยู่ในกองทัพมาก่อน แต่ทักษะของเขาไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้คนอื่นดูถูกดูแคลนเขา
“ใช่ นายมาที่สถาบันของพวกฉันก็ดี พวกเราสองคนก็เป็นคู่หูกันได้”
สุดท้ายเจี่ยงสือเหิงยังเอ่ยถึงเรื่องที่คืนนี้เขาจะไม่กลับไป
“ช่วงนี้ยังมีเรื่องยุ่ง ฉันยังกลับบ้านไม่ได้หรอก หากนายคิดถึงลูกก็กลับไปก่อนได้”
เซี่ยเจ๋อหลี่คิดถึงมู่หลานและลูกสองคนจริงๆ แต่เขาเองก็ไม่สามารถกลับไปได้เช่นกัน
“พ่อบุญธรรม ผมเองก็ไม่กลับไปเช่นกัน ต่อให้วันนี้ผมเองอาจทำอะไรได้ไม่มาก แต่เรื่องบางอย่างก็ต้องรีบจัดการโดยเร็ว เช่นนี้จะได้ไม่เป็นถ่วงตัวความก้าวหน้าของคุณ”
“ตกลง งั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”
ทั้งสองคนกินอาหารเป็นเวลาดึกมาก เช่นเดียวกับทางด้านฉินมู่หลาน ทั้งสามคนยุ่งจนกระทั่งเซี่ยเหวินปิงและฉินเจี้ยนเซ่อกลับมา ถึงค่อยตกใจยามเห็นว่าเป็นเวลาค่ำมืดแล้ว
ซูหว่านอี๋เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “ไอ้หยา……ยังไม่ได้ทำอาหารเย็นเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหยาจิ้งจือรีบเอ่ย “ไม่เป็นไร ลุงเจี่ยงคงจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
ทางด้านลุงเจี่ยงเองก็ได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว อาหารมื้อค่ำยังคงมีความหลากหลาย
“คุณหนู ลำบากพวกคุณแล้ว รีบมานั่งกินอาหารเถอะ”
ฉินเจี้ยนเซ่อและเซี่ยเหวินปิงมองภรรยาของตนเองด้วยความฉงนพลางเอ่ยถาม “พวกคุณเองก็ยุ่งเหมือนกับมู่หลานงั้นเหรอ?”
เหยาจิ้งจือและซูหว่านอี๋พยักหน้าและเอ่ย “ใช่แล้ว”
จากนั้นพวกหล่อนก็เอ่ยถึงเรื่องการผลิตเครื่องสำอาง
เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนมีความสุขและความสนใจขณะที่เล่า ทั้งสองคนก็ไม่ถามอะไรอีก และรู้สึกมีความสุขไปพร้อมกับพวกหล่อน
พวกเขาเริ่มกินอาหารกันอย่างรวดเร็ว หลังกินอาหารเสร็จฉินเคอวั่งก็เอ่ยด้วยความเสียใจเล็กน้อย “พรุ่งนี้เปิดเทอมแล้ว คงไปที่เรือนสี่ประสานกับอาจารย์ไม่ได้แล้วล่ะครับ”
ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินคำพูดนี้ก็เอ่ยอย่างอดไม่ได้ “เคอวั่ง ภาระหน้าที่ต่อไปนี้ของเธอคือการตั้งใจเรียนให้ดี หลังจากนี้ยังมีโอกาสฝึกฝน”
เซี่ยเหวินปิงเอ่ย “ใช่แล้วเคอวั่ง ไปมหาวิทยาลัยแล้วยังกลัวเรียนไม่ได้ความรู้อีกหรือ ยิ่งกว่านั้นเธอยังมีอาจารย์ ต่อให้ไม่เข้าเรียน อาจารย์ของเธอจะต้องสั่งสอนเธออย่างแน่นอน”
กล่าวถึงเหลียงถง เซี่ยเหวินปิงและฉินเจี้ยนเซ่อพลันเอ่ยชมเชยเขาขึ้นมา
“เคอวั่ง อาจารย์ของเธอยอดเยี่ยมจริงๆ ดูตามกระดาษวาดภาพรวมถึงคำแนะนำของเขา เรือนสี่ประสานภายในวันนี้ก็ดูงดงามมาก หากตอนแรกพวกฉันทำตามอำเภอใจและตกแต่งด้วยตัวเองก็คงไม่ได้ผลลัพธ์อย่างนี้แน่นอน”
เป็นเพราะว่ามีเหลียงถงอยู่ พวกเขาทั้งสองเองก็ได้รับประโยชน์มากมายเช่นกัน แม้ภายในทีมก่อสร้างมีเพียงพวกเขาแค่ไม่กี่คน แต่ก็ทำทุกอย่างออกมาได้ดีและเป็นไปในทิศทางที่ดี
ฉินเคอวั่งยิ้มขณะกล่าวถึงอาจารย์ของตนเอง “แน่นอนว่าอาจารย์ผมยอดเยี่ยมมาก เขารู้ทุกอย่างเลย”
ภายในสายตาของฉินเคอวั่ง เหลียงถงนั้นยอดเยี่ยมมากที่สุด เขาทั้งเคารพและเลื่อมใสอาจารย์ของตนเองอย่างยิ่ง
หลังจากพูดคุยกันชั่วครู่ เหยาจิ้งจือมองเซี่ยเหวินปิงและเอ่ย “เหวินปิง คืนนี้ฉันไม่กลับนะ ฉันวางแผนจะอยู่ที่นี่”
ในเมื่อครอบครัวของลูกคนชายคนโตยังอยู่ที่บ้านตระกูลเหยา นายท่านเหยาและพวกเขาคงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
ส่วนหล่อนนั้นจะอยู่ที่นี่ จะพยายามเรียนรู้การผลิตเครื่องสำอางกับลูกสะใภ้คนเล็ก แม้ว่าวันนี้จะยุ่งมาก แต่กลับรู้สึกได้รับการเติมเต็มเป็นอย่างมาก
เซี่ยเหวินปิงได้ยินเช่นนั้นพลันกล่าว “งั้นผมก็จะอยู่ที่นี่ด้วย”
ความคิดของเขาและภรรยานั้นคล้ายกัน ทางด้านนายท่านเหยายังมีครอบครัวของลูกชายคนโตอยู่ด้วย พวกเขาสามีภรรยาไม่กลับไปก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
ลุงเจี่ยงเห็นเช่นนี้ก็รีบให้คนไปทำความสะอาดห้องพัก
กระทั่งช่วงกลางดึก เหยาจิ้งจือและซูหว่านอี๋ยังคงผลิตเครื่องสำอางอยู่กับฉินมู่หลาน ส่วนหน้าที่ดูแลเด็กทั้งสองคนนั้นก็มอบให้เป็นของเซี่ยเหวินปิงและฉินเจี้ยนเซ่อ
ทั้งสามคนนั้นยุ่งอยู่เสมอ ยังคงเป็นฉินมู่หลานที่เห็นว่าเป็นเวลาดึกแล้ว และเอ่ยเร่งเร้าให้แม่และแม่สามีกลับไปยังห้องนอน “แม่คะ พวกคุณรีบไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
ฉินมู่หลานรู้สึกว่าหากเธอไม่เอ่ยปาก ทั้งสองคนคงอาจทำเครื่องสำอางตลอดทั้งคืน พวกหล่อนขยันเกินไปแล้ว เพียงครั้งเดียวก็แทบจะเรียนรู้ทุกอย่าง
เหยาจิ้งจือและซูหว่านอี๋ไม่ค่อยอยากกลับไปพักผ่อนนัก แต่เมื่อเห็นว่าดึกแล้วจริงๆ พวกหล่อนทำได้เพียงเอ่ยอย่างเศร้าใจ “งั้นก็ได้ พวกเรากลับไปพักผ่อนก่อนเธอเองก็รีบกลับห้องล่ะ พรุ่งนี้ยังต้องไปมหาวิทยาลัย”
“ค่ะ”
ทั้งสามคนจัดเก็บของกันเล็กน้อยและกลับไปยังห้องของตนเอง
กระทั่งเช้าวันถัดมา หลังจากฉินมู่หลานกินอาหารเช้าเสร็จ เธอก็ออกเดินทางไปพร้อมกับฉินเคอวั่ง
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย ฉินมู่หลานตรงไปยังห้องเรียน หลังจากที่เดินเข้าไปแล้วก็พบว่าคนอื่นภายในชั้นเรียนต่างก็มากันแล้ว
เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นฉินมู่หลาน ก็โบกมือให้กับเธอ “ทางนี้”
ฉินมู่หลานเดินไปและนั่งลงด้านข้างเซี่ยปิงหรุ่ย
ไม่นานนักอาจารย์ก็เดินเข้ามา
“สวัสดีทุกคน ฉันชื่อหลัวซงผิง เป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเธอทุกคน จากนี้อีกสี่ปี พวกเราจะพยายามไปด้วยกันและก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน”
หลังจากหลัวซงผิงได้ทำการแนะนำตัวเองอย่างเรียบง่าย ขณะเดียวกันก็ให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนทำการแนะนำตนเองเช่นกัน เมื่อถึงคราวของฉินมู่หลาน เธอทำเพียงแนะนำชื่อของตนเองอย่างเรียบง่ายและนั่งลง
เซี่ยปิงหรุ่ยที่อยู่ด้านข้างเธอเองก็เช่นกัน เอ่ยเพียงแค่ชื่อและนั่งลง
เมื่อถึงคราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาน่ารักสดใสกลับแตกต่างออกไป “สวัสดีค่ะทุกคน ฉันชื่อเซียวหลินนะคะ”
หล่อนพูดอยู่ประมาณสิบนาที สุดท้ายแล้วก็นั่งลงด้วยท่าทางที่ยังอยากจะพูดต่อ
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นต่างก็ประทับใจเซียวหลินเป็นอย่างมาก เมื่อถึงเวลาต้องเลือกหัวหน้าห้อง ผู้คนส่วนใหญ่ก็เลือกเซียวหลินเป็นหัวหน้าห้อง
“ขอบคุณทุกคนที่ไว้วางใจฉัน ฉันจะทำเพื่อห้องเรียนของพวกเราด้วยหัวใจอย่างแน่นอนค่ะ”
เซี่ยปิงหรุ่ยมองดูคำพูดอันฮึกเหิมของเซียวหลิน จากนั้นมองฉินมู่หลานอย่างอดไม่ได้และเอ่ย “อันที่จริง เธอมีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นหัวหน้าห้องมากที่สุด”
ฉินมู่หลานกลับส่ายศีรษะและเอ่ย “พูดแบบนี้ไม่ได้หรอก ฉันว่าเซียวหลินก็ดีมากนะ”
ความจริงแล้วเธอไม่อยากเป็นหัวหน้าห้อง หลังจากได้เป็นหัวหน้าห้องแล้วก็จะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอีกมาก ส่วนตัวเธอมีเรื่องต้องทำมากมาย ไม่ได้มีแรงขนาดนั้น ซึ่งขณะนี้เรื่องที่เธอต้องการทำให้สำเร็จก็คือการนำเครื่องสำอางเข้าสู่ห้างสรรพสินค้า
สิ่งที่ฉินมู่หลานยังไม่รู้นั้นคือหลิวเสวียข่ายจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
มีคอนเนคชันดีเหนื่อยน้อยลงมากกว่าครึ่งจริงๆ งานหนักอยู่ที่การตลาดนี่แหละ
ไหหม่า(海馬)